ใช้ชีวิตในวันที่สมองเราราวกับติดสปีด เปิดโหมดมาเนียเต็มกำลังโดยไม่มีจังหวะให้ซึมเศร้ามาแทรก มันจะรู้สึกอย่างไร

เราเคยสงสัยกันไหมว่า การเป็นไบโพล่าวันที่ไม่มีขั้วซึมเศร้าเข้าโรงพยาบาลง่ายมาก ใช้ชีวิตในวันที่สมองเราราวกับติดสปีด เปิดโหมดมาเนียเต็มกำลังโดยไม่มีจังหวะให้ซึมเศร้ามาแทรก มันจะรู้สึกอย่างไร มันเหมือนทุกอย่างวิ่งเร็วกว่าเดิม สิ่งที่เราคิด สิ่งที่เราพูด สิ่งที่เราทำ ทั้งหมดอยู่ในจังหวะที่โลกอาจตามไม่ทัน แต่สิ่งที่ตามมาพร้อมความเร็วนี้คือคำถามของสังคม “เธอทำแบบนี้ได้ยังไง?” “เธอบ้าไปหรือเปล่า?”
ลองนึกถึงฉากใน The Matrix ตอนที่นีโอหลบกระสุนครั้งแรก โลกหมุนช้า แต่ในสมองเขาหมุนเร็ว มันไม่ได้เกิดจากเวทมนตร์ แต่มันมาจากความรู้สึกเหมือนเราเข้าใจทุกอย่างในวินาทีนั้น นั่นแหละคือความรู้สึกของคนที่มีมาเนีย แต่ปัญหาคือคนในโลกนี้ไม่ได้เกิดมาเข้าใจเรื่องแบบนี้ตั้งแต่แรก และการที่เรารู้สึก "เหนือกว่า" ไม่ได้ทำให้ใครเข้าใจ แต่ทำให้ถูกกันออก

เราเจออะไรมาบ้าง? เรื่องที่แย่คือ ไม่มีใครบอกคุณว่า การกระโดดไปข้างหน้าด้วยความเร็วแสงอาจพาคุณไปชนกำแพงที่ไม่มีใครเห็น คนรอบข้างอาจบอกว่า “เธอทำเกินไป” ในขณะที่คุณแค่รู้สึกว่า “นี่คือจังหวะของเรา” ไม่ได้มีเจตนาไปทำร้ายใคร แต่มันก็ไม่ง่ายเลยที่คนอื่นจะรับมือ หรือยอมรับการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วเกินมาตรฐานสังคมทั่วไป

เรื่องนี้ทำให้นึกถึง The Picture of Dorian Gray งานเขียนของ Oscar Wilde ที่สะท้อนความหมกมุ่นในความสมบูรณ์แบบ ทุกคนที่เห็นภาพวาดของโดเรียนอาจชื่นชมความงามของเขาเหมือนเราในภาวะมาเนียที่รู้สึกว่า “เราทำได้ทุกอย่าง” แต่แท้จริงแล้วเบื้องหลังมันอาจเต็มไปด้วยความขัดแย้ง การถูกตั้งคำถามในคุณค่า หรือแม้แต่การทำลายตัวเองอย่างที่คนภายนอกมองไม่เห็น

อีกเรื่องที่ชวนถกคือ สังคมเรามักคาดหวังว่าความป่วยควรถูกแสดงออกมาอย่างชัดเจน เหมือนคนไข้ในโรงพยาบาลที่ต้องมีสายระโยงระยางหรือเฝือกพันตัว แต่กับเรื่องทางจิตใจ หลายคนยังมองไม่ออกว่ามาเนียคืออะไร เพราะมันไม่ได้ "พัง" ในแบบที่มองเห็นง่าย มันอาจดูเหมือนคนเก่งเวอร์ แต่คำถามคือ เราจะจัดการกับคนที่เหมือน “ตัวละครเก่งเกินไป” ได้อย่างไร ในสังคมที่ทุกคนคาดหวัง “ความพอดี”

มีครั้งหนึ่งเราลองทำงานหนักๆ ในช่วงมาเนีย เพราะมีคนบอกว่าให้เอาเอนเนอร์จี้ไปทำให้เป็นประโยชน์ เราเลือกที่จะแต่งเพลง เอาจินตนาการที่มีล้นเหลือไปแต่งนิยาย แต่มันก็ทำให้เจอปัญหาใหม่อีก “เธอบ้าอีกแล้วหรือเปล่า?” กลายเป็นว่า แทนที่ความเร็วของเราจะกลายเป็นแรงบันดาลใจให้คนรอบข้าง มันกลับสร้างกำแพงแปลกๆ ที่ทำให้คนรู้สึกว่าเรา “แปลก” หรือ "บ้า" แทนที่จะ “เก่ง”

คำถามสำคัญคือ เราจะมีวิธีอยู่กับมันยังไง? การยอมรับว่าเรามีภาวะนี้เป็นจุดเริ่มต้น แต่ไม่ใช่ข้ออ้าง การเข้าใจว่าคนอื่นมองเราต่างจากสิ่งที่เรารู้สึก ไม่ได้แปลว่าเราเป็นคนผิด หรือเราต้องเปลี่ยนตัวเองให้ "ปกติ" สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการมีความสัมพันธ์กับคนที่พร้อมจะรับมือและปรับตัวไปพร้อมๆ กับเรา เหมือนตอนที่แซมอยู่ข้างโฟรโดใน The Lord of the Rings แซมไม่ได้ทำอะไรใหญ่โต แค่คอยบอกว่า "นายไปต่อได้"

สุดท้ายมันไม่ได้หมายความว่าชีวิตเราจะง่าย ความท้าทายอยู่ตรงนี้—ในวันที่คุณเร็วกว่าโลก อย่าเพิ่งไปคิดว่าคุณพัง ลองมองหาคนที่อยากวิ่งตามเราด้วยหัวใจ ไม่ใช่แค่ตัดสินว่าเราผิดหรือถูกจากจังหวะชีวิตที่ต่างออกไป

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม