สมดุลแห่งรัก: ระหว่างความใกล้ชิดและการปล่อยวาง

สมดุลแห่งรัก: ระหว่างความใกล้ชิดและการปล่อยวาง



ความรักมักถูกเปรียบเทียบกับสิ่งสวยงามเปราะบางเสมอมา เหมือนดอกไม้ที่บานสะพรั่งแต่ก็โรยราได้ง่าย หรือเหมือนแก้วคริสตัลที่ส่องประกายเจิดจ้าแต่ก็แตกสลายได้ง่ายเช่นกัน หนึ่งในภาพเปรียบเทียบที่กินใจและชวนให้ขบคิดอย่างลึกซึ้งคือความรักที่เหมือนเดินอยู่บนเส้นด้าย ความต้องการที่จะเข้าใกล้คนที่เรารักอย่างสุดหัวใจกลับต้องเผชิญหน้ากับความกลัวที่จะสูญเสียทุกสิ่งไปหากความสัมพันธ์นั้นเกินเลยขอบเขตที่กำหนดไว้

บทความนี้จะพาผู้อ่านไปสำรวจความซับซ้อนของความรู้สึกนี้ ผ่านมุมมองของปรัชญา วิทยาศาสตร์ และตัวอย่างจากชีวิตจริง เพื่อทำความเข้าใจว่าทำไมเราถึงกลัวความใกล้ชิดในความรัก และจะทำอย่างไรเพื่อให้เราสามารถเดินบนเส้นด้ายนี้ได้อย่างมั่นคงและมีความสุข

ปรัชญา: การรักคือการยอมรับความไม่แน่นอน

ปรัชญาโบราณหลายแขนงได้กล่าวถึงความรักว่าเป็นสิ่งที่อยู่เหนือการควบคุมของมนุษย์ เป็นความรู้สึกที่ผันผวนและไม่แน่นอนเสมอมา การยอมรับความไม่แน่นอนนี้จึงเป็นหัวใจสำคัญของการรัก การกลัวความใกล้ชิดก็คือการพยายามควบคุมสิ่งที่ควบคุมไม่ได้นั่นเอง

  • พุทธศาสนา: สอนให้เรามองเห็นความไม่เที่ยงแท้ของทุกสิ่งทุกอย่าง รวมถึงความรัก การยึดติดกับความรักมากเกินไปจะนำมาซึ่งความทุกข์ การปล่อยวางความกลัวและยอมรับความเป็นจริงจึงเป็นทางออก
  • ปรัชญาตะวันตก: นักปรัชญาหลายท่าน เช่น เซนต์ ออกัสติน และ โบลโน่ ได้กล่าวถึงความรักว่าเป็นการเดินทางที่เต็มไปด้วยความท้าทายและอุปสรรค การรักคือการเรียนรู้ที่จะให้และรับอย่างสมดุล

วิทยาศาสตร์: ความรักและสมอง

วิทยาศาสตร์สมัยใหม่ได้เข้ามาศึกษาความรักในระดับชีวภาพ พบว่าเมื่อเรารักใครสักคน สมองจะหลั่งสารเคมีที่ทำให้เรารู้สึกสุขและผ่อนคลาย เช่น โดปามีนและออกซิโทซิน แต่ในขณะเดียวกันก็มีการหลั่งสารคอร์ติซอล ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับความเครียด การกลัวความใกล้ชิดอาจเกิดจากความกลัวที่จะสูญเสียความรู้สึกสุขสบายเหล่านี้

ตัวอย่างจากชีวิตจริง

  • ความรักในวัยรุ่น: ความรักครั้งแรกมักเต็มไปด้วยความกลัวที่จะเปิดเผยความรู้สึกของตัวเอง กลัวที่จะถูกปฏิเสธ และกลัวที่จะเสียเพื่อนไป
  • ความรักในวัยผู้ใหญ่: ความกลัวที่จะเริ่มต้นความสัมพันธ์ใหม่หลังจากผ่านความเจ็บปวดมาแล้ว อาจทำให้เราสร้างกำแพงป้องกันตัวเอง
  • ความรักในครอบครัว: ความกลัวที่จะแสดงความรักต่อคนในครอบครัวอย่างเปิดเผย อาจเกิดจากความกลัวที่จะถูกปฏิเสธหรือถูกมองว่าอ่อนแอ

การก้าวข้ามความกลัว

การก้าวข้ามความกลัวความใกล้ชิดต้องอาศัยความกล้าหาญและความตั้งใจ การสร้างความสัมพันธ์ที่แข็งแรงต้องอาศัยการสื่อสารที่เปิดอก การให้ความไว้วางใจซึ่งกันและกัน และการเรียนรู้ที่จะยอมรับความไม่สมบูรณ์แบบของทั้งสองฝ่าย

  • การทำความเข้าใจตัวเอง: การสำรวจความรู้สึกและความกลัวของตัวเองอย่างลึกซึ้งจะช่วยให้เราเข้าใจสาเหตุที่ทำให้เรากลัวความใกล้ชิด
  • การสื่อสาร: การพูดคุยกับคนที่เราไว้ใจ เช่น เพื่อนสนิท หรือผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยา จะช่วยให้เราได้รับคำแนะนำและกำลังใจ
  • การฝึกปฏิบัติ: การฝึกฝนทักษะทางสังคม เช่น การฟังอย่างตั้งใจ การแสดงความเห็นอกเห็นใจ และการให้อภัย จะช่วยให้เราสร้างความสัมพันธ์ที่ดีขึ้น

ระยะห่างที่พอดี: สมดุลแห่งรักที่ยั่งยืน

คำกล่าวของ Albert Einstein ที่ว่า "ชีวิตก็เหมือนการปั่นจักรยาน หากคุณต้องการรักษาสมดุล คุณต้องเคลื่อนไปข้างหน้า" นั้นสอดคล้องกับความสัมพันธ์เป็นอย่างยิ่ง การรักษาความสัมพันธ์ให้ยั่งยืน ก็เปรียบเสมือนการปั่นจักรยาน เราต้องหมุนวงล้อชีวิตคู่ให้เคลื่อนที่ไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง และการสร้าง "ระยะห่างที่พอดี" นั้นเองคือการรักษาสมดุลให้กับวงล้อคู่นี้

ระยะห่างไม่ใช่การผลักไส แต่คือการเปิดใจ

หลายคนอาจเข้าใจผิดว่าการสร้างระยะห่างคือการผลักไสคนรักออกไป แต่ในความเป็นจริงแล้ว การสร้างระยะห่างที่เหมาะสมคือการเปิดโอกาสให้ทั้งสองฝ่ายได้เติบโตในแบบของตัวเอง ได้เรียนรู้ที่จะอยู่กับความคิดถึง และเมื่อกลับมาพบกันอีกครั้ง ความรักก็จะยิ่งทวีคูณขึ้นไปอีก

John Bowlby และทฤษฎีความผูกพัน: เส้นทางสู่ความสัมพันธ์ที่มั่นคง

John Bowlby นักจิตวิทยาชื่อดังได้พัฒนาทฤษฎีความผูกพัน (Attachment Theory) ขึ้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 20 เพื่ออธิบายความสัมพันธ์ระหว่างเด็กกับผู้ดูแล โดยเฉพาะอย่างยิ่งแม่ และต่อมาได้ขยายกรอบแนวคิดนี้ไปสู่ความสัมพันธ์ในวัยผู้ใหญ่ ทฤษฎีนี้ชี้ให้เห็นว่า ความสัมพันธ์ที่แข็งแรงไม่ได้มาจากการอยู่ใกล้ชิดกันทุกขณะจิต หากแต่มาจาก "ความมั่นคงทางใจ" ที่อีกฝ่ายมอบให้

Bowlby พบว่า เด็กที่ได้รับการดูแลด้วยความรักและเอาใจใส่ในวัยเยาว์ จะเติบโตขึ้นมาพร้อมกับความมั่นคงในจิตใจ พวกเขาเชื่อว่า ผู้ที่รักและห่วงใยพวกเขาจะไม่ทอดทิ้งหรือหายไป แม้ในช่วงเวลาที่ต้องแยกจากกัน ช่วงเวลาที่ห่างไกลกันนั้น กลายเป็นโอกาสให้สายใยความสัมพันธ์แข็งแรงขึ้น เพราะทั้งสองฝ่ายเรียนรู้ที่จะไว้วางใจ และมองว่าอีกฝ่ายจะอยู่ตรงนั้นเสมอเมื่อมีความจำเป็น

ความสำคัญของ "ความมั่นคงทางใจ" ในความสัมพันธ์ระหว่างผู้ใหญ่

เมื่อแนวคิดนี้ถูกนำไปประยุกต์ใช้กับความสัมพันธ์ระหว่างผู้ใหญ่ Bowlby เน้นว่าความรักที่มั่นคงไม่ได้หมายถึงการอยู่ด้วยกันทุกเวลา แต่คือการที่คู่รักรู้สึก "ปลอดภัย" (Secure Base) ในการมีตัวตนของกันและกัน แม้ว่าจะต้องอยู่ห่างไกลกัน เช่นในกรณีที่ต้องทำงานต่างเมือง หรือต้องแยกกันด้วยเหตุผลใดก็ตาม

ตัวอย่างในชีวิตจริง: การเชื่อมโยงที่มองไม่เห็น

ยกตัวอย่างความสัมพันธ์ระหว่างคู่รักที่ต้องอยู่คนละประเทศเพื่อทำงาน แม้ร่างกายจะอยู่ไกลกัน แต่พวกเขาเชื่อมั่นว่าความรักและการสนับสนุนที่มีให้กันยังคงไม่เปลี่ยนแปลง การส่งข้อความง่ายๆ อย่าง "วันนี้เป็นอย่างไรบ้าง?" หรือการโทรหากันในช่วงเวลาเดียวกันทุกวัน สร้างความมั่นคงในความสัมพันธ์ แม้ทั้งสองจะไม่ได้อยู่ใกล้กันก็ตาม

ความเห็นจากงานวิจัยและปรัชญา

งานวิจัยในภายหลังโดย Mary Ainsworth ผู้ร่วมพัฒนาทฤษฎีนี้ ระบุว่าผู้ใหญ่ที่เติบโตมาในสิ่งแวดล้อมที่สนับสนุนจะสามารถพัฒนา รูปแบบความผูกพันที่ปลอดภัย (Secure Attachment Style) ได้ดี พวกเขามีแนวโน้มที่จะมองว่าการห่างไกลไม่ใช่จุดสิ้นสุดของความสัมพันธ์ แต่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการเติบโต

ปรัชญาของนักคิดอย่าง Rollo May ยังสนับสนุนความคิดนี้ โดยกล่าวว่า:

"ความรักที่แท้จริงไม่ใช่การครอบครอง แต่คือการยอมให้กันและกันได้เป็นตัวของตัวเอง และสนับสนุนการเติบโตนั้น"

บทเรียนจากทฤษฎีสู่ชีวิตประจำวัน

สำหรับทุกคนที่กำลังเผชิญกับความสัมพันธ์ที่ต้องห่างไกลกัน ลองถามตัวเองว่า ความรักของคุณตั้งอยู่บนพื้นฐานของความไว้วางใจและการสนับสนุนหรือไม่? หากคำตอบคือ "ใช่" นั่นแปลว่าคุณกำลังอยู่ในความสัมพันธ์ที่มีรากฐานแข็งแรง แม้ระยะทางจะห่างไกล ความมั่นคงในใจจะทำให้คุณยังคงรู้สึกเชื่อมโยงถึงกัน

ความรักที่มั่นคงไม่ได้หมายถึงการอยู่ใกล้กันเสมอ แต่มันคือการที่คุณมั่นใจว่า แม้จะอยู่ห่างกัน อีกฝ่ายก็ยังคงอยู่ในหัวใจของคุณเสมอ

ระยะห่างที่พอดี สร้างความสัมพันธ์ที่แข็งแรง

การสร้างระยะห่างที่พอดีในความสัมพันธ์นั้นมีประโยชน์มากมาย อาทิ

เปิดโอกาสให้ได้เรียนรู้ตัวเอง: เมื่อมีเวลาอยู่คนเดียว เราจะได้มีโอกาสสำรวจความคิด ความรู้สึก และความต้องการของตัวเองมากขึ้น ซึ่งจะช่วยให้เราเข้าใจตัวเองและคนรักได้ดียิ่งขึ้น

เสริมสร้างความสัมพันธ์: การคิดถึงกันในช่วงเวลาที่ห่างไกล จะช่วยให้เราตระหนักถึงคุณค่าของกันและกันมากขึ้น และเมื่อได้กลับมาพบกัน ความรักก็จะยิ่งเบ่งบาน

ลดความขัดแย้ง: การมีพื้นที่ส่วนตัวจะช่วยลดความขัดแย้งที่อาจเกิดขึ้นจากการอยู่ใกล้ชิดกันมากเกินไป

เพิ่มความตื่นเต้นให้กับความสัมพันธ์: การสร้างความคาดหวังและความตื่นเต้นในการพบกันครั้งต่อไป จะช่วยให้ความสัมพันธ์ไม่น่าเบื่อและจืดชืด

แล้วระยะห่างที่พอดีคืออะไร?

คำตอบของคำถามนี้อาจแตกต่างกันไปในแต่ละคู่ แต่สิ่งสำคัญคือทั้งสองฝ่ายต้องตกลงกันได้ และรู้สึกสบายใจกับระยะห่างนั้น

เคล็ดลับในการสร้างระยะห่างที่พอดี

เปิดใจคุยกันอย่างตรงไปตรงมา: สิ่งสำคัญที่สุดคือการพูดคุยกันอย่างเปิดอกเกี่ยวกับความรู้สึกและความต้องการของแต่ละฝ่าย

ให้เกียรติพื้นที่ส่วนตัวของกันและกัน: เคารพในการที่คนรักต้องการมีเวลาอยู่คนเดียว

สร้างกิจกรรมที่ทำร่วมกัน: แม้จะห่างไกลกัน แต่ก็สามารถสร้างกิจกรรมที่ทำร่วมกันได้ เช่น การโทรศัพท์คุยกัน หรือการดูหนังออนไลน์พร้อมกัน

เรียนรู้ที่จะอยู่คนเดียวได้: การเรียนรู้ที่จะมีความสุขกับการอยู่คนเดียว จะช่วยให้เราไม่รู้สึกขาดความมั่นคงเมื่อต้องอยู่ห่างจากคนรัก


ความว่างเปล่าในเซน: พื้นที่อันไร้ขอบเขตของความรัก

ปรัชญาเซนของตะวันออกได้นำเสนอแนวคิดที่น่าสนใจอย่างยิ่ง นั่นคือ "ความว่างเปล่า" หรือ "Mu" ซึ่งหมายถึงสถานะที่ปราศจากสิ่งยึดติดใดๆ ทั้งสิ้น แต่กลับเต็มไปด้วยความเป็นไปได้อันไร้ขอบเขต เมื่อนำแนวคิดนี้มาประยุกต์ใช้กับความรัก เราจะพบว่า "ความว่างเปล่า" ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงความว่างเปล่าที่ไร้ซึ่งความรู้สึก แต่กลับเป็นการสร้างพื้นที่ว่างอันกว้างใหญ่ในใจของเรา เพื่อให้ความรักได้เติบโตอย่างอิสระ ไม่ถูกจำกัดด้วยกรอบความคาดหวัง หรือความต้องการส่วนตัว

ความว่างเปล่าในเซนกับความรัก:

  • การปล่อยวางความคาดหวัง: เมื่อเราปล่อยวางความคาดหวังที่เราเคยมีต่อคนรัก เราจะเปิดใจรับฟังและเข้าใจในตัวเขาหรือเธอมากขึ้น ไม่พยายามเปลี่ยนแปลงให้เป็นไปตามที่เราต้องการ
  • การให้พื้นที่ส่วนตัว: การให้พื้นที่ส่วนตัวแก่คนรัก เปรียบเสมือนการสร้างสวนที่สวยงามให้เขาหรือเธอได้เดินเล่นอย่างอิสระ เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม พวกเขาก็จะกลับมาหาเราด้วยความเต็มใจ
  • การเติบโตอย่างอิสระ: ในความว่างเปล่านั้นเองที่ความรักจะได้เติบโตอย่างอิสระ ไม่ถูกจำกัดด้วยกรอบใดๆ ทั้งสิ้น มันจะเบ่งบานออกไปในรูปแบบที่สวยงามและไม่คาดคิด
  • การรับรู้ความเป็นจริง: เมื่อเราปล่อยวางความยึดติด เราจะสามารถมองเห็นความเป็นจริงของความสัมพันธ์ได้อย่างชัดเจน และสามารถปรับตัวเข้าหากันได้อย่างเหมาะสม

ตัวอย่างที่เปรียบเทียบ:

ลองนึกภาพว่าความรักของเรานั้นเปรียบเสมือนต้นไม้ใหญ่ เมื่อเราปลูกต้นไม้ เราจะต้องเตรียมดินที่ดี รดน้ำให้พอเหมาะ และให้แสงแดดที่เพียงพอ แต่เราไม่สามารถบังคับให้ต้นไม้เติบโตไปในทิศทางที่เราต้องการได้ ต้นไม้จะเติบโตไปตามธรรมชาติของมันเอง ในทำนองเดียวกัน ความรักก็ต้องการพื้นที่ในการเติบโต เมื่อเราสร้าง "ความว่างเปล่า" ในใจของเรา ก็เปรียบเสมือนการเตรียมดินที่ดีให้กับต้นไม้แห่งความรัก

ประโยชน์ของการสร้างความว่างเปล่าในความรัก:

  • ลดความขัดแย้ง: เมื่อเราไม่พยายามควบคุมอีกฝ่าย ความขัดแย้งก็จะลดลงไป
  • เพิ่มความสุข: การปล่อยวางความกังวลและความเครียดจะทำให้เรารู้สึกมีความสุขมากขึ้น
  • สร้างความสัมพันธ์ที่ยั่งยืน: ความรักที่เติบโตบนพื้นฐานของความว่างเปล่านั้น มักจะยั่งยืนและแข็งแรงกว่า

ระยะห่างที่พอดี: ศาสตร์แห่งความรักที่เรียนรู้ได้จากทุกที่

จากตัวอย่างที่กล่าวมาข้างต้น เราจะเห็นได้ว่า การสร้างระยะห่างที่พอดีในความรักนั้น สามารถเรียนรู้ได้จากทุกที่ ไม่ว่าจะเป็นกีฬา ศิลปะ หรือปรัชญา ทุกสิ่งรอบตัวเราล้วนสอนให้เราเข้าใจถึงหลักการพื้นฐานของความสัมพันธ์

ทำไมระยะห่างถึงสำคัญ?

  • เปิดโอกาสให้เติบโต: การมีพื้นที่ส่วนตัวช่วยให้เราได้สำรวจความคิด ความรู้สึก และความต้องการของตัวเองมากขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่การเติบโตส่วนบุคคล
  • เสริมสร้างความผูกพัน: การคิดถึงกันในช่วงเวลาที่ห่างไกล จะช่วยให้เราตระหนักถึงคุณค่าของกันและกันมากขึ้น
  • ลดความขัดแย้ง: การมีพื้นที่ส่วนตัวจะช่วยลดความขัดแย้งที่อาจเกิดขึ้นจากการอยู่ใกล้ชิดกันมากเกินไป
  • เพิ่มความตื่นเต้นให้กับความสัมพันธ์: การสร้างความคาดหวังและความตื่นเต้นในการพบกันครั้งต่อไป จะช่วยให้ความสัมพันธ์ไม่น่าเบื่อและจืดชืด

จะสร้างระยะห่างที่พอดีได้อย่างไร?

  • เปิดใจคุยกันอย่างตรงไปตรงมา: สิ่งสำคัญที่สุดคือการพูดคุยกันอย่างเปิดอกเกี่ยวกับความรู้สึกและความต้องการของแต่ละฝ่าย
  • ให้เกียรติพื้นที่ส่วนตัวของกันและกัน: เคารพในการที่คนรักต้องการมีเวลาอยู่คนเดียว
  • สร้างกิจกรรมที่ทำร่วมกัน: แม้จะห่างไกลกัน แต่ก็สามารถสร้างกิจกรรมที่ทำร่วมกันได้ เช่น การโทรศัพท์คุยกัน หรือการดูหนังออนไลน์พร้อมกัน
  • เรียนรู้ที่จะอยู่คนเดียวได้: การเรียนรู้ที่จะมีความสุขกับการอยู่คนเดียว จะช่วยให้เราไม่รู้สึกขาดความมั่นคงเมื่อต้องอยู่ห่างจากคนรัก

บทเรียนจากวรรณกรรม

ในนิทานเรื่อง "เจ้าชายน้อย" ของอันตวน เดอ แซงต์-เอ็กซูเปรี มีประโยคที่ตราตรึงใจว่า "You become responsible, forever, for what you have tamed." (คุณจะต้องรับผิดชอบตลอดไปในสิ่งที่คุณได้เชื่องไว้) ประโยคนี้ชี้ให้เห็นถึงความรับผิดชอบที่เรามีต่อสิ่งมีชีวิตที่เราผูกพันด้วย ไม่ว่าจะเป็นสัตว์เลี้ยงหรือความสัมพันธ์กับผู้อื่น

ความรักคือพันธะแห่งความรับผิดชอบ

เมื่อเราตกหลุมรักใครสักคน เราก็ได้ผูกพันกับอีกฝ่ายด้วยสายใยที่มองไม่เห็น ความรักนี้เปรียบเสมือนการเชื่องสัตว์ป่าในใจของเราเอง และเมื่อเราตัดสินใจที่จะรักใครสักคน เราก็ได้สัญญาโดยปริยายว่าจะดูแลและปกป้องหัวใจของกันและกัน

ระยะห่างที่พอดีคือการแสดงออกถึงความรับผิดชอบ

หลายคนอาจมองว่าการรักษาระยะห่างในความสัมพันธ์เป็นสิ่งที่ขัดแย้ง แต่ในความเป็นจริงแล้ว การรักษาระยะห่างที่พอดีคือการแสดงออกถึงความรับผิดชอบต่อความรักของเราเองและของอีกฝ่าย การให้พื้นที่ส่วนตัวแก่กันและกัน ช่วยให้ทั้งสองฝ่ายได้เติบโตในแบบของตัวเอง ได้เรียนรู้ที่จะอยู่กับความคิดถึง และเมื่อกลับมาพบกันอีกครั้ง ความรักก็จะยิ่งเบ่งบานยิ่งกว่าเดิม

ทำไมระยะห่างจึงสำคัญต่อความรัก?

  • เปิดโอกาสให้เติบโต: การมีพื้นที่ส่วนตัวช่วยให้เราได้สำรวจความคิด ความรู้สึก และความต้องการของตัวเองมากขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่การเติบโตส่วนบุคคล
  • เสริมสร้างความผูกพัน: การคิดถึงกันในช่วงเวลาที่ห่างไกล จะช่วยให้เราตระหนักถึงคุณค่าของกันและกันมากขึ้น
  • ลดความขัดแย้ง: การมีพื้นที่ส่วนตัวจะช่วยลดความขัดแย้งที่อาจเกิดขึ้นจากการอยู่ใกล้ชิดกันมากเกินไป
  • เพิ่มความตื่นเต้นให้กับความสัมพันธ์: การสร้างความคาดหวังและความตื่นเต้นในการพบกันครั้งต่อไป จะช่วยให้ความสัมพันธ์ไม่น่าเบื่อและจืดชืด

เปรียบเทียบความรักกับการเลี้ยงดอกไม้

การรักษาความสัมพันธ์ก็เหมือนกับการเลี้ยงดอกไม้ การรดน้ำพรวนดินให้พอดีจะช่วยให้ดอกไม้เติบโตอย่างสวยงาม แต่ถ้ารดน้ำมากเกินไป รากก็จะเน่าตาย ถ้ารดน้ำน้อยเกินไป ดอกไม้ก็จะเหี่ยวเฉา การรักษาระยะห่างในความรักก็เช่นกัน การให้พื้นที่ส่วนตัวที่พอเหมาะจะช่วยให้ความรักเบ่งบานได้อย่างสวยงาม

ความเห็นส่วนตัว

เราคิดว่าความรักที่ดีที่สุดคือความรักที่ไม่เร่งรีบ ทุกคนควรมีเวลาและพื้นที่เป็นของตัวเอง การรักกันไม่จำเป็นต้องเข้าใกล้จนมองไม่เห็นตัวตนของตัวเอง ห่างกันบ้างเพื่อจะได้เห็นคุณค่าของกันและกัน





เนื้อเพลง

(Verse 1)

เธออยู่ตรงนั้น ฉันมองอยู่

ความรักซ่อนอยู่ แอบดูในหัวใจ

กลัวใกล้เกินไป จะเสียใจ

ขอเพียงห่างไกล ให้ปลอดภัย


(Pre-Chorus)

แม้ว่าใจ อยากเข้าไปหา

แต่กลัวว่า มันจะเลือนลาไปไหน,my dear

Though my heart longs to draw near,

I fear it may fade and disappear.




(Chorus)

ห่างเท่านี้ ก็เพียงพอ

ให้ความรัก ไม่ต้องรวดร้าว

ถ้าวันไหน เธอยังเหงา

ฉันยินดี เราเจอที่เดิม


(Verse 2)

ความทรงจำนี้ อยู่ข้างใน

เก็บไว้ให้ใจ อุ่นในคืนหนาว

เธอไม่ต้องรู้ ฉันแค่เฝ้ามองตัวเรา

ขอเพียงเธอสุข ฉันในเงาก็สุขใจ


(Pre-Chorus)

แม้ว่าใจ อยากเข้าไปหา

แต่กลัวว่า มันจะเลือนลาไป

Even if my heart yearns to reach you,

I'm afraid it might fade away too.




(Chorus)

ห่างเท่านี้ ก็เพียงพอ

ให้ความรัก ไม่ต้องรวดร้าว

ถ้าวันไหน เธอยังเหงา

ฉันยินดี เราเจอที่เดิม



(Bridge)

ระยะทาง ไม่ใช่ปัญหา

ถ้ารักแท้ อยู่ในสายตา

เธอไม่กลัวจากไกลสายตา

ฉันจะมาหาเธอทุกเมื่อที่เธอต้องการ


(Chorus)

ห่างเท่านี้ ก็เพียงพอ

ให้ความรัก ไม่ต้องรวดร้าว

ถ้าวันไหน เธอยังเหงา

ฉันยินดี เราเจอที่เดิม



(Outro)

ห่างเท่านี้ ก็ยังรักมาก

ความทรงจำ ไม่เคยอยากจากไป

เธอจะอยู่ ในเบื้องลึกหัวใจ

ถ้ากลับมา ฉันพร้อมเสมอไปเพื่อเธอ

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม