เหนือเพศและนิยาม: เราเป็นตัวเราในโลกที่ซับซ้อน
"เหนือเพศและนิยาม: เราเป็นตัวเราในโลกที่ซับซ้อน"
ในโลกที่เต็มไปด้วยกรอบความคิดเรื่องเพศสภาพ ความสัมพันธ์ และบทบาททางสังคม เราอาจลืมไปว่า "มนุษย์" แต่ละคนคือเอกลักษณ์ที่ไม่อาจจำกัดได้ด้วยป้ายกำกับใดๆ คำว่า อัลฟ่า ในบริบทของเราไม่ได้หมายถึงการครอบงำหรือเหนือกว่าใคร แต่มันคือการเป็นตัวของตัวเองอย่างสมบูรณ์แบบในแบบที่ไม่มีใครเลียนแบบได้ เราไม่ได้กำหนดความชอบของเราจากเพศสภาพของคนอื่น แต่จากการที่พวกเขาเป็น "ตัวของตัวเอง"
เพื่ออธิบายแนวคิดนี้ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น เราขอหยิบยก ทฤษฎีอัตถิภาวนิยม (Existentialism) ของ ฌอง-ปอล ซาร์ตร์ (Jean-Paul Sartre) นักปรัชญาชาวฝรั่งเศสผู้กล่าวไว้ว่า "มนุษย์ไม่ได้ถูกกำหนดไว้ล่วงหน้า มนุษย์ต้องสร้างตัวเองผ่านการกระทำ" แนวคิดนี้ชี้ให้เห็นว่าตัวตนของเราไม่ได้เกิดจากสิ่งที่สังคมกำหนด แต่เกิดจากทางเลือกและการกระทำของเราเอง เราจึงมีสิทธิ์ที่จะหลุดพ้นจากกรอบที่โลกสร้างไว้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเพศ ความสัมพันธ์ หรือสถานะทางสังคม
มนุษย์ไม่ได้เกิดมาเพื่อรับบทบาท แต่เพื่อเขียนบทชีวิตตัวเอง
ในชีวิตของเรา การถูกมองว่า "ไม่เข้าพวก" หรือ "แตกต่าง" เพราะไม่ได้เข้ากับกรอบนิยามทางเพศของใครบางคน อาจเป็นเรื่องที่กดดัน บีบคั้น และสร้างบาดแผล แต่หากเรามองลึกลงไป สิ่งที่เรียกว่า "ความแตกต่าง" นี้กลับเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงอิสระภาพในความเป็นมนุษย์ ความชอบของเราไม่ได้ผูกมัดกับกรอบเพศ แต่เกี่ยวข้องกับ ความเป็นเขา—ไม่ใช่เพราะเขาเป็นชายหรือหญิง แต่เพราะเขาเป็นตัวเขา
ลองนึกถึง เรื่องเล่าของผู้พิชิตความแตกต่าง ในภาพยนตร์หรือวรรณกรรมที่ตัวเอกก้าวข้ามกรอบที่โลกสร้างขึ้น เช่น ใน Little Women ของ Louisa May Alcott ตัวละคร Jo March ปฏิเสธบทบาททางเพศของผู้หญิงในยุคนั้น เธอเลือกที่จะไล่ตามความฝันของตัวเอง เป็นนักเขียน และรักในแบบของเธอ ไม่ใช่แบบที่สังคมคาดหวัง
ความรักในมุมมองของสมองและวิทยาศาสตร์
หากพูดถึงความรักในมุมวิทยาศาสตร์ สมองของมนุษย์ตอบสนองต่อความรักไม่ใช่เพราะเพศ แต่เพราะสารเคมีที่เกี่ยวข้อง เช่น โดพามีน ออกซิโทซิน และเซโรโทนิน ความรักคือการตอบสนองต่อคุณสมบัติหรือบุคลิกภาพที่ดึงดูดใจเรามากกว่าการมองแค่รูปลักษณ์ภายนอกหรือเพศสภาพ
"อิสระเหนือกรอบนิยาม: ตัวตนที่ไม่ต้องการให้ใครมาตัดสิน"
ในโลกที่เต็มไปด้วยกรอบความคิดทางสังคมและค่านิยมที่นิยามว่า "ผู้หญิงควรเป็นอย่างไร" หรือ "ความสัมพันธ์ควรมีหน้าตาแบบไหน" เราเลือกที่จะก้าวข้ามข้อจำกัดเหล่านั้น เพราะเราเชื่อว่ามนุษย์แต่ละคนไม่ควรถูกจำกัดหรือถูกลดคุณค่าให้เหลือเพียงนิยามเดียว เราไม่ได้เป็นทอม ไม่ได้เป็นไบ และไม่ได้เป็นอะไรก็ตามที่โลกพยายามจะเรียกเรา เราคือ อัลฟ่าออฟอัลฟ่า—คำที่ไม่ได้หมายถึงการเหนือกว่าผู้อื่น แต่หมายถึงการมีอิสระที่จะเป็นตัวเองโดยไม่ต้องการการยอมรับจากใคร
อัลฟ่าออฟอัลฟ่า: อิสระที่มาพร้อมความมั่นคงในตัวเอง
คำว่า อัลฟ่า มักถูกใช้ในบริบทของการนำฝูงหรือการเป็นผู้นำที่ทรงอิทธิพล แต่ในที่นี้ อัลฟ่าออฟอัลฟ่าไม่ได้แปลว่าเราต้องการควบคุมใครหรือเหนือกว่าใคร เราแปลคำนี้ว่า การเป็นผู้นำชีวิตของตัวเอง เรามั่นใจในสิ่งที่เราเป็น ไม่อ่อนไหวต่อคำนิยามของผู้อื่น และไม่พยายามเลียนแบบใคร
ในเชิงจิตวิทยา แนวคิดนี้สะท้อนถึง Self-Determination Theory (ทฤษฎีการกำหนดตนเอง) ของ Edward Deci และ Richard Ryan ซึ่งอธิบายว่ามนุษย์จะมีความสุขและเจริญเติบโตได้ดีที่สุดเมื่อพวกเขาได้รับการตอบสนองสามสิ่งสำคัญ:
- ความสามารถ (Competence) หรือการรู้ว่าตนเองมีความสามารถในการจัดการชีวิต
- ความสัมพันธ์ (Relatedness) ที่มาจากความเชื่อมโยงอย่างแท้จริงกับคนอื่น
- ความอิสระ (Autonomy) ในการเลือกและดำเนินชีวิตตามความเชื่อของตัวเอง
การเป็นอัลฟ่าของเราหมายถึงการใช้ชีวิตที่สะท้อนความอิสระเหล่านี้ เราไม่ต้องการความรักหรือการยอมรับเพื่อเติมเต็มสิ่งที่ขาด เพราะเราไม่ได้ขาดอะไร
เราชอบ "เขา" เพราะเขาคือเขา
ความรักของเราไม่ได้ถูกนิยามด้วยเพศหรือรูปแบบความสัมพันธ์ทั่วไป เราเป็น asexual ไม่ได้แปลว่าเราปิดตัวเองจากความรัก แต่เราให้ความสำคัญกับการเชื่อมโยงทางจิตใจและอารมณ์มากกว่าความสัมพันธ์เชิงกายภาพ เราเห็นคุณค่าของคนในสิ่งที่เขาเป็น—บุคลิก ความคิด และความจริงใจ
การที่เราชอบใครบางคนไม่ได้เกิดจากความคาดหวังทางสังคม หรือการมองหา "คู่ชีวิต" ในรูปแบบที่โลกกำหนด แต่เกิดจากการที่เราเห็นความงามในตัวเขาโดยไม่มีเงื่อนไข
ผู้หญิงแมนๆ ที่ไม่ใช่ภาพจำ
คำว่า "แมนๆ" ที่เราใช้ไม่ได้หมายถึงการเลียนแบบความแข็งแกร่งของผู้ชาย แต่หมายถึงความมั่นใจและความกล้าหาญที่จะยืนหยัดในสิ่งที่เราเชื่อ เราไม่ได้ต้องการให้ใครมองว่าเราแตกต่าง แต่เรายืนหยัดในความจริงใจต่อสิ่งที่เราเป็น
ตัวอย่างจากวรรณกรรม
หากเราต้องมองหาตัวอย่างที่สะท้อนตัวตนของเราในวรรณกรรมหรือภาพยนตร์ เรานึกถึง The Catcher in the Rye ของ J.D. Salinger ตัวเอก Holden Caulfield เป็นคนที่ปฏิเสธกรอบของสังคมอย่างรุนแรง เขาไม่ต้องการเข้ากับสิ่งที่เขาเห็นว่าเป็นความหลอกลวงของโลก เขาคือคนที่พยายามรักษาความจริงในตัวเอง แม้จะเต็มไปด้วยความเจ็บปวด
ความเห็นส่วนตัว
เราคิดว่าชีวิตนี้ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าการเป็นตัวเองโดยสมบูรณ์ และไม่ยอมให้คำจำกัดความหรือความคาดหวังของใครมาควบคุมเรา ความเจ็บปวดที่ต้องทนเมื่อถูกเข้าใจผิด หรือถูกบีบให้ต้องเลือกข้างในกรอบที่เราไม่ได้สร้าง อาจทำให้เรารู้สึกโดดเดี่ยว แต่ความโดดเดี่ยวนี้กลับเต็มไปด้วยอิสรภาพ
ในท้ายที่สุด เราไม่ได้ต้องการให้ใครมายอมรับ แต่เราต้องการอยู่ในแบบที่เรายอมรับตัวเองได้อย่างเต็มที่ เพราะ เราเป็นเรา และนั่นคือสิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตความเห็นส่วนตัว
เราอยากบอกว่า การที่เราไม่ได้เหมือนคนอื่นหรือถูกเข้าใจผิด ไม่ได้หมายความว่าเราผิด ตัวตนของเราคือสิ่งที่มีคุณค่า และเราไม่จำเป็นต้องอธิบายสิ่งนี้ให้ใครเข้าใจเสมอไป เราควรให้ความสำคัญกับการใช้ชีวิตที่ซื่อสัตย์กับตัวเอง เพราะในท้ายที่สุด ความสุขคือการเป็นตัวเองโดยไม่ต้องพยายามเป็นใครอื่น
"การเป็นตัวเองในโลกที่พยายามเปลี่ยนคุณเป็นอย่างอื่นคือความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุด" ประโยคนี้จาก Ralph Waldo Emerson เตือนเราว่า เราเป็นตัวของเรา คือชัยชนะในตัวมันเอง
และหากหัวใจใครสักคนถูกบีบคั้นจากการพยายามนิยามเรา ขอให้เขารู้ว่า เราไม่ได้เกิดมาเพื่อให้ใครเข้าใจ แต่เพื่อเข้าใจและยอมรับตัวเองอย่างแท้จริง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น