I wanna fly into the sky ชื่อของเขาจะอยู่ในประวัติศาสตร์ แต่กลับไม่มีใครจดจำเขาได้ในฐานะ ‘นักบินอวกาศผู้พิชิตดวงจันทร์’

I wanna fly into the sky,
I'm gonna fly way up so high,
Even if I have to give up my life,
I'm gonna make it, I'm gonna make it.








"การบินในฝัน: สัญญาณแห่งการเสียสละที่ไม่มีใครเห็น"

เมื่อพูดถึงการค้นพบในประวัติศาสตร์ อาจจะมีบางคนที่มองข้ามสิ่งที่อาจดูเหมือนเป็น “ความสำเร็จที่ไม่สมบูรณ์” ไมเคิล คอลลินส์ คือหนึ่งในตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดของการเสียสละที่ถูกมองข้าม ทั้งที่เขาเป็นส่วนหนึ่งของภารกิจ “อพอลโล่ 11” ที่สำคัญในประวัติศาสตร์มนุษย์ในการเดินทางไปยังดวงจันทร์ แต่แท้จริงแล้ว สิ่งที่เขาทำมันไม่ได้มีชื่อเสียงเทียบเท่ากับเพื่อนร่วมภารกิจอย่างนีล อาร์มสตรอง หรือบัซ อัลดริน แต่บทบาทของเขามีความสำคัญอย่างยิ่งยวด แม้ว่าโลกจะไม่ทันเห็นสิ่งที่เขาต้องการให้เห็น—การเหยียบพื้นดวงจันทร์

การเดินทางของไมเคิลคือการค้นหาความหมายของ "ความสำเร็จ" ผ่านการเสียสละ และการยอมรับในความว่างเปล่า—ทั้งที่เขาเป็นคนเดียวที่ไม่สามารถสัมผัสพื้นผิวดวงจันทร์ได้ในที่สุด ความรู้สึกนี้ไม่ได้เพียงแต่มีแค่ในอดีตของเขา แต่ยังสะท้อนถึงทฤษฎีทางจิตวิทยาของ Viktor Frankl ที่เกี่ยวข้องกับความหมายในชีวิตผ่านการเผชิญกับความทุกข์ (Logotherapy)

Logotherapy และการค้นหาความหมาย
Viktor Frankl ผู้พัฒนาทฤษฎี Logotherapy กล่าวถึง "ความหมาย" ในชีวิตว่าเป็นปัจจัยสำคัญในการเอาชนะทุกความท้าทายในชีวิต โดย Frankl อธิบายว่าเมื่อคนเรารู้สึกว่ามีความหมายบางอย่างในสิ่งที่ทำ การเผชิญกับความทุกข์และความสูญเสียก็สามารถเป็นพลังในการเติบโตได้ เราคงไม่สามารถคาดเดาได้ว่าไมเคิล คอลลินส์จะรู้สึกอย่างไรภายใต้สถานการณ์ที่ดูเหมือนจะขาด “ความสำเร็จ” แต่สิ่งที่เรารู้คือเขาอาจจะรู้ว่าการอยู่ข้างในยานอวกาศในขณะนั้นก็เป็นการทำบางสิ่งที่ยิ่งใหญ่ได้เหมือนกัน แม้โลกจะไม่เห็นมันก็ตาม

เพลง “I Wanna Fly Into the Sky” ของศิลปินที่ยอมสละชีวิตเพื่อทำสิ่งที่ไม่สามารถจับต้องได้ ก็บอกถึงความปรารถนาของคนที่มุ่งไปข้างหน้าไม่ว่าเส้นทางนั้นจะเต็มไปด้วยความเจ็บปวดหรือความสูญเสียก็ตาม ประโยคที่ว่า "Even if I have to give up my life, I'm gonna make it" คือการบอกเล่าถึงคนที่ทุ่มเททั้งชีวิตเพื่อไปถึงจุดหมาย ถึงแม้ว่ามันอาจจะเป็นการทิ้งทุกสิ่งที่เคยรู้จักไว้เบื้องหลัง

