การสร้างนิสัย: วิทยาศาสตร์และการทำสิ่งที่รักอย่างไม่ต้องพยายาม
การสร้างนิสัย: วิทยาศาสตร์และการทำสิ่งที่รักอย่างไม่ต้องพยายาม
คุณเคยสงสัยไหมว่าทำไมบางคนสามารถทำสิ่งต่างๆ ได้อย่างคล่องแคล่วโดยไม่ต้องพยายามมากนัก? ทำไมบางคนสามารถฝึกฝนทักษะใหม่ๆ หรือแม้แต่เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเดิมๆ ได้โดยไม่รู้สึกว่าต้องพยายามอะไรเยอะเลย? สิ่งที่อธิบายปรากฏการณ์นี้ได้ดีที่สุดคือ ทฤษฎีการสร้างนิสัย หรือ Habit Formation Theory ซึ่งเชื่อมโยงกับการทำให้พฤติกรรมบางอย่างกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันจนไม่ต้องใช้แรงจูงใจหรือพลังงานมากมายในการทำมัน
ลองมาดูกันว่า การทำสิ่งต่างๆ ให้เป็น "นิสัย" มันสำคัญอย่างไร และทำไมถึงสำคัญกว่าแค่ "การพยายาม" มาเริ่มต้นที่ทฤษฎี The Power of Habit หรือ พลังแห่งนิสัย ที่เขียนโดย Charles Duhigg ซึ่งเป็นหนึ่งในผลงานที่ให้ความกระจ่างที่สุดเกี่ยวกับกระบวนการสร้างนิสัยในชีวิตของมนุษย์
ในหนังสือของเขา Duhigg ได้กล่าวถึงแนวคิดที่เรียกว่า habit loop หรือ วงจรของนิสัย ซึ่งประกอบด้วย 3 ขั้นตอนหลัก:
- การกระตุ้น (Cue) – ปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดการกระทำ เช่น ความเครียด การเบื่อหน่าย หรือการเห็นสิ่งของที่ต้องการ
- พฤติกรรม (Routine) – พฤติกรรมที่เกิดขึ้นตามหลังการกระตุ้น ซึ่งอาจเป็นการกินขนมหรือการออกกำลังกาย
- ผลตอบแทน (Reward) – ผลลัพธ์ที่ทำให้สมองรู้สึกดี เช่น ความสุขที่ได้รับจากการกินขนมหรือความรู้สึกดีจากการออกกำลังกาย
วงจรนี้จะทำให้การกระทำซ้ำๆ กลายเป็นนิสัยในที่สุด เพราะสมองเริ่มที่จะเชื่อมโยงการกระทำกับรางวัลหรือความรู้สึกดีที่ได้รับ ทำให้ไม่จำเป็นต้องมีการพยายามมากมายในการทำมันซ้ำๆ อย่างที่เราทำกันในชีวิตประจำวัน
ในทางวิทยาศาสตร์การสร้างนิสัยนี้ยังสามารถอธิบายได้ด้วย neuroplasticity หรือความสามารถของสมองในการปรับตัวและสร้างเส้นทางใหม่ๆ เมื่อเราทำอะไรซ้ำๆ สมองจะสร้างการเชื่อมโยงในเส้นทางประสาทที่ทำให้พฤติกรรมดังกล่าวกลายเป็นนิสัยอย่างราบรื่น
ยกตัวอย่างง่ายๆ คือ เมื่อเราเริ่มต้นทำพอดแคสต์ในช่วงแรกๆ เราต้องใช้ความพยายามมากในการพูดและสื่อสาร แต่มันเริ่มกลายเป็นนิสัยเมื่อทำไปนานๆ การฟังเสียงของตัวเองซ้ำๆ และการวิเคราะห์สิ่งที่เราทำได้ดีหรือยังไม่ดี กลายเป็นส่วนหนึ่งของวงจรนิสัยของเรา จนวันนี้เราทำมันโดยไม่ต้องคิดอะไรมาก เพราะสมองของเรามีเส้นทางประสาทที่ชำนาญในกิจกรรมนี้แล้ว
ที่สำคัญคือ ทฤษฎีนี้ไม่ได้มองแค่แง่มุมของการฝึกฝน แต่ยังมองถึงความสำคัญของการทำสิ่งที่คุณรักและสนุกไปกับมัน ถ้าคุณรักในสิ่งที่ทำ มันจะไม่เป็นการพยายามที่เหนื่อยหน่าย แต่จะกลายเป็นพลังที่เติมเต็มให้คุณทำมันต่อไปได้โดยไม่รู้สึกว่ามันคือภาระ
ในมุมมองของวิทยาศาสตร์ เช่นเดียวกับที่ Abraham Maslow กล่าวไว้ใน Hierarchy of Needs ว่าความสุขและความสำเร็จเกิดจากการเติมเต็มความต้องการขั้นสูงสุด ซึ่งก็คือ การพัฒนาตัวเองและการทำสิ่งที่รักในชีวิต ถ้าคุณมีความสุขกับการทำสิ่งที่รักอยู่แล้ว คุณจะมีพลังในการทำต่อไปได้โดยไม่ต้องคำนึงถึงรางวัลหรือผลตอบแทน
การทำงานที่เป็นแค่การเลี้ยงชีพอาจจะทำให้คุณรู้สึกเบื่อหน่าย แต่การมีงานที่หล่อเลี้ยงจิตใจที่คุณรักจะทำให้คุณมีพลังในการสร้างสิ่งดีๆ โดยไม่รู้สึกเหนื่อยหรือเครียด ดังนั้น สิ่งสำคัญคือการเลือกทำสิ่งที่เติมเต็มจิตใจของคุณจริงๆ และไม่ต้องคาดหวังผลตอบแทนในทันที
ลองถามตัวเองดูสิว่า—สิ่งที่คุณทำตอนนี้ มันทำให้คุณรู้สึกมีพลังและเติมเต็มหรือไม่? ถ้าใช่ คุณก็เดินทางในเส้นทางที่ถูกต้องแล้ว แต่ถ้าคุณยังรู้สึกว่ามันไม่ใช่ คุณอาจจะต้องหาทางใหม่ที่ทำให้คุณรู้สึกเต็มไปด้วยพลังและแรงบันดาลใจในการทำต่อไป
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการเริ่มต้นและไม่หยุดทำ สิ่งใดที่กลายเป็นนิสัย จะทำให้คุณไม่ต้องพยายามมากมาย แต่จะทำให้มันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันเอง
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการทำสิ่งต่างๆ ให้กลายเป็น "นิสัย" มากกว่าการพยายามบังคับตัวเองให้ทำทุกวัน การทำสิ่งที่ชอบให้เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตจะทำให้คุณไม่รู้สึกว่าเป็นภาระและทำมันได้อย่างต่อเนื่อง โดยไม่ต้องพยายามมากนัก
การฝึกฝนบ่อยๆ เช่นการพูดหรือทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งซ้ำๆ จะทำให้สมองของเราคุ้นเคยกับมัน จนมันกลายเป็นนิสัยที่ทำได้โดยอัตโนมัติ นอกจากนี้ การทำสิ่งที่เรารักทำให้เรามีพลังในการทำมันต่อไปโดยไม่ต้องคาดหวังผลตอบแทนทันที เพราะเมื่อเรามีความสุขกับสิ่งนั้น เราจะรู้สึกอยากทำมันต่อไปเอง
ดังนั้น ลองหาสิ่งที่คุณรักและทำมันจนมันกลายเป็นนิสัย แล้วคุณจะเห็นว่ามันจะไม่เป็นการพยายามอีกต่อไป แต่จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่เติมเต็มคุณไปเอง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น