ความสวยงามคือความได้เปรียบจริงหรือเปล่า?

วันนี้อยากมานั่งคุยเรื่อง beauty privilege กับทุกคน จริงๆ มันเป็นหัวข้อที่ถกเถียงกันได้เรื่อยๆ เพราะบางคนบอกว่าคนหน้าตาดีได้เปรียบในทุกเรื่อง แต่ถ้ามองให้ลึกกว่านั้น เราว่ามันไม่ได้จริงไปซะหมด แล้วมันก็ซับซ้อนกว่าที่คิด

อย่างงานวิจัย Hamermesh & Biddle เขาบอกว่าคนหน้าตาดีมักมีรายได้สูงกว่าในตลาดแรงงาน จริงนะ อย่างเช่นพนักงานขายหรือคนที่ต้องใช้หน้าตาเข้าสังคม โอกาสมักจะเข้ามาหาเขาเยอะกว่าคนทั่วไป แล้วหลายคนอาจจะเคยได้ยินเรื่อง "Halo Effect" ด้วยใช่ไหม? มันคือปรากฏการณ์ที่คนที่ดูดีมักถูกมองว่ามีคุณสมบัติอื่นๆ ดีตามไปด้วย เช่น ฉลาด ใจดี น่าเชื่อถือ ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วอาจไม่ได้เกี่ยวกันเลย

ลองดูในหนังสิ อย่างพวกหนังไฮสคูลฝรั่ง พระเอกนางเอกต้องหล่อสวย ตัวร้ายหรือคนที่ไม่สำคัญในเรื่องก็มักจะหน้าตาธรรมดาหรือดูแปลกๆ ซึ่งนี่แหละคือภาพจำที่สังคมสร้างขึ้นมา หรือถ้าพูดถึงในชีวิตจริง ดารา อินฟลูเอนเซอร์บางคน หน้าตาดีแบบไม่ต้องทำอะไรมาก คนก็พร้อมจะกดไลก์หรือสนับสนุน แต่คนธรรมดาที่ไม่ได้มีหน้าตาเข้ากับมาตรฐานสังคม อาจต้องพยายามหนักกว่าเท่าตัวเพื่อให้ได้รับโอกาส

แต่อย่างไรก็ตาม beauty privilege ก็ไม่ได้การันตีความสำเร็จในทุกด้านนะ อย่างงานวิจัยของ Ruggs พบว่าในบางบริบท คนที่ดูดีเกินไปอาจกลายเป็นข้อเสียได้ เช่น ในสายงานที่ต้องการความน่าเชื่อถือหรือความจริงจัง พวกเขาอาจถูกมองว่าไม่เหมาะสม หรือเหมือนได้เปรียบเพราะหน้าตา ไม่ใช่ความสามารถ

ลองนึกถึงหนังอย่าง The Devil Wears Prada สิ ที่แอนดี้ (Anne Hathaway) ถูกมองข้ามในตอนแรกเพราะเธอไม่ตรงกับมาตรฐานความงามในวงการแฟชั่น ทั้งๆ ที่เธอเก่งมาก หรือใน Legally Blonde ที่เอลล์ วู้ดส์ (Reese Witherspoon) ถูกมองว่าเป็นแค่สาวผมบลอนด์สวยแต่ไม่มีสมอง ทั้งที่จริงๆ เธอฉลาดและพยายามหนักมากเพื่อพิสูจน์ตัวเอง

อีกอย่างที่ไม่ค่อยมีคนพูดถึงคือ คนหน้าตาดีก็อาจต้องเจอกับแรงกดดันของตัวเองเหมือนกัน เช่น โดนคาดหวังว่าจะต้องดูดีตลอดเวลา ห้ามพลาด ห้ามโทรม หรือถูกลดคุณค่าให้เหลือแค่ "ก็สวยไง เลยได้มา" ซึ่งมันก็ไม่แฟร์กับเขาเหมือนกัน

สุดท้าย beauty privilege มันก็มีจริงในหลายกรณีแหละ แต่ไม่ได้หมายความว่าคนหน้าตาดีจะได้เปรียบไปทุกอย่าง หรือคนที่ไม่ตรงมาตรฐานความงามจะไม่มีโอกาสเลย ทุกอย่างมันอยู่ที่บริบท ความพยายาม และปัจจัยอื่นๆ ด้วย ดังนั้นเราควรมองคนในมุมที่หลากหลายมากกว่ารูปลักษณ์เพียงอย่างเดียว

ถ้าพูดถึงเรื่อง beauty privilege เราว่าบางคนคงเคยเห็นโฆษณาของ Dove ที่เขาชอบเล่นประเด็นเกี่ยวกับความงามที่แท้จริงใช่ไหม? Dove ถือว่าเป็นแบรนด์ที่กล้าพูดเรื่องนี้แบบตรงไปตรงมาและเปลี่ยนมุมมองของคนทั่วโลกเกี่ยวกับความสวย

ลองนึกถึงแคมเปญ "Real Beauty Sketches" ที่เขาให้ศิลปินวาดภาพใบหน้าของผู้หญิง 2 แบบ แบบแรกคือจากคำบอกเล่าของตัวผู้หญิงเอง (ซึ่งมักจะดูไม่มั่นใจ) และแบบที่สองคือจากคำบอกเล่าของคนอื่น (ซึ่งมักจะดูดีและสดใสกว่า) ผลลัพธ์ทำให้เรารู้เลยว่า เราเองมักจะมองข้ามความสวยของตัวเอง และมองตัวเองในแง่ลบมากเกินไป

อีกแคมเปญที่น่าจดจำคือ "Evolution" ของ Dove ที่เขาโชว์เบื้องหลังการแต่งหน้า การใช้ Photoshop และกระบวนการทำให้ภาพนางแบบออกมาสมบูรณ์แบบจนเราไม่เหลือความเป็นธรรมชาติเลย ซึ่งมันเป็นการเปิดโปงอุตสาหกรรมความงามที่ทำให้ผู้หญิงรู้สึกไม่มั่นใจในตัวเอง เพราะถูกกดดันให้เชื่อว่าความสวยในแบบนั้นคือมาตรฐาน ทั้งที่มันถูกสร้างขึ้นมา

นอกจาก Dove แล้ว โฆษณา "Like a Girl" ของ Always ก็เป็นอีกตัวที่เราชอบมากๆ เขาเน้นเรื่องภาพจำผิดๆ เกี่ยวกับการเป็นผู้หญิง เช่น เวลาพูดว่า “วิ่งแบบผู้หญิง” หรือ “สู้แบบผู้หญิง” คนส่วนใหญ่มักจะมองในแง่ลบ แต่ Always พลิกมุมมองให้เห็นว่าการ “ทำอะไรแบบผู้หญิง” ไม่ได้แปลว่าอ่อนแอ แต่คือพลังในแบบของตัวเอง แคมเปญนี้ทำให้เห็นว่าความมั่นใจสำคัญกว่าการพยายามตามมาตรฐาน

ส่วนแคมเปญ "This Girl Can" ของ Sport England ก็เจ๋งมากนะ เขาแสดงภาพผู้หญิงหลากหลายรูปร่างและวัยที่กำลังออกกำลังกายอย่างมั่นใจ ไม่ว่าจะเหงื่อออก หน้าตาโทรม หรือหุ่นไม่ได้ผอมเป๊ะ ทุกคนก็ยังดูสวยในแบบของตัวเอง โฆษณานี้เน้นให้เห็นว่าเราไม่จำเป็นต้องสวยแบบ "มาตรฐาน" เพื่อจะทำอะไรที่เรารัก

สิ่งที่โฆษณาเหล่านี้พยายามบอกคือ ความสวยไม่ใช่แค่หน้าตาหรือรูปร่าง แต่คือความมั่นใจและการยอมรับในตัวเอง เราไม่จำเป็นต้องวิ่งตามภาพลวงตาที่สังคมสร้างขึ้นมา ความงามที่แท้จริงคือการมองตัวเองในกระจกแล้วรู้สึกว่าเรามีคุณค่าในแบบของเราเอง และถ้าทุกคนเริ่มเปลี่ยนมุมมองตรงนี้ได้ เราว่าสังคมเราน่าจะใจดีกับตัวเองและคนอื่นมากขึ้นนะ :)

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม