ฝึกฝนทุกวัน ทำให้เก่งทุกด้าน: การพัฒนาตัวเองผ่านการทำจริง
การสร้างพอดแคสต์และการพัฒนาทักษะการพูดเป็นกระบวนการที่ยาวนานและต้องใช้ความพยายามอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการแก้ไขอาการติดอ่างหรืออาการพูดไม่คล่อง ซึ่งสามารถนำไปสู่การฝึกฝนและการปรับปรุงตัวเองอย่างมีประสิทธิภาพ ผ่านกระบวนการที่คล้ายคลึงกับทฤษฎี "การเรียนรู้จากการทำ" (Learning by Doing) และทฤษฎี "การปรับปรุงจากการสะท้อนกลับ" (Reflective Practice) ของนักการศึกษาอย่าง John Dewey ที่เน้นการเรียนรู้ผ่านการทำจริงและการสะท้อนกลับจากประสบการณ์
หนึ่งในกระบวนการที่ช่วยให้เราพัฒนาและปรับปรุงความสามารถได้อย่างเห็นผลคือการ "ฟังตัวเอง" หรือการที่เราบันทึกเสียงและฟังซ้ำหลายๆ รอบ ซึ่งเป็นการนำหลักการจากทฤษฎี "การฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง" (Deliberate Practice) ของ Anders Ericsson มาปรับใช้ ในการฝึกฝนทักษะใดๆ การทบทวนการทำงานของเราเองจะช่วยให้เรารู้จุดที่ต้องการปรับปรุงและสามารถนำข้อผิดพลาดมาปรับแก้ให้ดีขึ้นในการทำงานครั้งถัดไป
ในทำนองเดียวกัน การทำสิ่งที่เรารักและรู้สึกมีความสุขในการทำไม่ว่าจะเป็นพอดแคสต์หรือการทำงานอื่นๆ ที่ไม่มีการตอบแทนในทันทีนั้นมีความสำคัญในแง่ของการสร้างพลังขับเคลื่อนภายในตัวเอง ซึ่งตรงกับทฤษฎีของ Viktor Frankl ที่พูดถึงการค้นหาความหมายในชีวิตว่า การทำงานที่มีความหมายจะช่วยให้เรารู้สึกพึงพอใจและมีพลังในการทำงาน แม้ว่าจะไม่ได้รับผลตอบแทนในระยะสั้นก็ตาม
การแยกงานที่หล่อเลี้ยงจิตใจออกจากงานที่เลี้ยงชีวิตเป็นแนวทางที่ดีในการรักษาความสมดุลในชีวิต เพราะเมื่อเรามีงานที่หล่อเลี้ยงจิตใจ เราจะมีแรงบันดาลใจและพลังในการทำงานที่หล่อเลี้ยงชีวิตอย่างต่อเนื่อง จึงไม่ต้องกังวลว่าผลตอบแทนทางการเงินจะมาถึงในทันที เพราะการที่เราได้ทำงานที่มีความหมายจะช่วยให้เราสามารถรักษาความมุ่งมั่นและทุ่มเทในระยะยาวได้
สรุป: การฝึกฝนทักษะต่างๆ เช่น การทำพอดแคสต์ต้องใช้เวลาและการสะท้อนกลับจากการทำงานจริง การฟังตัวเองและการทำงานที่หล่อเลี้ยงจิตใจจะช่วยให้เราเติบโตและมีพลังในการทำงานโดยไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับผลตอบแทนในระยะสั้น ความสุขจากการทำสิ่งที่รักคือพลังขับเคลื่อนที่สำคัญที่สุดในการทำงานทุกประเภท
ในบทความนี้มีการกล่าวถึงทฤษฎีหลักๆ หลายทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาทักษะ การฝึกฝน การสะท้อนกลับจากประสบการณ์ รวมถึงการทำงานที่มีความหมายซึ่งสามารถส่งผลดีต่อการพัฒนาตนเองและการทำงานในระยะยาว โดยทฤษฎีเหล่านี้มีความสำคัญในการอธิบายวิธีการที่เราสามารถพัฒนาและปรับปรุงทักษะได้อย่างมีประสิทธิภาพ มาดูกันว่าแต่ละทฤษฎีมีความหมายและการใช้งานอย่างไร:
1. ทฤษฎีการเรียนรู้จากการทำ (Learning by Doing)
ทฤษฎีนี้กล่าวว่า การเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพที่สุดเกิดจากการทำจริงๆ ผ่านการปฏิบัติและประสบการณ์ตรง ตัวอย่างเช่น ในกรณีของการฝึกฝนการทำพอดแคสต์ เราจะได้เรียนรู้จากการทำจริง โดยการบันทึกเสียงของตัวเองแล้วฟังซ้ำๆ จะช่วยให้เราเห็นจุดที่ต้องปรับปรุงและทำให้การพูดของเราดีขึ้นเรื่อยๆ
- แหล่งที่มา: ทฤษฎีนี้มาจากงานของ John Dewey นักการศึกษาชาวอเมริกันที่เน้นการเรียนรู้จากการปฏิบัติจริงและการสะท้อนกลับจากประสบการณ์ เพื่อให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาทักษะได้อย่างมีประสิทธิภาพ
2. ทฤษฎีการปรับปรุงจากการสะท้อนกลับ (Reflective Practice)
ทฤษฎีนี้เชื่อว่า การสะท้อนกลับจากประสบการณ์หรือการทบทวนการทำงานของตัวเองจะช่วยให้เราสามารถเรียนรู้จากข้อผิดพลาดและพัฒนาได้ดียิ่งขึ้น เช่น การฟังเสียงของตัวเองในพอดแคสต์หรือการทำคลิปวีดีโอซ้ำๆ จะช่วยให้เรารู้จุดที่ต้องปรับปรุงและทำให้ดีขึ้นในครั้งถัดไป
- แหล่งที่มา: นำมาจากงานของ Donald Schön ที่กล่าวถึงการเรียนรู้จากการปฏิบัติในสาขาวิชาชีพต่างๆ โดยเฉพาะในงานวิจัยด้านการศึกษาการปฏิบัติงาน
3. ทฤษฎีการฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง (Deliberate Practice)
ทฤษฎีนี้อธิบายว่า การฝึกฝนที่มีประสิทธิภาพจะต้องมีการฝึกอย่างตั้งใจและต่อเนื่อง โดยมุ่งเป้าหมายไปที่การพัฒนาทักษะที่เฉพาะเจาะจง ตัวอย่างเช่น การฝึกพูดหรือทำพอดแคสต์อย่างต่อเนื่องเพื่อเพิ่มทักษะการพูดหรือการสื่อสาร
- แหล่งที่มา: ทฤษฎีนี้มาจากงานของ Anders Ericsson นักจิตวิทยาชาวสวีเดน ที่ศึกษาเกี่ยวกับความสำคัญของการฝึกฝนอย่างตั้งใจและต่อเนื่องในการพัฒนาทักษะระดับสูง
4. ทฤษฎีการค้นหาความหมายในชีวิต (Logotherapy)
ทฤษฎีนี้มุ่งเน้นไปที่การค้นหาความหมายในชีวิต ซึ่งจะช่วยให้เรามีความพึงพอใจและความสุขในชีวิต แม้ว่าจะไม่เห็นผลตอบแทนในระยะสั้นก็ตาม หลักการของทฤษฎีนี้สามารถใช้ได้กับการทำงานที่เราไม่คาดหวังผลตอบแทนทางการเงินทันที เช่น การทำพอดแคสต์ที่เราอาจไม่เห็นผลตอบแทนทันที แต่เรารู้สึกดีและมีความหมายจากการทำสิ่งนั้น
- แหล่งที่มา: ทฤษฎีนี้มาจาก Viktor Frankl นักจิตวิทยาชาวออสเตรียที่พัฒนาทฤษฎีนี้หลังจากที่เขาผ่านการใช้ชีวิตในค่ายกักกัน โดยเน้นความสำคัญของการค้นหาความหมายในชีวิตเพื่อให้สามารถดำเนินชีวิตต่อไปได้แม้ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก
5. ทฤษฎีการแยกงานที่หล่อเลี้ยงจิตใจและงานที่เลี้ยงชีวิต
การแยกงานที่หล่อเลี้ยงจิตใจออกจากงานที่เลี้ยงชีวิตเป็นแนวทางที่ช่วยให้เราไม่รู้สึกหมดพลังหรือเครียดจากงานที่ทำในชีวิตประจำวัน การมีงานที่ให้ความหมายและความสุขจะช่วยให้เรามีพลังในการทำงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการสร้างรายได้
- แนวคิด: แนวคิดนี้สะท้อนให้เห็นว่าการทำงานที่มีความหมายจะเป็นแหล่งพลังขับเคลื่อนที่สำคัญที่สุดในการทำงานและชีวิต
สรุป
ทุกทฤษฎีที่กล่าวถึงในบทความนี้เกี่ยวข้องกับการพัฒนาทักษะ การเรียนรู้จากประสบการณ์ และการค้นหาความหมายในชีวิต ซึ่งจะช่วยให้เรามีพลังในการทำงานและสามารถเติบโตในสิ่งที่เราทำ หากเรามีความหมายและพลังขับเคลื่อนภายในจากการทำงานที่เรารักและพัฒนาทักษะอย่างตั้งใจและต่อเนื่อง เราจะสามารถบรรลุผลลัพธ์ที่ดีทั้งในด้านทักษะและในด้านความสุขส่วนตัวได้อย่างยั่งยืน
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น