“ปิตาธิปไตย” หรือระบบผู้ชายเป็นใหญ่

เราว่าทุกคนคงเคยได้ยินคำว่า “ปิตาธิปไตย” หรือระบบผู้ชายเป็นใหญ่ใช่ไหม มันเหมือนจะเป็นคำที่ลอยอยู่ในอากาศตลอดเวลา แต่มีใครเคยลองจับมันมาดูใกล้ๆ บ้างหรือเปล่า จริงๆ มันคืออะไร และมันซึมซับอยู่ในชีวิตเราอย่างไรบ้าง เราไม่ได้มาอธิบายแบบวิชาการหรอกนะ อยากให้คิดว่าเรากำลังนั่งคุยกันในคาเฟ่เล็กๆ ที่ไหนสักแห่ง มีหนังสือ “Sapiens” ของ Yuval Noah Harari วางอยู่บนโต๊ะ มีโปสเตอร์ภาพยนตร์ Fight Club ติดอยู่บนผนัง และเสียงเพลงบรรเลงเบาๆ เป็นเพลงของ The Beatles พอได้ภาพไหม

ถ้าเราจะเล่าความเป็นปิตาธิปไตยให้ทุกคนฟัง มันก็เหมือนกับโครงสร้างที่มองไม่เห็น แต่รู้สึกได้ เช่นเดียวกับแรงโน้มถ่วง เราอาจไม่เห็นมัน แต่มันกำหนดทุกอย่างในชีวิตเรา ลองคิดดูสิ ตั้งแต่หนังฮอลลีวูดไปจนถึงวรรณกรรมคลาสสิก ผู้ชายมักจะเป็น “พระเอก” ส่วนผู้หญิงก็ถูกลดบทบาทให้เป็น “คนรัก” หรือ “แม่” ที่สนับสนุนความสำเร็จของเขา นี่คือร่องรอยของปิตาธิปไตยในวัฒนธรรมของเรา

เคยดู Fight Club ไหม เราไม่ได้บอกว่ามันเป็นหนังที่สนับสนุนระบบนี้นะ แต่สิ่งที่มันสะท้อนคือความรู้สึกของผู้ชายที่รู้สึกว่าพวกเขาต้องแบกรับ “ความเป็นชาย” แบบเดิมๆ ในสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป ความโกรธ ความกดดัน และความไร้ตัวตน เป็นผลผลิตของโครงสร้างที่กำหนดว่า “ผู้ชายต้องแข็งแกร่ง” ทั้งที่ในความจริง ผู้ชายก็ควรจะร้องไห้ได้เหมือนคนอื่นไหม

ลองคิดถึงกีฬา เราจะเห็นได้ชัดว่าปิตาธิปไตยมันแฝงอยู่ลึกแค่ไหน ฟุตบอลชายถูกพูดถึงมากกว่าฟุตบอลหญิง เราเคยได้ยินชื่อ Cristiano Ronaldo กับ Lionel Messi แต่ถ้าถามว่าผู้หญิงในวงการฟุตบอลระดับโลกชื่ออะไร หลายคนอาจนึกไม่ออก ทั้งที่พวกเขาเก่งไม่แพ้กัน สิ่งนี้ไม่ได้แปลว่าความสามารถต่างกัน แต่มันคือการที่สังคมเลือกที่จะให้ความสำคัญกับ “เสียง” ของใครมากกว่า

ในปรัชญา Plato เคยพูดถึงเรื่อง “การสร้างรัฐในอุดมคติ” แต่เขาไม่เคยพูดถึงว่าทำไม “ผู้หญิง” ถึงไม่ควรมีบทบาทเท่าผู้ชายในโครงสร้างนั้น ทั้งที่เราอยู่ในโลกที่ผู้หญิงสามารถคิด วิเคราะห์ และสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ ได้เทียบเท่ากัน

แต่ทุกคนรู้ไหม เราไม่คิดว่าปิตาธิปไตยเป็นปัญหาของผู้ชายอย่างเดียว มันคือปัญหาที่เกี่ยวข้องกับทุกคน เพราะเมื่อเราติดอยู่ในกรอบนี้ ทุกคนก็จะไม่มีทางเป็นตัวของตัวเองได้เต็มที่ ผู้หญิงจะถูกคาดหวังให้ทำในสิ่งที่ “เหมาะสม” ส่วนผู้ชายก็จะถูกกดดันให้ “แข็งแกร่ง” แบบที่สังคมอยากเห็น

สุดท้ายเราอยากบอกว่า ปิตาธิปไตยไม่ใช่สิ่งที่ต้องไปโทษใครคนใดคนหนึ่ง มันคือระบบที่ฝังรากลึกในสังคมมานาน สิ่งที่เราต้องทำคือเริ่มต้นตั้งคำถามกับมัน ตั้งคำถามกับหนังที่เราดู ตั้งคำถามกับวัฒนธรรมที่เราโตมา และสำคัญที่สุด คือตั้งคำถามกับตัวเราเองว่า เราอยากจะปลดล็อกกรอบนี้ไหม

แล้วทุกคนล่ะ คิดยังไง?


ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม