การออกแบบสถาปัตยกรรมและภูมิสถาปัตยกรรม: การสร้างความสัมพันธ์ระหว่างพื้นที่, ฟังก์ชัน และประสบการณ์มนุษย์
การพยายามผสมผสานแนวคิดจากสถาปัตยกรรมศาสตร์เข้ากับงานสร้างสรรค์อื่น ๆ ถือเป็นการกระทำที่มีความท้าทายและน่าสนใจอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเมื่อเราพิจารณาถึงบทบาทของ "space" หรือพื้นที่ในงานออกแบบสถาปัตยกรรม สิ่งที่หลายคนอาจไม่รู้คือ การออกแบบไม่ใช่แค่การเติมเต็มพื้นที่ด้วยรูปแบบที่สวยงาม แต่ยังเป็นการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างองค์ประกอบต่าง ๆ ที่สร้างขึ้นเพื่อการใช้งานที่มีความหมายและมีประสิทธิภาพ
หนึ่งในประเด็นที่สะท้อนถึงความเข้าใจในงานสถาปัตยกรรมและภูมิสถาปัตยกรรมคือการเลือกใช้แปลนหรือแผนผังในการออกแบบ แม้ว่าการใช้แผนผังในการออกแบบอาจดูเหมือนจะเป็นการแสดงออกของความเข้าใจในสถาปัตยกรรม แต่คำแนะนำจากอาจารย์ที่จบจาก Harvard กล่าวว่า การใส่แผนผังลงไปในงานโดยตรงโดยไม่คำนึงถึงความเชื่อมโยงกับบริบทของงานนั้น ๆ แสดงถึงการเข้าใจเพียงผิวเผิน ซึ่งอาจจะคล้ายกับการใช้รูปแบบเพียงเพื่อตกแต่งงานโดยไม่มีความเข้าใจลึกซึ้งในแต่ละองค์ประกอบ
การเรียนในคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์อาจสร้างฟิลเตอร์บางอย่างให้กับเราด้วยเช่นกัน เปรียบเหมือนกับคนที่เรียนแฟชั่นแล้วสามารถบอกได้ว่าใครแต่งตัว ‘เชย’ หรือ ‘ผิดสมัย’ เราก็จะสามารถเห็นได้ทันทีว่าใครทำงานออกแบบโดยใช้ reference เท่านั้นโดยไม่มีการออกแบบหรือเพิ่มเติมอะไรเข้าไปมากนัก ซึ่งการทำแบบนี้ไม่ได้ผิดแต่อย่างใด แต่หากเรามองลึกลงไปมากขึ้น เราจะเห็นว่าแค่การทำตาม reference อย่างเดียวไม่สามารถแสดงให้เห็นถึงความเข้าใจที่แท้จริงได้
ในที่สุด การออกแบบที่ดีและมีคุณค่าจริง ๆ คือการที่ผู้สร้างงานสามารถนำความเข้าใจในพื้นฐานและรากของศาสตร์นั้น ๆ มาปรับใช้กับงานของตนเองได้อย่างสร้างสรรค์ การยกตัวอย่างถึงงานของนักออกแบบที่เราชื่นชอบ เช่น Dan Kiley และ Peter Walker นักออกแบบภูมิสถาปัตยกรรมที่นำเอางานศิลปะเข้ามาผสมผสานกับการออกแบบภูมิทัศน์ พวกเขาทั้งสองมีความสามารถในการสร้างงานที่ดูเหมือนจะอยู่เหนือกาลเวลา หรือ timeless ซึ่งถือว่าเป็นคุณสมบัติที่น่าชื่นชมในงานออกแบบที่ไม่เพียงแค่ตอบสนองต่อความต้องการในเวลานั้น ๆ แต่ยังคงความสวยงามและความหมายได้ในระยะยาว
ในด้านสถาปัตยกรรมศาสตร์ แนวคิดของ Zaha Hadid และ Norman Foster ก็เป็นตัวอย่างของสถาปัตยกรรมที่มีความล้ำหน้าและนำเสนอการออกแบบที่มองไปข้างหน้า ซึ่งไม่เพียงแค่สร้างรูปลักษณ์ที่ทันสมัย แต่ยังสะท้อนถึงแนวคิดที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับการใช้พื้นที่และการจัดการกับเวลาและการเคลื่อนไหว
เมื่อพูดถึงภูมิสถาปัตยกรรมที่เราชื่นชอบ บางคนอาจสงสัยว่าทำไมไม่ใส่ต้นไม้หรืองานภูมิทัศน์ที่เด่นชัดลงไปในงานเลย การที่เราไม่ใส่ต้นไม้ลงในงานไม่ได้หมายความว่าเรามองข้ามการใช้พื้นที่หรือภูมิทัศน์ แต่มันคือการเห็นว่า ‘landscape’ จริง ๆ อาจไม่จำเป็นต้องเป็นเพียงแค่สิ่งที่เราปลูกลงไปบนพื้นดิน แต่สามารถเกิดขึ้นในลักษณะอื่นได้เช่นกัน เราเห็นว่า ‘มนุษย์’ ก็เป็นสถาปัตยกรรมชนิดหนึ่ง และการจัดภูมิทัศน์ที่ดีนั้นสามารถเกิดขึ้นได้จากการจัดวางองค์ประกอบต่าง ๆ บนร่างกายมนุษย์เอง ซึ่งไม่จำเป็นต้องใช้ต้นไม้หรือธรรมชาติในรูปแบบเดิม ๆ เพื่อสร้างความสัมพันธ์ระหว่างพื้นที่และผู้ใช้
ในทฤษฎีวิทยาศาสตร์ด้านการออกแบบและสถาปัตยกรรม หลักการที่เราเห็นว่าเป็นการจัดการกับพื้นที่ในระดับลึกคือ "phenomenology" ซึ่งเกี่ยวข้องกับการรับรู้และประสบการณ์ของผู้ใช้งานในพื้นที่นั้น ๆ การที่พื้นที่ทำหน้าที่ในฐานะที่เป็นสิ่งที่มีความหมายต่อการใช้งานไม่ได้มาจากแค่การใส่ฟังก์ชัน แต่ยังรวมไปถึงการสร้างประสบการณ์ทางอารมณ์และจิตใจที่สอดคล้องกับการใช้งานในพื้นที่นั้น ๆ
ตัวอย่างในงานสถาปัตยกรรมที่ดี เช่น Central Park ที่ออกแบบโดย Frederick Law Olmsted ซึ่งผสมผสานศิลปะและธรรมชาติอย่างลงตัว โดยทุกมุมของสวนสาธารณะนี้ดูเหมือนจะเป็นภาพวาดที่มีความหมายทางอารมณ์ในแต่ละจุด และสามารถสะท้อนถึงความเป็น "space" ที่มีคุณค่าได้อย่างลงตัว
ความเห็นส่วนตัว:
สำหรับงานออกแบบที่ดีนั้น เราควรเข้าใจถึงแก่นของแต่ละองค์ประกอบ ไม่ว่าจะเป็นการจัดวางฟังก์ชัน การใช้งาน และการสร้างประสบการณ์ในพื้นที่นั้น ๆ เราไม่จำเป็นต้องเพิ่มต้นไม้หรืองานภูมิทัศน์ที่เด่นชัด แต่เราควรมองไปที่ความหมายและความสัมพันธ์ระหว่างผู้ใช้และพื้นที่ที่เขาอยู่อาศัย การออกแบบที่ดีไม่จำเป็นต้องเป็นเพียงแค่สิ่งที่สวยงามภายนอก แต่มันต้องมีความหมายที่สามารถส่งต่อความรู้สึกและประสบการณ์ที่ลึกซึ้งได้ในระยะยาว
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น