ทำไมเราถึงยอมทนสิ่งที่ไม่โอเคกับมัน
เราเคยสงสัยกันไหมว่า ...
ทำไมเราถึงยอมทนต่อสิ่งที่เราไม่โอเคกับมัน ตั้งแต่เรื่องเล็กๆ ระดับ 1 แล้วค่อยๆ สะสมจนถึงระดับ 10 สิ่งนี้เราคุยกับน้องสาวของเราและมันเชื่อมโยงกับปัญหาที่เราเคยเจอมาตลอดตั้งแต่แรกและสุดท้ายเราระเบิดออกมาแบบพังทั้งระบบ เรื่องนี้มันคล้ายกับการถือแก้วน้ำที่เริ่มต้นเบา แต่ยิ่งถือนานก็ยิ่งหนักขึ้นเรื่อยๆ จนสุดท้ายมือเราก็สั่นแล้วแก้วนั้นก็ร่วงลงพื้น
นี่คือปัญหาคลาสสิกของมนุษย์—เรามักเลือกที่จะเงียบเพื่อรักษาความสัมพันธ์ หรือไม่กล้าพูดเพราะกลัวจะเกิดความขัดแย้ง แต่เราลืมไปว่าการเงียบนั้นเองคือการสะสม "ความไม่โอเค" จนกลายเป็นเหมือนหิมะที่กลิ้งลงเขา สุดท้ายมันก็จะกลายเป็นหิมะถล่ม
เราอยากจะเล่าเรื่องนี้ผ่านแนวคิดปรัชญาของ Jean-Paul Sartre นักปรัชญาเอกซิสเตนเชียลลิสม์ (Existentialism) ที่บอกว่า "เราเป็นผู้สร้างความหมายของชีวิตตัวเอง" ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะตัดสินใจว่าอะไรที่เราจะยอมรับได้และอะไรที่เราจะไม่ยอม แต่ปัญหาคือ เรามักกลัวที่จะรับผิดชอบต่อการสร้างความหมายเหล่านั้น เราเลือกที่จะ "อยู่ไปวันๆ" เพราะไม่อยากเผชิญหน้ากับความจริงที่ไม่สบายใจ แต่ Sartre บอกว่า นั่นแหละคือความไม่ซื่อสัตย์ต่อตัวเอง
ลองคิดถึงฉากในหนังเรื่อง Marriage Story ที่ตัวละครของ Adam Driver และ Scarlett Johansson ทะเลาะกันอย่างดุเดือด หลังจากที่สะสมความไม่พอใจมานานหลายปี พวกเขาตะโกนใส่กันด้วยความโกรธเคืองและความเจ็บปวดที่ถูกกดไว้มาตลอด แล้วผลลัพธ์คืออะไร? ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาอะไรเลย มีแต่ความเสียหายและความเสียใจ
คำถามคือ เราจะหลีกเลี่ยงการถึงจุดนั้นได้อย่างไร?จุดที่ความสัมพันธ์ทั้งหมดพังทลายลงไป
เราคิดว่ามันคือการเรียนรู้ที่จะ "พูด" ตั้งแต่ระดับ 1 ฟังดูง่ายใช่ไหม แต่เอาจริงๆ นี่คือทักษะที่คนส่วนใหญ่ไม่ได้ถูกสอนตั้งแต่เด็ก เราถูกสอนให้ "อดทน" "แบก" และ "รักษามารยาท" มากกว่าการแสดงความรู้สึกความต้องการของตัวเองหรือความไม่พอใจตรงๆ การพูดในระดับ 1 ไม่ใช่การโจมตีอีกฝ่าย แต่เป็นการบอกเล่าความรู้สึกของเราอย่างตรงไปตรงมา เช่น "เรารู้สึกว่า... เพราะ..." ซึ่งจะช่วยให้ปัญหาถูกแก้ตั้งแต่แรกเริ่ม
ถ้ามองในเชิงกีฬาก็เหมือนกับการเล่นทีมฟุตบอล ทุกคนต้องสื่อสารกันในสนาม ไม่ใช่รอให้เกมพังแล้วค่อยมาตำหนิว่าทำไมไม่ส่งบอลให้ตรงจังหวะ นักเตะอย่าง Lionel Messi ไม่ใช่แค่เก่งเรื่องการยิงประตู แต่เขาเก่งเรื่องการสื่อสารกับทีม เพราะรู้ว่าการทำงานร่วมกันคือหัวใจของความสำเร็จ
สุดท้ายนี้ สิ่งที่สำคัญคือการเคารพตัวเองและคนรอบข้างไปพร้อมกัน อย่าลืมว่าเราสร้างชีวิตของเราเอง การเงียบอาจดูง่าย แต่ถ้ามันแลกมาด้วยการทำร้ายตัวเองจากภายใน มันก็ไม่คุ้มที่จะทำ
ทุกคนลองกลับไปถามตัวเองดูสิ ว่าเรากำลังถือแก้วน้ำที่หนักขึ้นเรื่อยๆ อยู่หรือเปล่า และถ้าใช่ จะดีกว่าไหมถ้าเราจะวางแก้วนั้นลงตั้งแต่ตอนที่ยังไม่สายเกินไป
เราคิดว่าความผิดพลาดของเราที่ผ่านมาคือเราไม่สื่อสารว่าจริงๆเราไม่พอใจเรื่องนี้จนกระทั่งมันมาถึงความไม่พอใจเลเวลที่ 10 แล้วเราก็ระเบิดออกมา หลายครั้งที่เราทุ่มเทกับคนที่เรารู้สึกชอบพอแล้วไม่ได้รับการเห็นคุณค่านั่นก็เพราะว่าเราไม่ได้เห็นคุณค่าในตัวเองมาแต่แรกถ้าหากเราเห็นคุณค่าในตัวเองเราก็ต้องสื่อสารออกไปเวลาที่อีกฝ่ายทำไม่โอเคกับเราหรือเรารู้สึกว่าสิ่งนั้นเราควรได้รับการปฏิบัติที่ดีกว่านี้
ดังนั้นหลังจากนี้ถ้าหากมีใครก็ตามหายไปในชีวิตเราอีกเราก็จะถามตัวเองอีกว่ามันเพราะว่าเราไม่สื่อสารความต้องการที่แท้จริงแต่แรกตั้งแต่เลเวล 1 หรือเปล่า?
เลเวล 1 ของความไม่พอใจในความสัมพันธ์นี้การนับถือกันในแบบที่เท่าเทียมมันคือ basic และพื้นฐานของความสัมพันธ์ทั้งมวลและขนาดตัวเราเองยังให้ตัวเราเองไม่ได้เลยแล้วคนอื่นจะให้เราในสิ่งนั้นได้อย่างไร
ต้องลองถามตัวเองดูกันนะว่ามีปัญหาเหมือนเรากันไหมวิธีแก้ง่ายๆก็คือต้องสื่อสารออกไปและเป็นการสื่อสารที่ดีและไม่ใช้อารมณ์เป็นใหญ่
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น