เมื่อมุมวางแผนและแทนลงมือ: ความสำเร็จอยู่กลางทาง
ปรัชญาจากหม้อไฟพัง: บทเรียนที่ไม่ธรรมดาจากชีวิตและวิทยาศาสตร์
เขียนเสริมจากนิยาย
https://www.readawrite.com/a/60e573df70ca3e364f5a221261db3a76
เสียงเครื่องยนต์เร้าใจของรถกระบะคันเก่าครางออกมาเป็นทำนองเฉพาะตัว แทนเหยียบคันเร่งจนสุดแรง ดวงตาคู่คมจับจ้องไปยังเส้นทางอันคดเคี้ยวข้างหน้า ลมพัดกระหน่ำผมยุ่งๆ ของเขาปลิวไสว รอยยิ้มกว้างปรากฏบนใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยแผลเป็นเล็กน้อย มันคือรอยยิ้มของคนที่พร้อมจะเผชิญหน้ากับทุกสิ่งที่ขวางทาง
"มุม มึงพร้อมรึยังวะ?" แทนหันไปถามเพื่อนสนิทที่นั่งข้างๆ
มุมหรี่ตามองออกไปนอกหน้าต่าง ดวงตาสีน้ำตาลเข้มฉายแววคิดใคร่ครวญ เขาเอามือแตะที่คางพลางพึมพำเบาๆ "พร้อมแล้วล่ะ แต่...มึงคิดว่าเราควรจะทำแบบนี้จริงๆ เหรอวะ แทน"
"คิดมากทำไมวะมุม! ชีวิตมันก็แค่นี้แหละ ลุยไปเลย!" แทนตอบกลับด้วยเสียงที่เต็มไปด้วยความมั่นใจ
คำพูดของทั้งคู่สะท้อนภาพของสองบุคลิกที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แทนเป็นคนที่มีความกล้าหาญเกินร้อย เขาพร้อมจะกระโดดเข้าสู่การผจญภัยใหม่ๆ โดยไม่ลังเล แต่ในขณะเดียวกัน มุมก็เป็นคนที่รอบคอบและชอบวิเคราะห์สถานการณ์ก่อนตัดสินใจเสมอ
การเดินทางของทั้งสองยังคงดำเนินต่อไป เส้นทางที่พวกเขาเลือกเดินนั้นเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน แต่ก็เปี่ยมไปด้วยความท้าทาย พวกเขาต้องเผชิญหน้ากับอุปสรรคมากมาย ทั้งพายุฝนที่กระหน่ำลงมาอย่างไม่ทันตั้งตัว และเส้นทางที่ขรุขระจนรถเกือบเสียหลัก แต่ด้วยความช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ทั้งแทนและมุมก็สามารถฝ่าฟันอุปสรรคเหล่านั้นมาได้
ในระหว่างการเดินทาง แทนได้เรียนรู้ที่จะอดทนและรอบคอบมากขึ้น ขณะที่มุมก็ได้เรียนรู้ที่จะกล้าที่จะก้าวออกจากกรอบความคิดเดิมๆ และเปิดใจรับสิ่งใหม่ๆ
เมื่อถึงจุดหมายปลายทาง ทั้งแทนและมุมต่างรู้สึกภูมิใจในตัวเอง พวกเขาได้เรียนรู้บทเรียนชีวิตที่สำคัญ และตระหนักว่าความสำเร็จที่แท้จริงนั้นไม่ได้เกิดขึ้นจากการทำงานเพียงลำพัง แต่เกิดจากการทำงานร่วมกันของคนที่มีความแตกต่างหลากหลาย
เรื่องราวของแทนและมุมสะท้อนให้เห็นถึงปรัชญา Growth Mindset ได้อย่างชัดเจน การที่ทั้งสองคนยอมรับในความแตกต่างของกันและกัน และพร้อมที่จะเรียนรู้จากประสบการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้พวกเขาสามารถพัฒนาตนเองได้อย่างต่อเนื่อง
ในชีวิตจริง เราทุกคนล้วนมีทั้งด้านของแทนและมุมอยู่ในตัว การที่เราสามารถสร้างความสมดุลระหว่างความกล้าหาญและความรอบคอบ ความคิดสร้างสรรค์และความวิเคราะห์ ก็จะนำพาเราไปสู่ความสำเร็จได้อย่างแน่นอนเสียงเครื่องยนต์ดังพรึ่มพรึ่ม บรรยากาศที่เต็มไปด้วยความคึกคักของ "แทน" และความเงียบสงบแฝงความคิดลึกซึ้งของ "มุม" กลายเป็นตัวแทนของสองมุมมองในชีวิต: หนึ่งคือความดิบเถื่อนที่ลงมือทำโดยไม่คิดหน้าคิดหลัง กับอีกหนึ่งคือความละเอียดรอบคอบที่ตั้งคำถามต่อความเสี่ยงของการกระทำทุกอย่าง
เมื่อเรามองเหตุการณ์จากบทสนทนาในเรื่องนี้ มันสะท้อนปรัชญาแบบ Growth Mindset ที่ศาสตราจารย์ Carol S. Dweck กล่าวไว้ในหนังสือ Mindset: The New Psychology of Success เธอระบุว่าการยอมรับความผิดพลาดไม่ใช่การล้มเหลว แต่มันคือก้าวแรกของการเรียนรู้และเติบโต
แทนคือตัวแทนของคนที่ยอมลุย แม้จะล้มเหลว แต่ยังหัวเราะกับมันได้ ส่วนมุมคือคนที่ตั้งคำถามและคอยสังเกตการณ์ การทำงานร่วมกันของทั้งสองคนจึงสะท้อนความสมดุลที่เราต้องการในชีวิต: การกล้าที่จะลงมือทำ และการมีเหตุผลเพื่อไม่พุ่งชนปัญหาโดยไม่จำเป็น
หม้อไฟดับ ส่องแสงแห่งปัญญา: เมื่อความล้มเหลวเป็นครูสอนชีวิต
เสียงฟู่ของหม้อไฟที่ดับสนิทลง กลายเป็นสัญญาณเตือนใจถึงความไม่แน่นอนของชีวิต หากมองในแง่มุมของวิทยาศาสตร์ การดับของหม้อไฟอาจเกิดจากสาเหตุทางฟิสิกส์ที่หาคำอธิบายได้ เช่น สายไฟขาด วงจรลัดวงจร หรือแรงดันไฟฟ้าไม่เสถียร แต่เมื่อขยับมุมมองมาที่ชีวิตของมนุษย์ ความล้มเหลวที่เกิดขึ้นก็เปรียบเสมือนหม้อไฟที่ดับลงเช่นกัน มันเป็นสัญญาณบอกเหตุว่ามีบางอย่างในระบบของเราที่ขัดข้อง และต้องการการปรับปรุงแก้ไข
ปรัชญาตะวันตกได้ให้ความสำคัญกับการเรียนรู้จากความล้มเหลวมานานแล้ว หนึ่งในปรมาจารย์ที่กล่าวถึงเรื่องนี้ไว้อย่างน่าสนใจคือ ฟรีดริช นีทเช ซึ่งให้ข้อคิดที่ว่า "สิ่งที่ไม่ฆ่าคุณ ทำให้คุณแข็งแกร่งขึ้น" คำกล่าวนี้สะท้อนให้เห็นว่า ความล้มเหลวไม่ได้เป็นจุดจบของทุกสิ่ง แต่กลับเป็นโอกาสอันล้ำค่าที่จะช่วยให้เราเติบโตและพัฒนาตนเองให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น
การเรียนรู้จากความล้มเหลว เปรียบเสมือนการชำแหละหม้อไฟเพื่อค้นหาสาเหตุที่แท้จริงของปัญหา เมื่อเราเผชิญกับความล้มเหลว สิ่งสำคัญคือการตั้งคำถามกับตนเองว่า อะไรคือปัจจัยที่นำไปสู่ความล้มเหลวนี้? เราสามารถเรียนรู้อะไรจากเหตุการณ์นี้บ้าง? และเราจะนำบทเรียนที่ได้มาปรับใช้กับสถานการณ์ในอนาคตได้อย่างไร? การวิเคราะห์อย่างละเอียดรอบคอบจะช่วยให้เราเข้าใจถึงรากเหง้าของปัญหา และหาแนวทางแก้ไขที่ตรงจุดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากการวิเคราะห์แล้ว การยอมรับความล้มเหลวก็เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง หลายคนมักจะรู้สึกอับอายหรือเสียใจเมื่อเผชิญกับความล้มเหลว แต่การปฏิเสธความจริงจะไม่ช่วยให้เราแก้ไขปัญหาได้ การยอมรับว่าเราล้มเหลวเป็นการเปิดโอกาสให้เราได้เรียนรู้และเติบโตจากประสบการณ์นั้น ๆ
ความพยายามที่จะแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น แม้จะต้องเผชิญกับความล้มเหลวซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก็แสดงให้เห็นถึงความเป็นมนุษย์ที่น่าชื่นชม มนุษย์เราเป็นสัตว์สังคมที่มุ่งมั่นที่จะพัฒนาตนเองและสังคมให้ดีขึ้นเสมอ การที่เราไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคและยังคงพยายามที่จะหาทางออก แสดงให้เห็นถึงความหวังและความเชื่อมั่นในอนาคตอันสดใส
เมื่อมองย้อนกลับไปที่หม้อไฟที่ดับลง เราจะพบว่ามันไม่ใช่เพียงแค่เครื่องใช้ไฟฟ้าที่เสียหาย แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของการเรียนรู้และการเติบโต การเรียนรู้จากความล้มเหลวเปรียบเสมือนการเติมเชื้อเพลิงให้กับชีวิต ทำให้เราสามารถก้าวข้ามผ่านอุปสรรคต่าง ๆ และบรรลุเป้าหมายที่ตั้งใจไว้ได้ในที่สุด
ปรัชญาตะวันตกได้ให้ความสำคัญกับการเรียนรู้จากความล้มเหลวมานานแล้ว หนึ่งในปรมาจารย์ที่กล่าวถึงเรื่องนี้ไว้อย่างน่าสนใจคือ ฟรีดริช นีทเช ซึ่งให้ข้อคิดที่ว่า "สิ่งที่ไม่ฆ่าคุณ ทำให้คุณแข็งแกร่งขึ้น" คำกล่าวนี้สะท้อนให้เห็นว่า ความล้มเหลวไม่ได้เป็นจุดจบของทุกสิ่ง แต่กลับเป็นโอกาสอันล้ำค่าที่จะช่วยให้เราเติบโตและพัฒนาตนเองให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น
การเรียนรู้จากความล้มเหลว เปรียบเสมือนการชำแหละหม้อไฟเพื่อค้นหาสาเหตุที่แท้จริงของปัญหา เมื่อเราเผชิญกับความล้มเหลว สิ่งสำคัญคือการตั้งคำถามกับตนเองว่า อะไรคือปัจจัยที่นำไปสู่ความล้มเหลวนี้? เราสามารถเรียนรู้อะไรจากเหตุการณ์นี้บ้าง? และเราจะนำบทเรียนที่ได้มาปรับใช้กับสถานการณ์ในอนาคตได้อย่างไร? การวิเคราะห์อย่างละเอียดรอบคอบจะช่วยให้เราเข้าใจถึงรากเหง้าของปัญหา และหาแนวทางแก้ไขที่ตรงจุดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากการวิเคราะห์แล้ว การยอมรับความล้มเหลวก็เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง หลายคนมักจะรู้สึกอับอายหรือเสียใจเมื่อเผชิญกับความล้มเหลว แต่การปฏิเสธความจริงจะไม่ช่วยให้เราแก้ไขปัญหาได้ การยอมรับว่าเราล้มเหลวเป็นการเปิดโอกาสให้เราได้เรียนรู้และเติบโตจากประสบการณ์นั้น ๆ
ความพยายามที่จะแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น แม้จะต้องเผชิญกับความล้มเหลวซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก็แสดงให้เห็นถึงความเป็นมนุษย์ที่น่าชื่นชม มนุษย์เราเป็นสัตว์สังคมที่มุ่งมั่นที่จะพัฒนาตนเองและสังคมให้ดีขึ้นเสมอ การที่เราไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคและยังคงพยายามที่จะหาทางออก แสดงให้เห็นถึงความหวังและความเชื่อมั่นในอนาคตอันสดใส
เมื่อมองย้อนกลับไปที่หม้อไฟที่ดับลง เราจะพบว่ามันไม่ใช่เพียงแค่เครื่องใช้ไฟฟ้าที่เสียหาย แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของการเรียนรู้และการเติบโต การเรียนรู้จากความล้มเหลวเปรียบเสมือนการเติมเชื้อเพลิงให้กับชีวิต ทำให้เราสามารถก้าวข้ามผ่านอุปสรรคต่าง ๆ และบรรลุเป้าหมายที่ตั้งใจไว้ได้ในที่สุด
บทเรียนจากกีฬาที่เปลี่ยนชีวิต
"นักฟุตบอลที่ยอดเยี่ยมไม่ใช่คนที่ยิงประตูได้ทุกครั้ง แต่คือคนที่พลาดแล้วยังวิ่งต่อ" คำกล่าวของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ผู้จัดการทีมชื่อดังได้สะท้อนให้เห็นถึงแก่นแท้ของกีฬาฟุตบอลที่ลึกซึ้งยิ่งกว่าการแข่งขันเพื่อชัยชนะเพียงอย่างเดียว มันคือการเดินทางที่เต็มไปด้วยการเรียนรู้ การพัฒนา และการเติบโต
ในสนามฟุตบอล มุมมองของโค้ชเปรียบเสมือนเข็มทิศที่ชี้ทางให้ผู้เล่นได้ตระหนักถึงจุดแข็ง จุดอ่อน และโอกาสในการพัฒนาตนเอง แทนที่โค้ชจะมุ่งเน้นไปที่ผลการแข่งขันเพียงอย่างเดียว พวกเขาจะคอยสังเกตพฤติกรรมของนักเตะในทุกๆ รายละเอียด เพื่อหาแนวทางในการปรับปรุงและพัฒนาศักยภาพของนักเตะแต่ละคนให้ดียิ่งขึ้น
ในขณะเดียวกัน ผู้เล่นก็เปรียบเสมือนนักเรียนที่พร้อมเปิดรับคำแนะนำและพร้อมที่จะพัฒนาตนเองให้ดียิ่งขึ้น แม้ว่าจะต้องเผชิญกับความผิดพลาดบ่อยครั้งก็ตาม ความสามารถในการยอมรับความผิดพลาดและเรียนรู้จากความผิดพลาดนั้นเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพราะมันจะช่วยให้ผู้เล่นสามารถแก้ไขปัญหาและพัฒนาตนเองได้อย่างต่อเนื่อง
การประสานงานกันระหว่างโค้ชและผู้เล่น จึงเปรียบเสมือนการสร้างทีมที่แข็งแกร่งและมีความสามารถในการเอาชนะอุปสรรคต่างๆ ได้ เมื่อโค้ชสามารถสื่อสารและให้คำแนะนำกับผู้เล่นได้อย่างเข้าใจ และผู้เล่นก็พร้อมที่จะรับฟังและนำไปปรับใช้ การทำงานร่วมกันแบบนี้จะช่วยให้ทีมสามารถพัฒนาฝีเท้าและบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้ในที่สุด
บทเรียนจากสนามฟุตบอล นั้นสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นการทำงาน การเรียน หรือการใช้ชีวิตส่วนตัว การยอมรับความผิดพลาดและเรียนรู้จากความผิดพลาด การทำงานร่วมกับผู้อื่น และการมุ่งมั่นที่จะพัฒนาตนเองอยู่เสมอ ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่นำไปสู่ความสำเร็จในทุกๆ ด้าน
สรุปได้ว่า กีฬาฟุตบอลไม่ได้เป็นเพียงแค่เกมที่เล่นเพื่อความสนุกสนาน แต่ยังเป็นโรงเรียนแห่งชีวิตที่สอนให้เราเรียนรู้เกี่ยวกับการทำงานเป็นทีม การแก้ไขปัญหา การพัฒนาตนเอง และการเติบโตอย่างต่อเนื่อง เมื่อเราสามารถนำบทเรียนเหล่านี้ไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้ เราก็จะสามารถเอาชนะอุปสรรคต่างๆ และบรรลุเป้าหมายที่เราตั้งใจไว้ได้ในที่สุด
สรุป: ปรัชญาชีวิตที่ซ่อนอยู่ในเสียงเครื่องยนต์
เสียงเครื่องยนต์ ดังกึกก้องในหูเราเสมอ ไม่ว่าจะเป็นเสียงของรถยนต์ รถจักรยานยนต์ หรือเครื่องจักรกลหนัก เสียงเหล่านั้นไม่ได้เป็นเพียงแค่เสียงที่เกิดจากการทำงานของเครื่องยนต์เท่านั้น หากแต่ยังเปรียบเสมือนเสียงสะท้อนของชีวิตที่เต็มไปด้วยการเคลื่อนไหว การเปลี่ยนแปลง และการเผชิญหน้ากับอุปสรรคต่าง ๆ
ชีวิตของเราก็เปรียบเสมือนเครื่องยนต์ที่ขับเคลื่อนไปข้างหน้าด้วยพลังแห่งความฝัน ความมุ่งมั่น และความพยายาม แต่เช่นเดียวกับเครื่องยนต์ที่อาจมีขัดข้องบ้างเป็นครั้งคราว ชีวิตของเราก็ย่อมต้องเผชิญกับปัญหาและอุปสรรคที่ทำให้เราต้องหยุดชะงักลงบ้าง
แทน ผู้ที่กล้าฝันและลงมือทำ เปรียบเสมือนคนขับรถที่คอยเร่งเครื่องยนต์ให้ทำงานอย่างเต็มกำลัง เพื่อให้รถยนต์เคลื่อนที่ไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว แม้ว่าจะต้องเผชิญกับอุปสรรค เช่น ทางขรุขระ หรืออากาศเลวร้าย เขาก็ไม่ย่อท้อที่จะก้าวข้ามผ่านไป
มุม ผู้ที่คอยสะท้อนความจริงและเตือนสติ เปรียบเสมือนช่างเครื่องที่คอยตรวจสอบสภาพของเครื่องยนต์อยู่เสมอ เมื่อพบปัญหา ก็จะเข้าไปซ่อมแซมและปรับปรุงให้เครื่องยนต์กลับมาทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกครั้ง
บทเรียนที่เราได้เรียนรู้จากทั้งสองคนนี้ ก็คือ การสร้างสมดุลระหว่างการลงมือทำและการหยุดคิดทบทวน เมื่อเราตัดสินใจจะทำอะไรสักอย่าง เราต้องกล้าที่จะลงมือทำอย่างเต็มที่ แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องรู้จักที่จะหยุดคิดทบทวนเพื่อหาทางแก้ไขปัญหาเมื่อเกิดข้อผิดพลาดขึ้น
ความผิดพลาด เปรียบเสมือนรอยขีดข่วนบนเครื่องยนต์ อาจทำให้เครื่องยนต์ทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ แต่หากเรารู้จักที่จะซ่อมแซมและปรับปรุง ก็จะทำให้เครื่องยนต์กลับมาแข็งแรงยิ่งกว่าเดิม และพร้อมที่จะขับเคลื่อนเราไปสู่เป้าหมายที่ตั้งไว้ได้อย่างมั่นคง
ดังนั้น จงอย่ากลัวที่จะล้มเหลว เพราะความล้มเหลวเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการเดินทางสู่ความสำเร็จ ทุกครั้งที่เราล้มลง เราจะได้เรียนรู้บทเรียนใหม่ ๆ และเมื่อเราลุกขึ้นมาได้ เราจะแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม
ชีวิตเปรียบเสมือนสนามแข่งรถ ที่ทุกคนต่างก็มุ่งหน้าไปสู่เส้นชัย แต่ไม่มีใครสามารถคว้าชัยชนะได้ในครั้งเดียว เราต้องฝึกฝนฝึกซ้อมอย่างต่อเนื่อง และพร้อมที่จะปรับปรุงตัวเองอยู่เสมอ เพื่อให้สามารถเอาชนะอุปสรรคและบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้ในที่สุด
ดังนั้น จงกล้าที่จะลอง กล้าที่จะล้ม และกล้าที่จะลุกขึ้นมาอีกครั้ง เพราะทุกครั้งที่เราพยายาม เราจะเข้าใกล้ความสำเร็จขึ้นอีกก้าวเสมอ
(Verse 1)
เสียงเครื่องยนต์มันดัง **พรึ่มพรึ่ม**
ไอ้แทนโผล่เข้ามาแบบ **ฮึ่มฮึ่ม**
เสื้อเปื้อนน้ำมันกลิ่นนี่ลุยดะ
"มึงรอนานปะ? กูมาแบบดิบเถื่อน!"
มุมยืนงงในดงสายไฟ
"คุณมาสายนะครับ อย่าทำเป็นลืมไป"
แทนหัวเราะ "เออ กูเทพ กูได้!"
มุมพยักหน้าเบาๆ พร้อมหายใจเข้าใจ
(Pre-Chorus)
"เทพเครื่องจักร" ไม่ตามกฎเลย
เปรยคำพูดเล่นคำเหมือนเฉยเมย
มุมบ่นในใจ "ไอ้นี่เพลย์บอยเหรอ?"
แต่ขำก๊าก เมื่อแทนลั่น "เดี๋ยวกูเสกหม้อ!"
(Chorus)
**เทพ! เทพ! เทพเครื่องจักรในตำนาน**
ทำงานที ลั่นตู้ม เหมือนโรงงาน
"มึงอย่าคิดมาก ใจเย็น!" แทนยิ้มหวานแกมแซด
Who would've known I messed it up this bad,
Just one blink, and now it's all gone mad!
(Verse 2 )
เสียงค้อนกระทบดัง **ปัง ปัง**
มุมวางแผนละเอียด คิดมาอย่างระวัง
แทนตะโกน "เร็วหน่อยดิ! เดี๋ยวไม่ทัน!จงฟัง"
"แต่ถ้าเทพจริง ทำไมหม้อไฟมันยังพัง?"
---
(Pre-Chorus)
"เทพเครื่องจักร" ชอบทำตัวเลี่ยง
มุมบ่นเบาๆ "งานนี้โคตรเสี่ยง!"
แทนยักคิ้ว "มึงใจเย็นดิ อย่าเพิ่งเถียง"
เทพจะเทพ หรือเทพกระเจิง ลองดูเคียงข้าง เดี๋ยวรู้เอง!
---
(Chorus)
**เทพ! เทพ! เทพเครื่องจักรในตำนาน**
ทำงานที ลั่นตู้ม เหมือนโรงงาน
"มึงอย่าคิดมาก ใจเย็น!" แทนยิ้มหวานแกมแซด
Who would've known I messed it up this bad,
Just one blink, and now it's all gone mad!
(ท่านเท๊พ)
(Bridge)
"หม้อไฟร้อนแล้ว แต่ลืมใส่ปลั๊ก!"
"มึงอย่าแซวกู เดี๋ยวงานมึงโดนหัก!"
มุมขำพรืด "เทพยังไง อย่าแหย่ปลั๊กไฟเดี๋ยวชัก!"
"อย่ามามั่วซั่วเหมือนแค่โชว์หักดิบนะครับ!ท่านเทพเครื่องจักร"
(ท่านเท๊พ)
(Chorus)
**เทพ! เทพ! เทพเครื่องจักรในตำนาน**
ทำงานที ลั่นตู้ม เหมือนโรงงาน
"มึงอย่าคิดมาก ใจเย็น!" แทนยิ้มหวานแกมแซด
Who would've known I messed it up this bad,
Just one blink, and now it's all gone mad!
(ท่านเท๊พ)
(Outro)
เสียงเครื่องมือเงียบ แทนยืนยิ้มลีลาลื่น
มุมพยักหน้า "เสร็จละ ท่านเทพลีลาครื้นเครงนะครับ?"
แทนหัวเราะ "เทพแบบกูไม่มีวันลืม วันนี้โคตรยับ"
"มุมตรงเป๊ะนี่โคตรของจริง!ตรวจงานกูจนยับ"
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น