ทำไมเราถึงสนใจคนที่ไม่สนใจเราหรือดูเหมือนจะไม่สนใจเราอยู่บ้าง แทนที่จะเป็นคนที่คอยดูแลเรา ใส่ใจเราอยู่ทุกวัน

เราเคยสงสัยกันไหมว่าทำไมเราถึงมักสนใจคนที่ดูเหมือนจะไม่สนใจเรา คนที่ส่งข้อความตอบช้าจนเราต้องเลื่อนขึ้นไปอ่านข้อความเก่าๆ เพื่อเช็กว่าเราพิมพ์อะไรผิดหรือเปล่า แทนที่จะเป็นคนที่คอยถามไถ่ดูแลเราทุกวัน เรามักถูกดึงดูดด้วยความไม่แน่นอน ความไม่แน่ใจที่คล้ายกับเครื่องสล็อตแมชชีน—ไม่รู้ว่าจะชนะเมื่อไร แต่ทุกครั้งที่ได้มาแม้เพียงเล็กน้อย มันกลับรู้สึกมีค่าแบบอธิบายไม่ได้

นักจิตวิทยาเรียกสิ่งนี้ว่า "intermittent reinforcement" หรือการให้รางวัลแบบไม่สม่ำเสมอ ในทางสมอง เราถูกออกแบบให้หลงใหลในสิ่งที่มีโอกาสสำเร็จไม่แน่นอน ลองคิดถึงฉากในหนังอย่าง Gone with the Wind ที่ Scarlett O'Hara หลงใหลในตัว Rhett Butler เขาไม่สนเธอทุกครั้ง แต่เมื่อเขาทำ เธอรู้สึกเหมือนได้ครองโลกทั้งใบ หรือถ้าเราจะย้อนกลับไปดูแนวคิดของ Sigmund Freud เขาอธิบายเรื่องความรักกับความทรมานผ่านสิ่งที่เรียกว่า "repetition compulsion" ซึ่งเป็นการที่เราถูกดึงดูดให้สร้างสถานการณ์ซ้ำๆ ที่อาจเกี่ยวข้องกับบาดแผลในอดีต เพราะเราหวังจะ “เอาชนะ” มันได้ในครั้งนี้

เรื่องนี้ไม่ใช่แค่ความรู้สึกส่วนตัวของเรา แต่มันเป็นปรากฏการณ์ที่สามารถอธิบายได้ด้วยปรัชญาและศิลปะ ลองนึกถึงงานศิลปะแนว abstract เช่นผลงานของ Jackson Pollock ที่มีลายเส้นพุ่งกระจายไร้ทิศทาง สิ่งที่ดูวุ่นวายเหล่านั้นกลับทำให้เราหยุดมองเพราะเราอยาก "เข้าใจ" มัน ความสัมพันธ์กับคนที่ดูเหมือนจะไม่สนใจก็คล้ายกัน เราพยายามอ่านสัญญาณ ล่าความหมายที่ไม่มีอยู่จริง เพราะเราเชื่อว่ามีความลึกซ่อนอยู่

แล้วคำถามต่อมาคือ ถ้าเราอยากเป็นฝ่ายที่ถูกดึงดูดบ้าง เราควรทำยังไง? หนังสือ The Art of Seduction ของ Robert Greene พูดถึงการทำตัวเหมือน "ปริศนา" ทำให้คนอยากเข้ามาค้นหา ถ้าเราบอกทุกอย่างออกมาตรงๆ ทำดีเกินไป ให้ความรักเหมือนแจกใบปลิว คนมักจะไม่สนใจ เพราะเราไปลดคุณค่าของตัวเองโดยไม่รู้ตัว แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าเราควรทำร้ายอีกฝ่าย แต่มันเกี่ยวกับการสร้างสมดุลระหว่างการเปิดเผยกับการเก็บซ่อนบางสิ่งไว้เพื่อให้คนอยากเข้ามาค้นหา

ทีนี้ถ้าเราทำให้อีกคนเจ็บปวดจริงๆ ล่ะ? การดึงดูดจะมากขึ้นหรือน้อยลง? เราไม่สนับสนุนการทำร้ายใครทั้งทางกายและจิตใจ แต่ในโลกความเป็นจริง บางครั้งความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจอาจสร้างความผูกพันระหว่างกันได้ ตัวอย่างจากภาพยนตร์ Eternal Sunshine of the Spotless Mind สะท้อนความสัมพันธ์ที่คนสองคนผ่านทั้งช่วงเวลาดีและร้ายจนไม่สามารถลืมอีกฝ่ายได้ นี่คือปรากฏการณ์ที่เรียกว่า trauma bonding ซึ่งอาจไม่ได้ดีต่อสุขภาพจิตของทั้งสองฝ่าย

สุดท้ายเราควรถามตัวเองว่า เราต้องการความสัมพันธ์แบบไหน คนที่เราอยากให้ความรักควรค่าพอให้เราเสียเวลาและพลังงานไปไหม และคนที่ทำร้ายเราจริงๆ ควรมีที่ยืนในชีวิตเราหรือเปล่า สิ่งที่เราต้องการจริงๆ ไม่ใช่ความไม่แน่นอน แต่มันคือความสัมพันธ์ที่ทำให้เรารู้สึกมั่นคงในแบบที่ไม่ต้องเป็นฝ่ายไล่ตามใครตลอดเวลา ลองอ่านหนังสือ Man's Search for Meaning ของ Viktor Frankl แล้วทุกคนอาจเข้าใจว่าความสัมพันธ์ที่มีคุณค่าคือสิ่งที่เติมเต็มชีวิตเราได้อย่างแท้จริง


ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม