เราเคยสงสัยกันไหมว่า ทำไมบางความสัมพันธ์ถึงเต็มไปด้วยการวิ่งหลงทางในเขาวงกตเหมือนฝันร้าย?
เราเคยสงสัยกันไหมว่า ทำไมบางความสัมพันธ์ถึงเต็มไปด้วยการวิ่งหลงทางในเขาวงกตเหมือนฝันร้าย? แล้วพอเป็นเรื่องของความรัก มันเหมือนการเอาเขาวงกตนั้นไปใส่ในบทกวีของวิลเลียม เชกสเปียร์ ที่ทุกคนพูดอะไรบางอย่างซึ่งดูเหมือนจะลึกซึ้ง แต่กลับทำให้เราหลงหนักกว่าเดิม แล้วถ้าความสัมพันธ์นั้นเกี่ยวกับการรักใครสักคนที่เขาไม่มีวันหันกลับมารักเราอย่างเต็มที่ เหมือนใน The Great Gatsby ล่ะ เราจะทำยังไง?
The Great Gatsby ของ F. Scott Fitzgerald ไม่ได้เป็นแค่เรื่องราวของชายหนุ่มที่หลงรักหญิงสาว แต่มันคือภาพสะท้อนของความฝันแบบอเมริกันในยุคที่ทุกอย่างดูเหมือนจะเป็นไปได้ ตราบใดที่เรามีความพยายามและเงินทองพอที่จะสร้างโลกของเราเอง แต่สิ่งที่เจย์ แก็ตส์บี้ สร้างขึ้นมานั้นเป็นเหมือนการปลูกต้นไม้บนพื้นดินที่ไม่มีราก เขาทุ่มเททุกอย่างเพื่อ "เดซี่" หญิงสาวที่เขายกย่องเหมือนเทพธิดา เธอไม่ได้เป็นแค่คนที่เขารัก แต่เธอเป็นสัญลักษณ์ของความฝัน ความสำเร็จ และความงามที่เขาโหยหา
แต่เรามาถามกันตรงนี้ก่อนว่า เดซี่น่ารักขนาดนั้นเลยหรือ? ไม่เลย! เดซี่เป็นตัวละครที่เต็มไปด้วยความอ่อนแอ เธอเป็นคนที่เลือกความสะดวกสบายและหลีกเลี่ยงความซับซ้อน เธอรักแก็ตส์บี้ แต่รักเพียงเพราะเขาคือความฝันที่เธออยากมี ไม่ใช่เพราะเธอรักเขาที่ตัวตนจริงๆ เธอรักในแบบที่เรารักกระเป๋าแบรนด์เนม—ดูดี แต่ไม่เคยรู้ว่ามันถูกผลิตมายังไง
แล้วแก็ตส์บี้ล่ะ? เขาคิดว่าเขารักเดซี่ แต่สิ่งที่เขารักจริงๆ อาจไม่ใช่เดซี่ตัวจริงเลย มันเป็น ความทรงจำ ที่เขามีกับเดซี่ในอดีต เหมือนกับการที่เรารักเพลงโปรดในวัยเด็ก ไม่ใช่เพราะเพลงนั้นเพราะที่สุด แต่เพราะมันทำให้เรานึกถึงช่วงเวลาที่เราไม่ต้องแบกรับอะไรหนักหนา
เราอดคิดไม่ได้ว่า ความรักของแก็ตส์บี้เป็นเหมือนการสะท้อนสิ่งที่เราทุกคนเคยทำ—การยึดติดกับภาพในหัวของคนที่เราคิดว่าเขาควรจะเป็น ไม่ใช่คนที่เขาเป็นจริงๆ และเมื่อความจริงปรากฏ เราก็เหมือนแก็ตส์บี้ที่ต้องเผชิญหน้ากับความว่างเปล่า ความรักของแก็ตส์บี้เป็นเหมือนการวิ่งขึ้นเขาวงกตที่ไม่มีทางออก ไม่ใช่เพราะเขาหาทางออกไม่ได้ แต่เพราะเขาไม่อยากออกมา
ในเชิงปรัชญา เราว่ามันเหมือนกับแนวคิดของฌอง-ปอล ซาร์ตร์ ที่บอกว่า "นรกคือคนอื่น" (Hell is other people) แต่ในกรณีนี้ นรกอาจจะเป็น "ความฝันของตัวเองที่ไม่ยอมปล่อยวาง" ความฝันของแก็ตส์บี้คือเดซี่ แต่เดซี่ในความฝันนั้นไม่เคยมีตัวตนจริงๆ
ลองนึกถึง The Great Gatsby เป็นภาพวาดแบบอิมเพรสชันนิสม์ ทุกอย่างดูสวยงามระยิบระยับเมื่อมองจากไกลๆ แต่เมื่อเดินเข้าไปใกล้ เราเริ่มเห็นว่ามันเป็นแค่จุดเล็กๆ ที่วางเรียงกันแบบไร้ระเบียบ ความรักในเรื่องนี้ก็เหมือนกัน เมื่อมองไกลๆ มันดูโรแมนติก แต่เมื่อเข้าไปใกล้ เราเริ่มเห็นความเจ็บปวด ความหลอกลวง และความเปราะบาง
สิ่งที่เราได้เรียนรู้จากเรื่องนี้ไม่ใช่แค่ความงามของความฝัน แต่เป็นคำเตือนว่าความฝันที่เราไม่ยอมปล่อยมืออาจทำให้เราสูญเสียทุกอย่างไป ในที่สุด แก็ตส์บี้ไม่ได้เสียแค่เดซี่ แต่เขาเสียตัวเองไปด้วย เพราะเขาไม่เคยมีตัวตนที่แยกจากเดซี่เลย
และบางทีนี่อาจจะเป็นสิ่งที่ทำให้ The Great Gatsby เป็นเรื่องราวที่อมตะ มันไม่ได้บอกแค่ว่าความรักอาจจะไม่สมหวัง แต่มันเตือนเราว่า ถ้าเรารักผิดวิธี เราอาจจะจบลงด้วยการสูญเสียทุกสิ่ง ทั้งคนที่เรารัก ทั้งตัวเราเอง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น