ศิลปะจำเป็นต้องเป๊ะหรือไม่?

วันนี้เราขอพูดถึงอีกประเด็นนึงที่เป็นหัวข้อถกเถียงกันในวงการศิลปะอยู่บ่อยครั้ง นั่นคือคำถามที่ว่า "ศิลปะจำเป็นต้องเป๊ะตามหลัก Anatomy หรือกายวิภาคหรือ figure หรือไม่?" เราเชื่อว่านี่เป็นคำถามที่สำคัญ และการตอบคำถามนี้จำเป็นต้องอาศัยความเข้าใจในแก่นแท้ของศิลปะ และบริบทที่ศิลปะเกิดขึ้น


เราขอแบ่งปันมุมมองอย่างตรงไปตรงมา หวังว่าทุกคนจะรับฟังด้วยใจที่เปิดกว้างและไม่ตัดสินก่อนฟังความคิดเห็นที่แตกต่างค่ะ

1. ศิลปะเป็นเครื่องมือของการแสดงออก

ศิลปะไม่ใช่การเลียนแบบโลกความจริง แต่คือการถ่ายทอดความคิด อารมณ์ และจินตนาการที่เป็นเอกลักษณ์ของแต่ละคนออกมาในรูปแบบที่จับต้องได้ หรือแม้กระทั่งในรูปแบบที่ไม่สามารถจับต้องได้ เป้าหมายของศิลปะไม่ได้อยู่ที่ความสมจริง แต่คือการ "สื่อสาร" และ "สร้างความรู้สึก"

ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดคือผลงานของ ปิกัสโซ และศิลปินแนว Modernism ที่จงใจบิดเบือนสัดส่วนของมนุษย์และธรรมชาติ หากเรายึดกรอบความสมบูรณ์แบบตามหลัก Anatomy ผลงานเหล่านี้คงถูกตัดสินว่า "ผิด" แต่ความจริงคือมันได้กลายเป็นงานที่ทรงพลัง สร้างแรงบันดาลใจ และเป็นจุดเริ่มต้นของแนวคิดใหม่ ๆ ในวงการศิลปะ

2. "ผิด" หรือ "ไม่เข้าใจ"?

เมื่อมีคนวิจารณ์ว่างานของเรา "เบี้ยว" หรือ "ผิด" สิ่งที่เราควรถามกลับไปคือ "ผิด" ตามมาตรฐานใด? และ "ผิด" จริงหรือแค่เขาไม่เข้าใจสิ่งที่เรากำลังสื่อ?หรือไม่เข้าใจว่าจริงๆแล้วเราก็ไม่ได้อยากให้มันเป๊ะบางทีเราก็อยากจะให้มันดูแปลกนิดหน่อย ยกตัวอย่างเช่นงานของ Hyung Tae Kim คนนี้เขาใช้วิธี exaggerated หรือการขยายสัดส่วนของบางสิ่งในกายวิภาคของเขาให้เป็นจุดเด่นมากขึ้น

ในงานศิลปะ การเบี่ยงเบนจากความสมจริงอาจเป็น การเลือกทางศิลป์ที่ตั้งใจทำ เช่น การวาดคนด้วยสัดส่วนที่ผิดเพี้ยนเพื่อเน้นอารมณ์บางอย่าง หรือเพื่อเล่าเรื่องในมุมมองที่แตกต่างออกไป

ยกตัวอย่างเช่น ศิลปะแนว Expressionism ที่ไม่สนใจความสมจริง แต่ให้ความสำคัญกับการถ่ายทอดอารมณ์อย่างลึกซึ้ง หากเรายึดหลัก Anatomy เป็นเกณฑ์เดียว งานศิลปะแนวนี้ก็คงไม่สามารถถือเป็น "ศิลปะ" ได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง
การตัดสินว่าอะไรเป็นศิลปะไม่ได้ใช้เพียงแค่ข้อมูลเท่านั้นในการตัดสินและไม่มีใครสามารถตัดสินใครว่างานใครเป็นศิลปะหรือไม่เป็นศิลปะไม่ว่าจะใช้เครื่องมือใดๆก็ตามในการทำงานเนื่องจากศิลปะเป็นคำที่เปิดกว้างมากๆ