ไมเคิล คอลลินส์ไม่ได้แค่ "ทิ้งทุกสิ่งที่เขารัก" เขาทำในสิ่งที่อาจจะมองไม่เห็น แต่กลับเป็นส่วนหนึ่งที่ขับเคลื่อนการสำรวจครั้งประวัติศาสตร์นี้ เมื่อยานอพอลโล่ 11 กลับสู่โลกและระเบิดจากการเผาไหม้ในบรรยากาศ เขากลายเป็นแสงสว่างในความมืดที่ทุกคนเห็นและจดจำได้ แม้เขาจะไม่ได้ทิ้งรอยเท้าบนพื้นดวงจันทร์

เสียสละเพื่อคนอื่น: การสู้ต่อโดยไม่หวังผลตอบแทน
ในชีวิตของเรา บางครั้งเราก็อาจต้องพบกับการที่ต้องให้ความสำคัญกับเป้าหมายและคนอื่นๆ มากกว่าตัวเองเหมือนไมเคิล คอลลินส์ บางครั้งสิ่งที่สำคัญจริงๆ ไม่ใช่การได้รับการยอมรับจากผู้อื่น แต่เป็นการรู้ว่าตัวเราได้ทำในสิ่งที่ถูกต้องแล้ว โดยไม่จำเป็นต้องมีรางวัลหรือการรับรู้จากสังคม

อาจมีบางช่วงที่ชีวิตของเรารู้สึกเหมือนอยู่ในวงล้อหมุนวนที่ไม่มีที่สิ้นสุด—เหมือนที่ไมเคิลลอยอยู่ในอวกาศ แต่สิ่งที่สำคัญคือการทำในสิ่งที่เราหมายมั่นอยากจะทำ แม้ว่าเราจะไม่เห็นผลลัพธ์ในทันที หรือไม่รู้ว่าความสำเร็จจะมาถึงในภายหลังหรือไม่ ความหมายของการทำในสิ่งที่ถูกต้องนั้นคือการสร้างมรดกภายในใจของตัวเราเอง ไม่ว่าโลกจะจดจำเราหรือไม่ก็ตาม

การถอดหมวกนักบินอวกาศ
ความรู้สึกที่ไมเคิล คอลลินส์ถอดหมวกนักบินอวกาศออกในขณะที่เขารู้ว่าข้างนอกนั้นเป็นสุญญากาศ กลับเป็นเหมือนการปลดปล่อยตัวเองจากการกดดันและความคาดหวังจากคนรอบข้าง ความฝันอาจจะยังไม่เป็นจริงในเวลานั้น แต่การที่เขาเลือกที่จะยอมรับสถานการณ์และใช้ความฝันเป็นวิธีในการรับมือกับความทุกข์คือบทเรียนสำคัญ

เช่นเดียวกับเราเอง เราคงไม่สามารถหลีกเลี่ยงการเผชิญกับความท้าทายหรือความสูญเสียได้ แต่ที่สำคัญคือการไม่ยอมแพ้ เราสามารถเลือกที่จะมองความฝันที่ไม่สมบูรณ์ในแง่บวก—เหมือนกับไมเคิล คอลลินส์—ด้วยการยอมรับมันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตและการเดินทางของเรา

ข้อคิดสำหรับชีวิต
“แม้จะไม่เคยเหยียบดวงจันทร์ แต่ความฝันมันยังคงอยู่ในใจ” เราทุกคนล้วนมีความฝันและเป้าหมายที่ต้องการไปให้ถึง ไม่ว่าเราจะเดินทางไกลแค่ไหนหรือเผชิญอุปสรรคใดๆ ความสำคัญไม่ใช่การบรรลุเป้าหมายนั้น แต่คือการที่เราได้พยายามและทุ่มเทในสิ่งที่เราเชื่อมั่น นั่นคือความสำเร็จที่แท้จริง

สรุปง่ายๆ:

บางครั้งการทำในสิ่งที่ยิ่งใหญ่แต่ไม่ถูกมองเห็นอาจเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่เราสามารถทำได้ ชีวิตไม่ใช่แค่การมองหาความสำเร็จที่คนอื่นมองเห็น แต่คือการค้นหาความหมายในสิ่งที่เราทำ และเชื่อมั่นว่าแม้โลกจะไม่จำเรา แต่การให้ความสำคัญกับการทุ่มเทและความฝันของตัวเองก็เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุด.

เพลงนี้สะท้อนถึงความรู้สึกของการทำสิ่งยิ่งใหญ่โดยไม่มีการรับรู้หรือการยอมรับจากคนรอบข้าง เหมือนกับชีวิตของคนที่ต้องทำหน้าที่อย่างไม่คำนึงถึงรางวัลหรือการยกย่องที่ได้กลับมา เหมือนกับไมเคิล คอลลินส์ที่ไม่เคยได้เป็นที่จดจำในฐานะคนที่เหยียบดวงจันทร์เหมือนกับนีล อาร์มสตรองหรือบัซ อัลดริน แต่เขาก็ยังคงภาคภูมิใจในภารกิจของเขา

เนื้อเพลงก็พูดถึงการมุ่งมั่นที่จะไปให้ถึงจุดหมาย แม้จะต้องแลกด้วยชีวิต ซึ่งสามารถสะท้อนความพยายามในชีวิตของคนที่ต้องการจะบรรลุเป้าหมายโดยไม่ย่อท้อ แม้จะรู้ว่าอาจไม่ได้รับการยอมรับในช่วงเวลานั้น เช่นเดียวกับตัวเองที่อาจจะต้องต่อสู้กับโรคไบโพล่าร์หรือการฝ่าฟันอุปสรรคต่าง ๆ ที่ยากลำบากในชีวิต ทุกคนต่างมีดวงจันทร์ของตัวเองที่เป็นเหมือนเป้าหมายในชีวิต แม้ว่าบางครั้งมันอาจจะไม่สามารถเอื้อมถึงได้

เพลงยังสะท้อนถึงความสัมพันธ์ที่บางครั้งการพยายามให้ถึงเป้าหมายหรือรักบางอย่างก็อาจจะไม่สำเร็จ แต่ก็ยังคงเป็นสิ่งที่น่าจดจำและมีความหมายในชีวิต แม้ว่าจะไม่ได้ครอบครองมันจริง ๆ ก็ตาม มันอาจจะเหมือนการมองดวงจันทร์จากระยะไกลที่ยังคงสวยงามและเป็นแรงบันดาลใจให้กับการเดินทาง

ท่อนสุดท้ายที่พูดถึงการ "ระเบิดให้แสงสว่างจ้า" เพื่อที่จะให้คนจดจำตัวเองในแบบที่เป็นจริง ๆ โดยไม่ต้องปรุงแต่งตัวตนเพื่อให้คนอื่นยอมรับ เป็นข้อความที่มีพลังและสะท้อนถึงการไม่ยอมให้ความกลัวหรืออุปสรรคมาหยุดยั้งการแสดงออกถึงตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง

I wanna fly to the sky
I gonna fly way up so high
Even if I have to give up my life
I'm gonna make it, I'm gonna make it
ฉันมองจันทร์จากยานที่เดินทางมาแสนไกล
กว่าสองแสนสามหมื่นแปดพันเก้าร้อยไมล์
เพียงแค่อยากเหยียบพื้นผิวสัมผัสดวงจันทร์
พร้อมจะแลกพร้อมประจันเชื่อว่าคุ้มค่ากับมัน
แต่ในเมื่อเป็นกัปตัน หน้าที่ฉันคือเฝ้ายาน
ทั้งที่ตัวฉันรอจนถึงวันนี้มาเท่านาน
ดูเพื่อนลงปฏิบัติการแต่ตัวฉันเกาะหน้าต่าง
มองจันทร์หมุนเคว้งคว้างแค่เอื้อมมืออยู่ไม่ห่าง
และหากนั่นคือจุดหมาย ฉันยอมดับดิ้น
ดีกว่ามองแล้วกลับโลก ทิ้งความฝันให้ดับดิ้น
โลกจำ Neil Armstrong โลกจำ Buzz Aldrin
ว่าเป็นคนเหยียบดวงจันทร์แต่ฉันคือ Michael Collins
ฉันยอมขาดวิ่นเป็นผุยผงอวกาศ
ดีกว่าเป็นแค่กระต่ายนั่งหมายจันทร์อย่างเขลาขลาด
รอก่อนนะดวงจันทร์กำลังลอยเอารอยเท้าไปฝาก
หมดเวลาเฝ้ายานถึงเวลาจารึกประวัติศาสตร์
I wanna fly to the sky
I gonna fly way up so high
Even if I have to give up my life
I'm gonna make it, I'm gonna make it
อีกกี่ปีแสงก็จะไม่หวั่น
อีกกี่ปัญหาก็จะไม่สั่น
ท่ามกลางเวหาหมู่ดาวร้อยพัน
จะไปให้ถึงเธอ ต้องไปให้ถึงเธอ ในสักวัน
เปรียบประดุจเธอไม่ต่างจากจันทร์อันแสงไกล
ที่มีกระต่ายเฝ้าหมายจันทร์และหมายปองอีกแสนตัว
มีดาวอีกแสนดวง เธอนวลผ่องกว่าดาวแสงใด
ถึงแม้อยากขึ้นไป แต่ฝูงกระต่ายก็แสนกลัว
กระต่ายเลยแฝงตัวมาเป็นนักบินอวกาศ
ซึ่งกระต่ายตัวนั้นคือฉันผู้หลังจันทร์พิศวาส
จะขึ้นไปถึงจันทร์แล้วปักธงให้ผงาด
แม้ใครมองว่าเพ้อฝันจะลบทุกคำสบประมาท
กระโดดออกจากหน้าต่างยานแล้วเสี่ยงโชคไปเลย
กดวิทยุไปบอกเพื่อน "เอายานกลับโลกไปเลย"
ระเบิดให้แสงสว่างจ้า ให้ช่วงโชติไปเลย
ดีกว่าไม่อยู่ในความทรงจำใครเลย
I wanna fly to the sky
I gonna fly way up so high
Even if I have to give up my life
I'm gonna make it, I'm gonna make it
อีกกี่ปีแสงก็จะไม่หวั่น
อีกกี่ปัญหาก็จะไม่สั่น
ท่ามกลางเวหาหมู่ดาวร้อยพัน
จะไปให้ถึงเธอ ต้องไปให้ถึงเธอ ในสักวัน

"การต่อสู้กับความฝัน: การเดินทางผ่านท้องฟ้าและดวงจันทร์ในแสงแห่งวิทยาศาสตร์และความปรารถนา"

เพลงนี้คือบทเพลงของคนที่กล้าหาญที่สุด และในขณะเดียวกันมันก็สะท้อนให้เห็นถึงความหวัง ความฝัน และการเสียสละในชีวิตของมนุษย์ เมื่อเราได้ยินคำว่า "I wanna fly to the sky, I’m gonna fly way up so high," เราจะได้สัมผัสกับความรู้สึกที่เหมือนจะเป็นแรงบันดาลใจจากภายในจิตใจ เรากำลังพูดถึงคนที่พร้อมที่จะทำทุกอย่างเพื่อไปให้ถึงจุดหมาย แม้ว่าจะต้องแลกด้วยชีวิตก็ตาม หรือพูดให้ลึกลงไปกว่านั้น คือคนที่ยอมสละทุกสิ่งเพื่อให้ความฝันของตัวเองเป็นจริง

ยกตัวอย่างง่ายๆ จากการผจญภัยในอวกาศของไมเคิล คอลลินส์ ที่ไม่มีใครรู้จักเขาในฐานะผู้ที่ "เหยียบดวงจันทร์" แม้ว่าบุคคลอย่างนีล อาร์มสตรอง และบัซ ออลดริน จะได้รับการจดจำไปทั่วโลกในฐานะผู้ที่ไปถึงดวงจันทร์ แต่ไมเคิล คอลลินส์กลับเป็นแค่ "กัปตัน" ที่เฝ้ายานอยู่ห่างจากการสัมผัสกับดวงจันทร์ แต่เขากลับเป็นส่วนสำคัญในภารกิจอวกาศนั้นในแบบที่เราอาจไม่เคยตระหนักมาก่อน

เหตุใดเรื่องราวนี้ถึงสำคัญ?

ทฤษฎีของการพัฒนาและการเสียสละ: หากเราจะพิจารณาเรื่องนี้ผ่านมุมมองทางวิทยาศาสตร์ แนวคิดที่สอดคล้องกับทฤษฎีของการพัฒนาในด้านจิตวิทยา เช่นทฤษฎีของ Viktor Frankl ใน Logotherapy ที่พูดถึงการหาความหมายในชีวิต ผ่านการยอมรับความทุกข์และการต่อสู้กับมัน เพื่อลงมือทำในสิ่งที่มีความหมายและไม่ยอมให้ความยากลำบากหยุดยั้งเราได้ จะเห็นได้ว่าในทางใดทางหนึ่ง ความพยายามในการบรรลุถึงเป้าหมาย หรือการมองไปยังดวงจันทร์ ก็เหมือนกับการต่อสู้เพื่อหาความหมายในชีวิตที่แท้จริง และเช่นเดียวกับ Frankl ที่กล่าวว่า "ชีวิตไม่มีความหมายจนกว่าคุณจะสร้างความหมายให้มัน" เราจึงสามารถแปลความหมายของเพลงนี้ได้ว่าเป็นการยืนยันว่าแม้จะต้องยอมทิ้งทุกอย่างไป แต่ความฝันที่ใหญ่ยิ่งนั้นก็ยังคงคุ้มค่า

ในทางกลับกัน ทฤษฎีของ Self-Determination Theory (SDT) ที่ศึกษาความพึงพอใจในการดำเนินชีวิต ก็เน้นเรื่องความตั้งใจและความพยายามที่จะทำตามเป้าหมาย ในกรณีนี้ คนที่กำลังแสวงหาความฝันไปสู่ดวงจันทร์ ก็คล้ายกับการพยายามที่จะเติมเต็มศักยภาพสูงสุดของตัวเองในการเผชิญกับความยากลำบาก ความฝันของเขาเป็นเหมือนดวงจันทร์ที่เราพยายามจะไปให้ถึง แม้ว่ามันจะห่างไกลสุดที่จินตนาการของเราจะเข้าใจ

จากดวงจันทร์สู่ชีวิตของเรา: ความรู้สึกของการไม่สามารถบรรลุถึงเป้าหมายอาจทำให้เรารู้สึกว่าเหมือนเรา "พลาด" หรือ "ไม่มีค่า" แต่ในความเป็นจริงแล้ว การไม่ได้ไปถึงสิ่งที่ตั้งใจไว้ก็ไม่ใช่การสูญเสียทั้งหมด บทเพลงนี้สะท้อนถึงความจริงข้อนี้ได้ดี ความฝันของเราเหมือนดวงจันทร์ แม้มันจะห่างไกลและยากที่จะไปถึง แต่การที่เราไม่สามารถไปถึงมันก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะล้มเหลว เพราะสิ่งที่สำคัญคือการเดินทางนั้นเอง

ไมเคิล คอลลินส์, แม้จะไม่ได้เหยียบดวงจันทร์, แต่เขาคือส่วนหนึ่งที่สำคัญที่สุดในภารกิจอวกาศนั้นเช่นเดียวกัน ในชีวิตของเรา เราอาจจะไม่ได้เป็น "ดาว" ที่ทุกคนจดจำ แต่มันไม่ได้ทำให้เราน้อยลงเลย

บทสรุปส่วนตัว: เพลงนี้ทำให้เรารู้สึกถึงความจริงอันเจ็บปวดในการไล่ตามความฝัน ความหมายของชีวิต และความรัก ทั้งหมดนี้คือลักษณะของการต่อสู้ที่ไม่มีวันหยุดยั้ง แม้ว่าในบางครั้งเราจะพบว่า "จุดหมาย" ที่เราหมายปองอาจจะไม่อยู่ตรงหน้าทุกคน แต่สุดท้าย ความรู้สึกและการต่อสู้ที่เราได้ลงมือทำมันไปนั้น จะเป็นสิ่งที่ทำให้เรา "มีค่า" และ "จำ" ได้ แม้ว่าจะไม่มีใครรู้เลยก็ตาม

บางครั้งการรักใครสักคนก็เหมือนกับการมองดวงจันทร์ – มันอาจจะสวยงามจากระยะไกล แต่เมื่อเราพยายามเข้าไปใกล้ๆ เราก็พบว่าโลกแห่งความจริงก็เต็มไปด้วยความไม่สมบูรณ์แบบ และอาจจะไม่ได้ลงเอยตามที่เราคาดหวังไว้ แต่ความรู้สึกเหล่านั้นก็ยังคงเป็นเรื่องที่สวยงามและจดจำได้จนวันสุดท้าย

ชีวิตที่เต็มไปด้วยการต่อสู้เพื่อความฝัน ความรัก และการเสียสละ อาจจะดูเหมือนแสนเศร้า แต่ก็เป็นชีวิตที่คุ้มค่าและสมบูรณ์ที่สุดในแบบของมันเอง.

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม