ชีวิตแบบสำเร็จรูป
เราทุกคนถูกสอนให้เรียนเก่ง จบมาเพื่อทำงานมั่นคง มีบ้าน มีรถ และสร้างครอบครัวที่อบอุ่นตามมาตรฐานที่สังคมและสื่อกำหนด เราถูกฝึกให้ใช้ชีวิตแบบสำเร็จรูป... มีเป้าหมายที่ดูเหมือนจะชัดเจน แต่ลึกๆ แล้ว หลายคนกลับไม่รู้ว่าเป้าหมายจริงๆ ของตัวเองคืออะไร เราถูกเลี้ยงดูด้วยการบอกว่า ความสำเร็จคือการมีทรัพย์สิน มีตำแหน่งในสังคม และต้องผ่านการศึกษาจากมหาวิทยาลัยชื่อดัง เกรดที่ดี และการสอบที่ยากลำบาก
เด็กถูกตัดสินจากเกรดในโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัย ตั้งแต่ผลคะแนนเอนทรานซ์ ไปจนถึงเกียรตินิยมที่สะท้อนถึง "ความเก่ง" ในสายตาคนทั่วไป เด็กที่มีผลการเรียนไม่ดีจะถูกมองว่าไม่สามารถประสบความสำเร็จได้ และหลายครั้ง สังคมยังคงตัดสินเด็กจากความเก่งตามกรอบแคบๆ เหล่านี้ พวกเขาถูกทำให้เชื่อว่าการสอบเข้ามหาวิทยาลัยชั้นนำ คือการพิสูจน์คุณค่าในตัวเอง
เราเองก็เคยเป็นหนึ่งในนั้น ก่อนที่เราจะเรียนรู้ว่าความสำเร็จไม่ได้อยู่แค่ในห้องเรียนหรือในเกรด และเราควรให้ความสำคัญกับการค้นหาตัวตนที่แท้จริงของเรา
การที่เด็กๆ ต้องเผชิญกับการตัดสินหรือการติชมจากผู้ใหญ่ โดยเฉพาะจากครูผู้สอนนั้น ส่งผลต่อความมั่นใจในตัวเองอย่างมาก เคยไหมที่เราถูกติหรือด่าว่า "ทำไมถึงทำไม่ได้" หรือ "ทำไมไม่เก่งเหมือนเพื่อนคนอื่น?" ความรู้สึกนั้นมักจะทำให้เราสับสน และบางคนอาจสูญเสียความมั่นใจไปเลยก็ได้ ทฤษฎีของ Self-Esteem จาก Abraham Maslow หรือการศึกษาในทางจิตวิทยา มักกล่าวว่า การที่เด็กมีความมั่นใจในตัวเองสูง จะช่วยให้เขาผลักดันตัวเองไปสู่ความสำเร็จ ในขณะที่ถ้าความมั่นใจต่ำ ก็อาจทำให้เด็กคนหนึ่งหดหู่และไม่สามารถพัฒนาตัวเองได้เต็มที่
ย้อนกลับไปที่ตอนเด็กๆ เราคือเด็กที่เคยเป็น "เด็กเรียน top" และ "เด็กเรียนอ่อน" ในห้องเดียวกัน ในช่วงประถมปลาย เราเคยได้เกรดดีเยี่ยมในคณิตศาสตร์ จนครูเขียนในสมุดพกว่าเรามีความสามารถพิเศษด้านนี้ แต่ก็เคยเจอกับครูที่ไม่สามารถสอนเราได้เลย คำติเตียนจากครูทำให้เราเสียความมั่นใจไปชั่วขณะ แต่เราก็ไม่ได้ให้มันเป็นสิ่งที่ทำลายเรา เพียงแค่เรารู้สึกว่า วิธีการสอนที่ด่าหรือดูถูกไม่ช่วยอะไร แต่กลับสร้างความเครียดให้เด็กมากขึ้น
สิ่งที่เราเรียนรู้จากประสบการณ์นี้คือ การสอนที่ดีไม่ใช่การด่าว่าหรือการมองคนที่ทำผิดเป็นคนที่ไม่สามารถทำได้ ถ้าเด็กได้รับการสนับสนุนและกำลังใจจากคนรอบข้าง ความมั่นใจในตัวเองก็จะเพิ่มขึ้น และเด็กคนหนึ่งจะสามารถฝ่าฟันอุปสรรคได้อย่างไม่ยากเย็น
ในระดับมหาวิทยาลัยที่คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ อาจารย์ที่เราเคยเจอมีทั้งดุและมีทั้งทุ่มเทความรู้เต็มที่ คำพูดของอาจารย์ฟูที่เคยดุด่าเราในวันนั้น ทำให้เราตัดสินใจที่จะตั้งใจเรียนและเป็นคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิต จากคำด่าและคำตำหนิที่เคยได้ยินกลับทำให้เราเกิดแรงกระตุ้นที่จะพัฒนาตัวเอง
แม้ว่าเราจะผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากมากมายมา แต่สิ่งหนึ่งที่เราเข้าใจคือ เป้าหมายในชีวิตไม่สามารถหาได้จากการสอบเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยดีๆ หรือจากการวัดเกรดหรือการวัดจากสังคมเท่านั้น สิ่งที่สำคัญคือการค้นหาตัวเองให้พบ การตั้งใจเรียนรู้อย่างจริงจัง และการเชื่อมั่นในตัวเอง แม้ว่าเส้นทางบางครั้งอาจจะยากลำบาก แต่การเรียนรู้จากความล้มเหลวจะทำให้เราเติบโตขึ้นอย่างแท้จริง
ทฤษฎี Logotherapy ของ Viktor Frankl ที่มุ่งเน้นให้คนค้นหาความหมายในชีวิตนั้น เป็นคำแนะนำที่สำคัญ ท่านกล่าวไว้ว่า คนที่สามารถค้นหาความหมายในชีวิตจะสามารถเผชิญกับอุปสรรคและความทุกข์ได้ดีขึ้น ซึ่งสิ่งนี้ทำให้เราตระหนักได้ว่า เป้าหมายที่แท้จริงในชีวิตของเราอาจไม่ได้ถูกกำหนดจากภายนอก แต่เป็นสิ่งที่เราค้นพบและสร้างขึ้นเองจากประสบการณ์และการเรียนรู้ที่แท้จริง
เมื่อเรากลับมามองช่วงเวลาที่เราใช้ในมหาวิทยาลัย... หนึ่งในความทรงจำที่ยังคงชัดเจนในใจ คือการเล่นเกมที่ทำให้เราหลงใหลอย่าง "รักนรก ออนไลน์" หรือ Ragnarok Online เกมที่ไม่เพียงแต่ให้ความสนุกสนาน แต่ยังมอบบทเรียนเกี่ยวกับ “ปรัชญาการดำเนินชีวิต” ที่มีค่าให้กับเราอย่างมากมาย
เริ่มต้นในเกมนี้ ทุกคนจะมีจุดเริ่มต้นที่เหมือนกัน คือการเป็น "Novice" หรือนักรบมือใหม่ที่อ่อนแอและไร้ประสบการณ์ แต่เกมนี้ไม่ได้บังคับให้เราหมดสิทธิ์เลือกเส้นทางของตนเอง จากนั้น เราจะต้องเลือกว่าต้องการจะเป็นอะไร? มีอาชีพต่างๆ เช่น พ่อค้า (ที่จะพัฒนาเป็นนักตีดาบ), นักดาบ (พัฒนาเป็นไนท์), นักธนู (พัฒนาเป็นฮันเตอร์), อโคไลท์ (พัฒนาเป็นพรีสต์), โจร (พัฒนาเป็นนักฆ่า), หรือ นักเวทย์ (พัฒนาเป็นวิซาร์ด)
การที่จะไปถึงอาชีพที่เลือกได้นั้น เราต้องเก็บเลเวล ทำเควสต์ และอัพเกรดสเตตัสต่างๆ เพื่อเพิ่มความสามารถในการพัฒนาตัวละครให้ได้อาชีพที่ต้องการ การเลือกอัพเกรดสเตตัสให้เหมาะสมก็เป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะมีสเตตัสหลักอยู่ 6 อย่าง ได้แก่ Strength (ความเข้มแข็ง), Agility (ความเร็ว), Dexterity (ความแม่นยำ), Vitality (ความทนทาน), Intelligence (ความฉลาด), และ Luck (โชค)
สำหรับเรา การเลือกอาชีพที่เหมาะสมคือสิ่งที่สำคัญที่สุด และเราเลือกที่จะเป็น "นักดาบ" สาย Vit หรือสายที่เน้นความทนทาน เพราะเชื่อว่า การมีความแข็งแกร่งและความอึดเป็นสิ่งที่สำคัญในการต่อสู้กับอุปสรรคต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นในชีวิตเหมือนในเกม เราเลือกที่จะอัพเกรด Vit และ Str เพื่อให้ตัวละครของเรามีความแข็งแกร่ง และทนทานพอที่จะลุยเดี่ยวในโลกแห่งเกมนี้
แต่ไม่เพียงแค่ในเกมเท่านั้น ที่เราได้นำหลักการนี้มาใช้ในชีวิตจริงๆ การเลือกเส้นทางชีวิตที่ไม่ต้องพึ่งพาคนอื่นมากมายก็เป็นสิ่งที่เราเลือกเช่นกัน อย่างการเลือกทำงานอิสระหรือฟรีแลนซ์ นั่นคือการเลือกอาชีพที่สามารถตัดสินใจเองได้ มีอิสระ และสามารถเดินตามเส้นทางที่ตัวเองต้องการ โดยไม่ต้องพึ่งพาคนอื่น
ในขณะเดียวกัน แม้ว่าเราอาจจะเลือกเล่นเกมแบบลุยเดี่ยว แต่ก็มีอาชีพในเกมที่เราเลือกเล่นเพื่อช่วยเหลือคนอื่นๆ ซึ่งก็คือ "พรีสต์" หรือ "อโคไลท์" สายบู๊ ที่ถึงแม้จะเล่นคนเดียวได้ แต่ยังสามารถช่วยเหลือและดูแลคนอื่นในปาร์ตี้ได้ การเลือกเล่นอาชีพนี้ทำให้เราเข้าใจถึงความสำคัญของการช่วยเหลือผู้อื่น การมีความเมตตา และการให้ความช่วยเหลือในยามที่คนอื่นต้องการ
โดยรวมแล้ว เกม Ragnarok Online ไม่เพียงแต่เป็นเกมที่สนุก แต่ยังสอนเราให้เรียนรู้การเลือกทางเดินชีวิตอย่างมีวิจารณญาณ การพัฒนาตนเองให้เก่งขึ้นในสิ่งที่เราต้องการทำ และการรู้จักให้ความช่วยเหลือคนอื่นๆ เมื่อเราสามารถทำได้ ทั้งหมดนี้ได้กลายเป็นปรัชญาที่เรานำไปใช้ในชีวิตจริง แม้ว่าจะไม่ใช่แค่ในเกม แต่ในโลกแห่งความจริงที่มีความท้าทายและโอกาสรออยู่ข้างหน้า.
บทเรียนจากชีวิตที่สามารถเชื่อมโยงกับการเล่นเกม "Ragnarok Online" ได้อย่างน่าสนใจคือการเรียนรู้ว่าคุณสามารถเลือกเส้นทางของตัวเองในชีวิตได้หลายทาง และการเลือกเช่นนั้นก็เหมือนกับการเลือกอาชีพในเกม เมื่อเริ่มต้นชีวิตหรือการเรียน เรามักเริ่มจากการเป็น "Novice" ซึ่งเป็นตัวละครที่ไม่มีความชำนาญอะไรเลย การเรียนและพัฒนาตัวเองก็เช่นเดียวกันกับการเลือกอาชีพในเกม คุณต้องเลือกเส้นทางที่สอดคล้องกับความสามารถและความสนใจของตัวเอง เพราะการเลือกอาชีพในเกมจะกำหนดความสำเร็จของตัวละครในภายหลัง
ในเกม "Ragnarok" มีอาชีพหลากหลายให้เลือกไม่ว่าจะเป็นนักดาบ, นักเวทย์, พรีสต์ หรือแม้แต่โจร แต่ละอาชีพก็มีความสามารถและลักษณะเด่นที่แตกต่างกันออกไป หากเราเลือกที่จะเป็นนักดาบสายที่สามารถเล่นคนเดียวได้ เราก็จะต้องพัฒนาทักษะที่เกี่ยวข้องกับการต่อสู้และการทำให้ตัวเองแข็งแกร่ง การเลือกนี้เป็นการเลือกที่ต้องอาศัยการตัดสินใจอย่างรอบคอบและวางแผนให้ดี เพราะหากเราพัฒนาไปในทิศทางที่ไม่ถูกต้องก็อาจทำให้เราไม่สามารถเป็นนักดาบที่แข็งแกร่งที่สุดได้
ในชีวิตจริงก็เช่นกัน การเลือกเส้นทางในชีวิตก็ไม่ต่างจากการเลือกอาชีพในเกม หากคุณอยากที่จะประสบความสำเร็จในสายอาชีพไหน คุณก็ต้องพัฒนาและทุ่มเทไปกับทักษะที่เกี่ยวข้องกับอาชีพนั้นๆ พัฒนาให้เก่งในสายที่เลือก และไม่หยุดเรียนรู้เพื่อพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นไปเรื่อยๆ เช่นเดียวกับการเลื่อนเลเวลในเกมจากมือใหม่ไปสู่ระดับสูง
การเลือกอาชีพที่ "สามารถลุยเดี่ยวได้" ก็เหมือนกับการตัดสินใจเลือกที่จะเป็น "พรีสต์บู๊" ที่สามารถช่วยเหลือผู้อื่นในเวลาต่อสู้แม้จะไม่เก่งที่สุดในสายอื่นๆ หรือไม่สามารถชนะการต่อสู้กับคนอื่นในทุกๆ สถานการณ์ แต่ก็ยังสามารถทำประโยชน์ได้ในแบบของตัวเอง ซึ่งในชีวิตจริงก็เป็นแนวทางที่ไม่ผิดนัก ทุกคนสามารถเลือกเส้นทางของตัวเองได้ หากคุณมีเป้าหมายและเลือกที่จะพัฒนาความสามารถของตัวเองในทางที่ถูกต้อง คุณก็จะสามารถเป็นคนที่เก่งที่สุดในสายที่คุณเลือกได้
สิ่งที่เราต้องเรียนรู้จากการเล่นเกมและจากชีวิตจริงคือการพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่องและเลือกสิ่งที่เหมาะสมกับตัวเอง การเรียนรู้จากความผิดพลาดและความสำเร็จจะทำให้เราเข้าใจว่าเราต้องการอะไร และจะไปในทิศทางไหนในอนาคต ดังนั้นไม่ว่าคุณจะอยู่ในจุดเริ่มต้นหรือมีประสบการณ์แล้ว การพัฒนาตัวเองก็เป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรหยุดยั้ง
การเลือกอาชีพในชีวิตก็เหมือนกับการเลือกเส้นทางในเกมที่คุณเล่น—มันต้องอาศัยการตัดสินใจอย่างรอบคอบและการลงมือทำอย่างเต็มที่ เพื่อให้ประสบความสำเร็จในเส้นทางนั้นๆ ไม่ว่าจะเป็นการเลือกเล่นพรีสต์บู๊ในเกม หรือการเลือกเส้นทางอาชีพในชีวิตจริง คุณต้องเริ่มต้นจากการตัดสินใจว่าจะไปทางไหน แล้วอัพสเตตัสหรือพัฒนาทักษะในสายที่คุณเลือก
พรีสต์บู๊ในเกมคือหนึ่งในตัวอย่างที่ดีของการเลือกอาชีพในชีวิตที่ไม่เหมือนใคร เพราะมันเป็นการผสมผสานระหว่างความอึดและความเร็ว โดยที่คุณต้องอัพสเตตัสหลายค่าพร้อมกัน เช่น AGI, INT และ DEX ซึ่งแตกต่างจากอาชีพอื่นๆ ที่อาจเน้นเพียงค่าบางค่าที่สำคัญเท่านั้น เช่น อาชีพนักดาบที่เน้น STR หรืออาชีพวิซาร์ดที่เน้น INT แต่พรีสต์บู๊มีข้อดีคือมันสามารถเล่นคนเดียวได้อย่างมีประสิทธิภาพและยังสามารถช่วยเหลือเพื่อนๆ ได้ แม้ว่าจะไม่เก่งที่สุดในด้านการต่อสู้แบบตัวต่อตัวหรือในสงครามกิลด์
ในชีวิตจริงก็เช่นกัน การเลือกอาชีพหรือเส้นทางที่เราอยากเดินไม่ได้หมายความว่าเราต้องเก่งที่สุดในทุกๆ ด้าน แต่การรู้จักตัวเองและเลือกที่จะเป็นคนที่เก่งในด้านที่เราเลือกคือสิ่งสำคัญ หากคุณเลือกที่จะเป็นพรีสต์บู๊ในเกม คุณก็สามารถฝึกฝนจนเก่งที่สุดในสายอาชีพนั้นได้ ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่ที่สุดในทุกๆ ด้าน แต่ก็ยังสามารถบรรลุเป้าหมายและทำให้ตัวเองเป็นหนึ่งใน 1% ที่เก่งที่สุดในวงการนั้นๆ
เมื่อคุณเลือกเส้นทางในชีวิตแล้ว คุณต้องพัฒนาไปตามเส้นทางนั้น ถึงแม้ว่ามันอาจจะไม่ได้ทำให้คุณเป็นคนที่เก่งที่สุดในทุกด้าน แต่สิ่งที่สำคัญคือการพัฒนาตัวเองจนถึงจุดที่คุณสามารถทำให้ตัวเองประสบความสำเร็จในสายที่เลือกและมีความสุขกับสิ่งที่ทำ นั่นคือเป้าหมายที่แท้จริง การเลือกอาชีพที่ใช่ในชีวิตก็เหมือนกับการเลือกอาชีพในเกม—มันคือการรู้จักตัวเอง เลือกทางเดิน และพัฒนาทักษะของตัวเองไปในทิศทางที่ต้องการ
ช่วงเวลาของเราตอนอยู่มหาวิทยาลัยนั้นไม่ได้เริ่มต้นจากความเป็นเด็กขยันที่มีเป้าหมายในชีวิตที่ชัดเจน เราไม่ได้เป็นคนที่มีแรงจูงใจสูงมาตลอด แต่สิ่งหนึ่งที่เราเรียนรู้จากประสบการณ์ในชีวิตและการศึกษา คือการเข้าใจหลักการในการเรียนที่ทำให้เราประสบความสำเร็จได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในช่วงประถม มัธยมต้น และมัธยมปลาย ที่เราสามารถสอบได้คะแนนดีและผ่านเกณฑ์ต่างๆ มาได้
สำหรับเราแล้ว การเรียนที่ดีไม่จำเป็นต้องเป็นการอ่านหนังสือทุกวันหรือการตั้งใจเรียนที่ห้องเรียนอย่างเข้มข้นทุกครั้ง แต่มันคือการรู้จักหลักการทำให้ตัวเองเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ สิ่งแรกคือการตั้งใจเรียนในห้องเรียนให้เต็มที่ โดยการจดบันทึกสิ่งที่ครูสอนและทบทวนให้มากที่สุด เมื่อถึงเวลาสอบ สิ่งที่เราทำคือการอ่านหนังสือก่อนสอบไม่นานนัก แต่เพราะความจำดีและการมีเซนส์ในการเดาคำตอบ เราจึงสามารถผ่านมันมาได้
ช่วงมัธยมปลายเราอยู่ในกลุ่มของเด็กที่เรียนค่อนข้างดี แต่สิ่งที่เรารู้คือ เราไม่ได้เก่งทุกวิชา โดยเฉพาะวิชาที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ แต่เราก็มีความแข็งแกร่งในวิชาภาษาอังกฤษและศิลปะ ซึ่งทำให้เราได้รับเกรดดีในวิชาดังกล่าว โดย GPA ของเราตลอดระยะเวลานั้นอยู่ที่ประมาณ 3
เป้าหมายหลักของเราตอนนั้นไม่ใช่การประสบความสำเร็จในทุกด้านของชีวิต แต่คือการสอบเข้า "จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย" เพราะนี่คือลมหายใจเดียวที่เราคิดว่าจะเป็นตัวชี้ขาดในชีวิตของเรา เราตัดสินใจเลือกเรียนในคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ เนื่องจากการเรียนในสายวิทยาศาสตร์ทำให้การเข้าสู่คณะนี้ดูเหมือนจะเป็นทางเลือกที่เหมาะสมที่สุด แต่ในความเป็นจริง เราไม่เข้าใจจริงๆ ว่าอาชีพสถาปนิกคืออะไรและต้องทำอะไรบ้าง
หลังจากที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้แล้ว เรายังไม่รู้ว่าเป้าหมายถัดไปของเราคืออะไร นอกจากการเรียนให้จบจากคณะนี้เท่านั้น ในช่วงปีแรกๆ เราเริ่มหันมาฝึกฝนการวาดรูปด้วยความสนใจและการค้นพบความชอบในตัวเองผ่านการดูผลงานนักวาดบนอินเทอร์เน็ต แม้ว่าตอนนั้นอาชีพในวงการวาดภาพประกอบจะยังไม่เปิดกว้างเท่าที่ควร แต่เราก็ยังมุ่งมั่นที่จะพัฒนาทักษะนี้ต่อไป
ชีวิตมหาวิทยาลัยของเรามีช่วงเวลาที่ไม่น่าจดจำเช่นกัน โดยเฉพาะเมื่อเราต้องเผชิญกับวิชา "Building Material and Construction" หรือ "วิชา Con" ซึ่งเป็นวิชาที่เรารู้สึกเกลียดและไม่ชอบเป็นอย่างมาก เราต้องทำการดราฟต์ตามแบบที่อาจารย์ให้มา และผลลัพธ์ก็เป็นเกรดที่ต่ำจนเพื่อนล้อเล่น ทำให้เรารู้สึกขายหน้ามากในขณะนั้น แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในเวลานั้น กลับเป็นแรงผลักดันให้เราเก็บความโกรธในใจและตั้งใจที่จะประสบความสำเร็จให้ได้
ปีที่สองถึงสามของการเรียน เราเริ่มรู้จักกับ "เทตซึยะ โนมูระ" ซึ่งกลายเป็นไอดอลของเราเพราะความชื่นชอบในเกม Final Fantasy และทำให้เราตัดสินใจว่าอยากจะทำงานออกแบบคาแรคเตอร์ในเกม แต่มันเป็นเรื่องที่ยังไม่มีเส้นทางที่ชัดเจนในตอนนั้น เพราะวงการนี้ยังไม่เปิดกว้างมากนัก แต่เราเริ่มเห็นทิศทางที่จะทำให้ตัวเองมีเป้าหมายในชีวิตมากขึ้น
ในวันนี้ ถ้ามองย้อนกลับไป เราต้องขอบคุณทุกช่วงเวลาที่ผ่านมา ทั้งความผิดหวังและความล้มเหลว เพราะทุกอย่างล้วนเป็นบทเรียนที่ทำให้เราเติบโตและเข้าใจว่าเป้าหมายในชีวิตไม่ใช่แค่การสอบเข้ามหาวิทยาลัยหรือการทำงานในอาชีพที่เลือก แต่คือการรู้จักเปลี่ยนแปลงตัวเองและพัฒนาตัวเองไปในทิศทางที่ดีขึ้นในทุกๆ วัน
การเลือกอาชีพในชีวิตจริงก็เหมือนกับการเลือกเส้นทางในเกมที่เราเล่น—มันเป็นการวิเคราะห์จุดแข็งและจุดอ่อนของตัวเอง เพื่อหาทางเดินที่เหมาะสมกับเรา การเล่นเกมที่เกี่ยวกับการเลื่อนตำแหน่ง หรือการอัพเกรดตัวละครในสายอาชีพต่างๆ ก็สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับชีวิตจริงได้ในลักษณะเดียวกัน
ถ้าคุณเลือกที่จะเป็น artist ในสตูดิโอ และพัฒนาไปสู่ senior artist แล้ว art director คุณจะต้องอัพเกรดทักษะที่เกี่ยวข้องกับงานออกแบบ สร้างสรรค์งานศิลปะ และการบริหารจัดการทีมงาน นั่นคือการ "เลเวลอัพ" ในการทำงานและตำแหน่งที่สูงขึ้นในองค์กร ซึ่งในเกมก็คล้ายกับการที่ตัวละครมีการพัฒนาเป็นระดับที่สูงขึ้น แต่ในชีวิตจริง คุณอาจจะไม่ได้ต้องการเลื่อนตำแหน่งไปถึงขั้นนั้น เพราะบางคนอาจจะเลือกที่จะเปลี่ยนอาชีพไปเป็น พ่อค้า หรือทำอาชีพเสริมแทน
ในชีวิตจริง คุณสามารถเลือกที่จะพัฒนาอาชีพเสริม เช่น การทำธุรกิจส่วนตัว การขายของออนไลน์ หรือสร้างตัวละครใหม่ในเกมเพื่อเก็บเลเวล และหาเงินจากสิ่งที่คุณทำได้ โดยไม่จำเป็นต้องอยู่ในเส้นทางเดียวกับอาชีพหลักที่คุณเลือก ซึ่งก็เหมือนกับการมีงานประจำและงานเสริมในชีวิตจริง เช่น การทำงานประจำในบริษัทหนึ่ง และหลังเลิกงานอาจจะทำธุรกิจออนไลน์หรือขายของเพื่อเพิ่มรายได้
แต่นี่คือสิ่งที่สำคัญ: เวลาในเกมอาจมีจำกัด คุณอาจจะสามารถใช้เวลาแค่ไม่กี่เดือนในการเลเวลอัพตัวละครในเกมได้ แต่ในชีวิตจริงเรามีเวลาจำกัดมากกว่า และการเลือกที่โฟกัสในสิ่งที่สำคัญตามเป้าหมายชีวิตจะทำให้เราใช้เวลาอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น หากเรามีความชัดเจนในจุดแข็งและจุดอ่อนของตัวเอง เราก็จะสามารถเลือกเส้นทางที่เหมาะสมในการพัฒนาอาชีพและชีวิต
การวิเคราะห์ตัวเองจากเกรดที่ได้ในการเรียนก็เป็นอีกวิธีหนึ่งในการตัดสินใจเลือกเส้นทางอาชีพในชีวิต เช่น ถ้าคุณเก่งในวิชาที่เกี่ยวข้องกับการพูด การนำเสนอ หรือภาษาต่างประเทศ คุณอาจจะเหมาะกับการทำงานที่ต้องใช้ทักษะเหล่านี้ เช่น การเป็นนักออกแบบ การเป็นอาจารย์ หรือทำงานที่เกี่ยวข้องกับการสื่อสาร การนำเสนอ หรือการสร้างสรรค์
ในทางตรงกันข้าม ถ้าคุณไม่เก่งในบางวิชา เช่น การคำนวณหรือการออกแบบสถาปัตยกรรม คุณอาจจะเลือกที่จะหลีกเลี่ยงสายงานเหล่านี้ และไปหาทางเลือกที่เหมาะสมกับความสามารถของตัวเอง โดยไม่ต้องกลัวที่จะเปลี่ยนเส้นทางเพื่อให้ชีวิตมีความหมายและความสำเร็จตามที่ต้องการ
ดังนั้น สิ่งที่สำคัญคือการรู้จักตัวเอง วิเคราะห์จุดแข็งและจุดอ่อน แล้วเลือกพัฒนาทักษะในเส้นทางที่เหมาะสมกับเป้าหมายในชีวิตค่ะ
การประสบความสำเร็จในชีวิตจริงเป็นเรื่องที่ต้องอาศัยการวางแผนและการเลือกเส้นทางอย่างมีวิจารณญาณเหมือนกับการเล่นเกมที่เราเลือกอัพเกรดทักษะต่างๆ ในเกม เพื่อให้ตัวละครของเราแข็งแกร่งและสามารถบรรลุเป้าหมายที่ต้องการได้ เมื่อเรานำหลักการนี้มาปรับใช้กับชีวิตจริง การเลือกสิ่งที่เรารัก ชอบ หรือถนัดให้เป็นสิ่งที่เราจะพัฒนาก็จะทำให้เราไปถึงจุดที่ต้องการได้เร็วขึ้นและมีความสุขมากขึ้นในระยะยาว
การให้เกรดกับสิ่งต่างๆ ในชีวิตของเราก็เป็นวิธีที่ดีในการช่วยจัดระเบียบและให้ความสำคัญกับสิ่งที่เราควรโฟกัส เช่น:
- สิ่งที่คุณรัก (เกรด A): ถ้าคุณรักอะไรสักอย่างจริงๆ คุณจะสามารถทุ่มเทและพัฒนาได้อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เพราะความรักในสิ่งนั้นจะเป็นแรงขับเคลื่อนที่สำคัญในการพัฒนาทักษะของคุณ
- สิ่งที่คุณชอบ (เกรด B+): สิ่งที่คุณชอบก็มีความสำคัญ เพราะมันทำให้คุณมีความสุขในการทำสิ่งนั้นแม้ว่าจะไม่ถึงขั้นหลงใหล แต่ก็ยังสามารถพัฒนาไปได้อย่างมีความหมาย
- สิ่งที่คุณถนัด (เกรด B): การเลือกที่จะพัฒนาทักษะในสิ่งที่ถนัดก็ช่วยให้คุณทำได้ดีในสิ่งนั้นอย่างมั่นใจ ไม่ว่าจะเป็นการเขียน วาด หรือทำธุรกิจ
- สิ่งที่คุณเฉยๆ (เกรด C): สิ่งเหล่านี้อาจไม่เป็นสิ่งที่คุณต้องโฟกัสมากนัก เพราะมันไม่เป็นสิ่งที่กระตุ้นให้คุณพัฒนา และคุณอาจจะเลือกทำสิ่งเหล่านี้ได้ในบางเวลา
- สิ่งที่คุณไม่ชอบ (เกรด D): หากสิ่งไหนที่คุณไม่ชอบหรือไม่สนใจ ก็อาจจะเป็นสิ่งที่คุณไม่ต้องให้ความสำคัญ และอาจเลือกให้คนอื่นมาทำแทน
- สิ่งที่คุณเกลียด (เกรด F): สิ่งที่คุณเกลียดควรหลีกเลี่ยงการทำ เพราะมันทำให้คุณรู้สึกทุกข์ทรมานและเสียเวลาไปเปล่าๆ
สิ่งที่สำคัญที่สุดในการประสบความสำเร็จในชีวิต คือการรู้จัก "โฟกัส" ให้ชัดเจนในการพัฒนาสิ่งที่มีความหมายสำหรับตัวเอง โดยการมุ่งพัฒนาในสิ่งที่รัก ชอบ และถนัด และเชื่อมโยงกับสิ่งที่มีตลาดรองรับเพื่อให้สามารถทำได้ดีในสิ่งนั้นๆ และสามารถสร้างความสำเร็จในสายอาชีพที่ต้องการได้
ในชีวิตจริงเรามีทักษะที่หลากหลายมากมาย เช่น ทักษะในการสร้างความสัมพันธ์ ทักษะการสื่อสาร การขาย การเจรจาต่อรอง หรือการทำงานทางด้านอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งการเลือกที่จะพัฒนาอย่างใดอย่างหนึ่งในทักษะเหล่านี้จะช่วยให้คุณมีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จในสายที่คุณเลือกได้มากขึ้น
ดังนั้น หลักง่ายๆ สำหรับการตั้งเป้าหมายในชีวิตคือ “สิ่งที่คุณรัก, ชอบ” + “สิ่งที่คุณถนัด” + “มีตลาดรองรับ” นี่คือสมการที่จะทำให้คุณประสบความสำเร็จในชีวิตจริงค่ะ
หากคุณรักหรือชอบสิ่งใด แต่ไม่ถนัดที่จะทำมัน การที่จะประสบความสำเร็จในสิ่งนั้นย่อมเป็นเรื่องที่ท้าทายอย่างยิ่ง เช่นเดียวกับการที่เรารักการร้องเพลง แต่หากเสียงของเราไม่มีคุณภาพ หรือไม่สามารถร้องเพลงได้ดีพอ การเลือกเส้นทางเป็นนักร้องอาจทำให้เราพบกับอุปสรรคมากมาย โอกาสที่จะประสบความสำเร็จจึงลดลงอย่างเห็นได้ชัด
อีกทั้งหากคุณรัก ชอบ และถนัดในสิ่งใด แต่สิ่งนั้นกลับไม่มีตลาดรองรับ หรือมีตลาดที่แคบเกินไป การทำสิ่งนั้นเป็นอาชีพก็ย่อมเป็นเรื่องที่ยาก เช่น การที่คุณรักการเลี้ยงกิ้งก่าและอาศัยอยู่ในจังหวัดเชียงใหม่ หากคุณเปิดร้านขายอุปกรณ์เลี้ยงกิ้งก่าที่ตีนดอย โอกาสในการประสบความสำเร็จอาจจะต่ำมาก เพราะกลุ่มคนที่สนใจเลี้ยงกิ้งก่าในพื้นที่นั้นมีไม่มากนัก แต่หากคุณเลือกที่จะเปิดร้านออนไลน์ ซึ่งสามารถส่งสินค้าทั่วโลกและใช้ภาษาอังกฤษในการทำตลาด คุณอาจจะมีโอกาสประสบความสำเร็จมากขึ้น เพราะตลาดทั่วโลกอาจมีผู้สนใจในสิ่งที่คุณทำมากกว่าที่คุณคิด
สิ่งที่สำคัญจริงๆ ในชีวิตคือการถามตัวเองว่า "ชีวิตของเราเป็นไปเพื่ออะไร?" เคยถามตัวเองบ้างไหมว่า "เราควรทำอะไรในชีวิตนี้เพื่อให้ได้มาซึ่งความสุข?" หลายคนในปัจจุบันวิ่งตามความสำเร็จในรูปแบบที่สังคมกำหนด โดยลืมที่จะหาความสุขในชีวิตจริงๆ พวกเขาคิดว่า หากเก็บเงินให้ได้มากๆ ทำงานหนักไปเรื่อยๆ จนเกษียณแล้วถึงจะได้ทำสิ่งที่รัก แต่เมื่อเวลาผ่านไป พวกเขากลับพบว่าเวลาที่เหลือสำหรับการทำสิ่งที่รักนั้นมีน้อยเหลือเกิน
มาตรวัดที่แท้จริงของชีวิตไม่ควรเป็นแค่การสะสมความสำเร็จในรูปแบบของตำแหน่ง เงินทอง หรือสิ่งต่างๆ ที่สังคมยกย่อง แต่มาตรวัดที่สำคัญจริงๆ คือ "ใครที่มีความสุขในชีวิตมากกว่าคนนั้น คือผู้ที่ประสบความสำเร็จจริงๆ"
สิ่งที่โรงเรียนและมหาวิทยาลัยไม่ได้สอนเรา คือ "วิชาชีวิตจริง" ซึ่งไม่สามารถวัดได้จากคะแนนสอบหรือใบปริญญา แต่เป็นการเข้าใจว่าชีวิตนี้เราควรจะใช้ชีวิตอย่างไรเพื่อให้ได้มาซึ่งความสุขที่แท้จริง.
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น