และแม้แต่งานที่จงใจจะไม่เป็นศิลปะหรือต่อต้านศิลปะแบบทั่วไปก็อาจจะเป็นศิลปะได้เหมือนกันเช่น Dada กับงานโถส้วมของ มาร์แชล ดูชองต์ ที่นำเอาโถส้วมที่ไม่ได้แม้แต่ผลิตเองมาตั้งแล้วบอกว่าเป็นศิลปะนี่แหละคือศิลปะ ดังนั้นถ้าบอกว่าอะไรเป็นศิลปะหรือไม่เป็นศิลปะต้องมองไปที่แนวความคิดในการสื่อสารเพราะศิลปะจริงๆคือการสื่อสาร 

ส่วน เซธ โกดิน นักเขียนที่เราชอบคนนึงเขาบอกว่าศิลปะคือการเปลี่ยนแปลงคนงานที่เปลี่ยนแปลงคนคืองานศิลปะไม่ว่าจะใช้การวาดหรือไม่ก็ตาม

3. ศิลปะไม่ได้มี "ถูก" หรือ "ผิด" แต่มีเป้าหมาย

เราไม่ปฏิเสธว่าในบางบริบท กรอบความสมจริงมีความสำคัญ เช่น ในการวาด Anatomy เพื่อการศึกษา หรือการวาดภาพเชิงวิทยาศาสตร์ที่ต้องการความถูกต้องเพื่อให้ข้อมูลชัดเจน แต่ในบริบทของ ศิลปะสร้างสรรค์ เราขอชี้ให้เห็นว่าเป้าหมายของศิลปินไม่ได้อยู่ที่การทำให้ถูกต้องตามมาตรฐานใดมาตรฐานหนึ่ง แต่คือการส่งผ่านข้อความ ความรู้สึก หรือประสบการณ์

ศิลปะจึงไม่มีเกณฑ์เดียวในการตัดสิน เพราะศิลปินแต่ละคนต่างมีเป้าหมายและบริบทที่แตกต่างกัน
"เรามักจะได้ยินกันบ่อยๆ ว่า 'ศิลปะไม่มีถูกไม่มีผิด' ฟังดูเหมือนเป็นคำพูดที่ปลดปล่อยและเปิดกว้าง แต่มาคิดดีๆ แล้ว เราว่ามันไม่จริงซะทีเดียว เพราะในทุกยุคทุกสมัย ศิลปะมันถูกวางกรอบไว้อยู่แล้วด้วยมาตรฐานและรสนิยมของสังคม ไม่ว่าจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม


ลองดูตัวอย่างง่ายๆ ในงานยุคเรอเนสซองส์ เช่น โมนา ลิซ่า ของเลโอนาร์โด ดาวินชี ความงามของงานนี้ถูกกำหนดโดยการใช้สัดส่วนทองคำและเทคนิคที่ทำให้ภาพดูสมจริงหรือเรียกว่า Realism ถ้าคนในยุคนั้นวาดภาพแบบการ์ตูนหัวโต ตัวเล็ก งานนั้นอาจถูกมองว่าไร้ค่าหรือไม่เป็นศิลปะเลยด้วยซ้ำ

หรือในวงการภาพยนตร์ ถ้าหนังเรื่องหนึ่งไม่มีโครงเรื่องที่ชัดเจน ตัวละครขาดเหตุผลในการกระทำ หรือจบแบบไม่มีความหมาย คนส่วนใหญ่ก็มักจะมองว่ามัน 'ไม่ดี' หรือ 'ผิด' เพราะผู้ชมส่วนใหญ่ถูกปลูกฝังให้เชื่อว่าเรื่องราวต้องมีจุดเริ่มต้น กลาง และจบที่สมเหตุสมผล

แม้แต่วงการเพลง ลองคิดถึงเพลงคลาสสิกอย่างของบีโธเฟน เพลงของเขาถูกยกย่องเพราะมันมีโครงสร้างและความซับซ้อนที่เข้าถึงอารมณ์คน แต่ถ้าในยุคนั้นเขาแต่งเพลงที่ไม่มีจังหวะ ไม่มีทำนองตามกฎเกณฑ์ งานเขาอาจจะไม่ได้รับการยอมรับและหายไปจากประวัติศาสตร์ก็ได้

พูดง่ายๆ คือ ศิลปะมักจะมี 'ถูก' และ 'ผิด' อยู่เสมอ แต่ความถูกหรือผิดนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับศิลปินคนเดียว มันขึ้นอยู่กับรสนิยมและมาตรฐานของสังคมในยุคนั้น และถึงเราจะบอกว่าศิลปะเป็นเรื่องส่วนตัว แต่ศิลปะก็ไม่ได้เกิดมาในสุญญากาศ เราอยู่ในสังคมที่มีความงามในแบบที่คนส่วนใหญ่ยอมรับ และสิ่งนี้ก็หล่อหลอมความคิดของเราไม่มากก็น้อย

แต่ทั้งหมดนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าเราควรทำศิลปะเพื่อให้ถูกใจคนอื่นตลอดเวลา สิ่งสำคัญคือเรารู้จัก 'กติกา' ของความงามนั้นก่อน เพื่อที่เราจะเลือกได้ว่าจะเดินตามมันหรือท้าทายมัน ศิลปินหลายคนในประวัติศาสตร์ก็เคยถูกมองว่า 'ผิด' ในยุคของพวกเขา แต่กลับเป็นผู้เปลี่ยนแปลงวงการในระยะยาว เช่น วินเซนต์ แวนโก๊ะ ที่งานของเขาไม่ถูกมองว่าเป็นศิลปะในยุคของเขาเอง แต่กลับเป็นตำนานในปัจจุบัน

ดังนั้น ศิลปะมีถูกมีผิด แต่ความถูกผิดนั้นไม่ได้แปลว่ามันดีหรือแย่เสมอไป แค่เป็นมาตรฐานที่ช่วยให้เราเข้าใจว่าเรากำลังทำอะไรและอยู่ตรงไหนในสายตาคนอื่น และสุดท้าย เราต่างมีสิทธิที่จะเลือกทางเดินของตัวเอง เพราะไม่มีอะไร 'ถูก' ไปกว่าการได้สร้างสิ่งที่สะท้อนตัวตนของเราจริงๆ"


4. ความสมบูรณ์แบบไม่ได้เป็นตัววัดคุณค่า

เราอยากชวนทุกคนคิดว่า หากทุกคนวาดงานที่สมบูรณ์แบบเหมือนกันหมด โลกของศิลปะจะเป็นอย่างไร? มันอาจกลายเป็นพื้นที่ที่ขาดเอกลักษณ์ ขาดความแปลกใหม่ และขาดแรงบันดาลใจ

งานศิลปะที่ "เบี้ยว" หรือ "ไม่ตรงตามหลัก Anatomy" อาจกลายเป็นผลงานที่ทรงพลังที่สุด เพราะมันสะท้อนถึงตัวตนของศิลปินที่ไม่เหมือนใคร



5. ศิลปะคือการตีความ ไม่ใช่การตัดสิน

สุดท้ายนี้ เราขอชี้ให้เห็นว่า ศิลปะไม่ใช่สมการคณิตศาสตร์ที่ต้องหาคำตอบเดียว แต่คือพื้นที่ของการตีความและการแลกเปลี่ยนมุมมอง การที่ใครบางคนมองว่างานของเราผิด อาจไม่ได้หมายความว่างานเราขาดคุณค่า แต่มันอาจหมายความว่าเขายังไม่เข้าใจภาษาของเราและวิธีที่เราใช้ในการสื่อสารรูปแบบที่เราแสดงออก

สุดท้ายนี้ขอฝากไว้ว่า...

เราขอเน้นว่า ศิลปะเป็นเรื่องของ 'การแสดงออก' ไม่ใช่การแข่งขันเพื่อ 'ความสมบูรณ์แบบ' หากเรายืนหยัดในสิ่งที่เราเชื่อ และตั้งใจสื่อสารความเป็นตัวเองออกมา ศิลปะของเราก็มีคุณค่าในแบบของมันเอง

ขอให้ทุกคนเปิดใจและยอมรับความหลากหลายในศิลปะ เพราะนี่คือสิ่งที่ทำให้โลกของศิลปะสวยงาม

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม