วิกฤติชีวิต: บทเรียนจากโรค Bipolar
ตั้งแต่ปี 2008 ชีวิตเราเปลี่ยนแปลงไปอย่างที่ไม่เคยคาดคิด โรค Bipolar พรากงานประจำที่รักจากเราไปในทันที และตั้งแต่นั้น เราก็ต้องเผชิญหน้ากับความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ ทั้งการแอดมิดเข้าโรงพยาบาลจิตเวชถึง 8 ครั้ง และการต่อสู้กับอาการจิตหลอนที่ทำให้หวาดระแวงว่าคนรอบตัวจะมาทำร้าย ความเครียดและโรคแทรกซ้อนที่ตามมา ไม่เพียงทำลายสุขภาพกาย แต่ยังทำให้เราเสียทุกสิ่งที่เคยยึดถือ ทั้งเงิน งาน ความรัก และมิตรภาพ
ในช่วงเวลาที่ทุกอย่างพังทลายลงจนเหลือศูนย์ เรารู้สึกเหมือนตกลงไปในหลุมลึกที่ไร้ก้นบึ้ง อาการเครียดลงกระเพาะทำให้อาเจียนแทบทั้งวัน การตรวจ MRI scan เพื่อหาความผิดปกติของสมอง กลายเป็นสิ่งที่ต้องทำอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และการรักษาในโรงพยาบาลแต่ละครั้งที่ใช้เวลานานนับเดือนนั้น ทำให้เรารู้สึกเหมือนโลกภายนอกกำลังเดินต่อไปโดยไม่มีเรา
แต่สิ่งที่เจ็บปวดที่สุดคือการสูญเสียสิ่งที่เคยเป็นตัวตนของเราไป จากนักวาดภาพระดับสากลที่สามารถสร้างสรรค์ผลงานที่เปี่ยมด้วยชีวิต เรากลับไม่สามารถจับพู่กันด้วยจิตใจที่มั่นคงได้อีก ทุกครั้งที่พยายาม เราพบว่า "มือ" ของเราทำงานเหมือนเดิม แต่ "ใจ" ที่อยู่เบื้องหลังกลับอ่อนล้า
สิบปีผ่านไป ท่ามกลางความทุกข์ที่ดูเหมือนไม่มีที่สิ้นสุด เราได้เรียนรู้ว่าความหวังไม่ได้มาจากการลืมสิ่งที่เสียไป แต่เกิดจากการยอมรับว่าชีวิตมีวันที่ดีและวันที่เลวร้าย สิ่งที่เราสามารถควบคุมได้ คือการรักษาและดูแลตัวเองอย่างต่อเนื่อง เราเริ่มพบจิตแพทย์และรับประทานยาตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด แม้กระบวนการนี้จะยาวนานและเต็มไปด้วยความท้าทาย แต่เราเชื่อว่า "การยอมรับว่าป่วยและขอความช่วยเหลือ ไม่ใช่เรื่องน่าอาย แต่เป็นจุดเริ่มต้นของการฟื้นฟูตัวตนของเรา"
ทุกวันนี้ เราอาจยังไม่กลับมาเป็นคนเดิมที่สามารถสร้างสรรค์ผลงานได้อย่างเต็มศักยภาพ แต่เรากำลังเดินบนเส้นทางใหม่ที่เต็มไปด้วยการเรียนรู้และความหวัง ความป่วยไข้ไม่สามารถนิยามตัวตนของเราได้ เราเลือกที่จะใช้ประสบการณ์เหล่านี้เป็นบทเรียน เพื่อสร้างชีวิตที่มีคุณค่าในแบบที่แตกต่างออกไป
ให้เรื่องราวนี้เป็นกำลังใจสำหรับใครก็ตามที่กำลังต่อสู้กับโรคทางจิตใจ คุณไม่ได้อยู่คนเดียว และเส้นทางการรักษาอาจจะยาก แต่เราเชื่อมั่นว่าคุณสามารถผ่านมันไปได้เช่นเดียวกับเรา
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น