ยามรักแม้ต้มผักก็ว่าหวานจริงหรือ?
“ยามรัก แม้น้ำต้มผักก็ว่าหวาน” จริงหรือ?
ทุกคนเคยได้ยินคำพูดนี้กันบ้างไหม? มันเป็นคำกล่าวที่สะท้อนถึงอารมณ์ของความรักในช่วงที่ทุกอย่างยังดูสวยงาม มีความสุข และอบอุ่นใจ แต่เราอยากชวนทุกคนมาคิดและตั้งคำถามกับตัวเองสักนิดว่า จริงหรือที่ความรักทำให้เรามองข้ามความเป็นจริงได้ขนาดนั้น?
เราไม่เถียงว่าความรักมีพลังมากพอที่จะเปลี่ยนมุมมองของเราได้ มันทำให้สิ่งธรรมดาดูพิเศษ ทำให้ปัญหาเล็กๆ กลายเป็นเรื่องขำขัน และทำให้เราพร้อมที่จะยอมรับข้อเสียของอีกฝ่าย แต่ถ้าจะบอกว่า “น้ำต้มผัก” จะหวานได้เพียงเพราะความรัก เราว่ามันเป็นความเข้าใจที่อาจจะคลาดเคลื่อนไปหน่อย
ลองคิดดูสิทุกคน ถ้าเราติดอยู่ในความหวานของ "น้ำต้มผัก" มากเกินไป วันหนึ่งถ้าความรักนั้นเริ่มเปลี่ยนไป ทุกคนจะยังมองสิ่งที่เคยหวานนั้นด้วยมุมเดิมหรือเปล่า? ความรักไม่ได้เปลี่ยนแปลงความจริงที่ว่า “น้ำต้มผัก” คือ “น้ำต้มผัก” ต่อให้เราใส่ความรู้สึกลงไปมากแค่ไหน มันก็ไม่สามารถทำให้น้ำต้มผักกลายเป็นน้ำเชื่อมได้
เราจึงอยากชวนทุกคนมองความรักให้รอบด้านกว่านี้ อย่าปล่อยให้ความรักทำให้เราหลงลืมความจริงหรือมองไม่เห็นข้อบกพร่องของอีกฝ่าย การที่เรายอมรับความเป็นจริงและข้อเสียของคนที่เรารักไม่ได้หมายความว่าเรารักเขาน้อยลง
แต่มันแสดงถึงความเข้าใจที่ลึกซึ้งขึ้นต่างหาก และถ้าเราสามารถรักเขาโดยที่เขามีข้อเสียแบบนั้นได้นั่นคือความรักที่แท้จริงใช่หรือไม่?
เพราะว่าสิ่งที่วัดว่าเรารักใครหรือไม่ไม่ใช่ว่าเรารัก'ความดี'ของเขาแต่เป็นเพราะเรารัก'ตัวตนที่สมบูรณ์'ของเขาที่เต็มไปด้วยข้อดีและข้อผิดพลาดปะปนกันไป
ดังนั้น ในยามรัก ขอให้ทุกคนอย่ามองข้ามความเป็นจริง จงให้ความรักเป็นแรงผลักดันที่ทำให้เรามองเห็นทั้งด้านดีและด้านเสียอย่างเป็นธรรม เพราะความรักที่แท้จริงไม่ใช่การหลอกตัวเองว่าทุกอย่างหวานเสมอไป แต่คือการยอมรับทุกอย่างในแบบที่มันเป็น และยังคงรักในแบบที่ควรจะเป็น
สุดท้ายนี้ เราขอฝากไว้ว่า แม้น้ำต้มผักจะไม่ได้หวาน แต่ถ้าความรักนั้นเต็มไปด้วยความจริงใจ มันก็น่าจะเพียงพอแล้วที่จะทำให้ใจทุกคนชุ่มฉ่ำได้เสมอ
และถ้าลองพิจารณาดีๆ ประโยคนี้ก็เป็นการ "ปฏิเสธในตัวเอง" อย่างชัดเจน เพราะการบอกว่า "แม้น้ำต้มผักก็ว่าหวาน" จริงๆ แล้วเป็นการยอมรับว่า น้ำต้มผักไม่เคยหวานตั้งแต่ต้น น้ำต้มผักเป็นน้ำที่ขมอยู่แล้วการพูดว่าน้ำต้มผักหวานมันเป็นเพียงแต่การที่เราหลอกตัวเองด้วยอารมณ์ของความรักเท่านั้น
ความรักจึงไม่ได้เปลี่ยนความจริงอะไรเลย สิ่งที่เปลี่ยนมีเพียงมุมมองของเราที่ถูกอารมณ์ครอบงำ นั่นหมายความว่า ประโยคนี้กำลังสะท้อนถึงความลวงที่เราอาจเผลอสร้างขึ้นมาเองโดยไม่รู้ตัว
เราเคยเห็นภาพชื่อ The Lovers ของ René Magritte มันเป็นภาพคู่รักที่มีผ้าคลุมหน้ากันอยู่ เหมือนทั้งสองคนรักกัน แต่กลับมองไม่เห็นหน้ากันจริงๆ ทุกคนคิดเหมือนเราหรือเปล่าว่ามันดูแปลก? แต่พอคิดดีๆ มันก็คงเหมือนตอนเรารักใครสักคน ที่บางครั้งเราก็เลือกจะมองข้ามบางเรื่อง เลือกจะคลุมความจริงบางอย่างไว้ เพราะกลัวว่าถ้าเห็นชัดเกินไปแล้วจะเจ็บ
อีกภาพหนึ่งชื่อ The Persistence of Memory ของ Salvador Dalí เป็นนาฬิกาเหลวๆ ที่ดูเหมือนละลายไปกับพื้น ตอนที่เห็นครั้งแรก เราไม่เข้าใจว่ามันหมายถึงอะไร แต่พอได้รักใครสักคน เราถึงเข้าใจว่ามันเหมือนช่วงเวลาที่ทุกอย่างบิดเบี้ยวไป ความรักทำให้เรามองความจริงเปลี่ยนไป เวลาดูเหมือนเดินเร็วหรือช้ากว่าปกติ แต่สุดท้ายมันก็ละลายไปเหมือนในภาพนั้น
ส่วนหนัง เรานึกถึงเรื่อง Eternal Sunshine of the Spotless Mind เรื่องของคู่รักที่อยากลบความทรงจำเกี่ยวกับกันและกัน ทุกคนเคยดูไหม? ตอนจบมันเจ็บแบบบอกไม่ถูก เหมือนความรักที่ครั้งหนึ่งเคยสวยงาม แต่เมื่อมันหมดลง เรามองย้อนกลับไปก็เห็นทั้งด้านที่หวานและด้านที่เราเคยหลอกตัวเอง
บางทีเราคิดว่า ความรักมันก็เหมือนน้ำต้มผัก...แรกๆ อาจจะรู้สึกหวาน แต่พอวันหนึ่ง ทุกคนลองคิดดูสิว่ามันหวานจริงๆ หรือเราคิดไปเอง?
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น