เมื่อความเงียบของเพื่อนสร้างเสียงให้ตัวเอง: การเขียนเพื่อความหวังใหม่
บทความ: "ปลดปล่อยผ่านปลายปากกา: ศาสตร์แห่งการเขียนเยียวยาจิตใจที่แตกสลาย"
ทุกคนเคยรู้สึกเหมือนถูกตัดขาดจากใครบางคนไหม?
ความรู้สึกที่เหมือนเส้นสายมิตรภาพถูกฉีกกระชากจนขาดสะบั้น นั่นอาจทำให้เราหวั่นไหว คำถามที่ตามมาคือเราจะอยู่ต่อไปได้อย่างไรเมื่อมิตรภาพที่เราเคยเชื่อมั่นได้พังลงต่อหน้า?
หนึ่งในคำตอบที่เราอยากนำเสนอคือ "การเขียน"—ไม่ใช่เพียงเพื่อบันทึกความเจ็บปวด แต่เพื่อเยียวยา สร้างพื้นที่ปลอดภัยในใจ และค้นพบตัวเองใหม่อีกครั้ง
ทุกคนในชีวิตย่อมเคยประสบกับสถานการณ์ที่ต้องสูญเสียสิ่งที่เคยสำคัญ—โดยเฉพาะมิตรภาพที่เคยใกล้ชิดและมอบความสุขให้เรา การที่เพื่อนตัดขาดเราอย่างไม่มีทางกลับคืนมา อาจทำให้เราเจ็บปวดอย่างลึกซึ้ง รู้สึกเหมือนหัวใจถูกทำลายจากความสูญเสียครั้งนั้น แต่ในขณะเดียวกัน การที่เราเลือกใช้การเขียนเป็นเครื่องมือในการปลดปล่อยจิตใจของเรา ก็อาจช่วยเยียวยาและทำให้เราหายเจ็บได้มากขึ้นโดยที่ไม่ต้องทำให้ผู้อื่นรู้สึกเจ็บปวดหรือเสียใจไปด้วย
การเขียนนิยายหรือการเขียนบันทึกส่วนตัวเป็นการปลดปล่อยความรู้สึกจากในจิตใจออกมาให้โล่ง เมื่อเราเผชิญกับความเจ็บปวดจากการสูญเสียมิตร การที่ได้เขียนออกมาจะเหมือนกับการนำทุกอย่างที่สะสมในจิตใจไปสู่ที่ๆ มองเห็นได้ชัดเจน มีการจัดการและเข้าใจมากขึ้น การเขียนทำให้เราไม่ต้องทำร้ายคนที่เราเคยเป็นเพื่อนหรือพยายามติดต่อให้เขาเจ็บปวดจากการที่เราไม่สามารถหาทางปรับความเข้าใจได้
ในแง่ของจิตวิทยา ทฤษฎีการปลดปล่อยความรู้สึกของ Sigmund Freud หรือที่เรียกกันว่า Catharsis นั้นแสดงให้เห็นว่าการที่เราได้ปลดปล่อยอารมณ์ออกมา โดยเฉพาะอารมณ์ด้านลบ เช่น ความโกรธหรือความเสียใจ จะช่วยให้เรารู้สึกดีขึ้น และการเขียนคือเครื่องมือที่สำคัญที่ช่วยให้เราจัดการกับความรู้สึกเหล่านี้ได้โดยไม่ทำร้ายใคร
การเขียนเพื่อเยียวยา
ในกรณีที่เราไม่สามารถติดต่อกับเพื่อนหรือพยายามคืนดีกับเขาได้ เราอาจต้องเข้าใจและยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้น แต่การที่เราไม่สามารถติดต่อได้ไม่หมายความว่าเราต้องปล่อยให้ความเจ็บปวดจากการสูญเสียนั้นครอบงำเราไปตลอด คำแนะนำหนึ่งจากนักจิตวิทยาคือการใช้ "การเขียนบันทึก" เป็นเครื่องมือในการปลดปล่อยความรู้สึกออกมา เช่น การเขียนจดหมายถึงเพื่อนโดยที่เราไม่จำเป็นต้องส่งจดหมายเหล่านั้นไปให้เขาอ่าน แต่เป็นการเขียนออกมาเพื่อให้เราได้เข้าใจตัวเองและให้จิตใจได้พักบ้าง
อย่างที่ Carl Jung กล่าวว่า "สิ่งที่เราปฏิเสธจะกลับมาหาเราในรูปแบบที่เราควบคุมไม่ได้" ในแง่นี้ การเขียนเป็นการเปิดพื้นที่ให้เราสามารถแสดงออกในรูปแบบที่ปลอดภัยและสร้างความเข้าใจในตัวเอง การเขียนบันทึกอาจเป็นทางออกที่ดีในการจัดการกับความรู้สึกเจ็บปวดและช่วยให้เราเดินหน้าต่อไปในชีวิตได้
การจัดการกับตัวเองในช่วงเวลาแห่งความเจ็บปวด
การที่เรามีความรู้สึกเหงาและคิดถึงเพื่อนที่เคยอยู่เคียงข้างเรามาตลอด นั่นคือการยอมรับว่าช่วงเวลาแห่งความสุขนั้นผ่านไปแล้ว แต่ชีวิตต้องดำเนินต่อไป การที่เรารู้สึกเจ็บปวดเพราะความสูญเสียนั้น ไม่ได้หมายความว่าเราจะหยุดเดินต่อไปเสียทีเดียว มีแนวทางที่สำคัญในการจัดการกับตัวเองในช่วงเวลานี้คือการมองหา "ความสุขในตัวเอง" อีกครั้ง หนึ่งในแนวทางที่แนะนำคือการหากิจกรรมที่เรารักและทำให้เรารู้สึกเติมเต็ม เช่น การเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ การออกกำลังกาย หรือแม้แต่การใช้เวลากับตัวเองเพื่อสะท้อนความคิดและทำความเข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้น
เราต้องให้ความสำคัญกับการทำให้ตัวเองแข็งแรงและรักษาจิตใจให้สงบ การพยายามฟื้นฟูตัวเองหลังการสูญเสียก็เหมือนกับการฟื้นฟูร่างกายจากอาการบาดเจ็บ การทำให้ใจเราเข้มแข็งขึ้นหมายถึงการที่เราให้ความสำคัญกับตัวเองในการฟื้นฟูและการดูแลจิตใจ เช่นเดียวกับการที่นักกีฬาทำการฟื้นฟูหลังจากได้รับการบาดเจ็บทางกาย การฟื้นฟูจิตใจคือการให้เวลาตัวเองและทำกิจกรรมที่ช่วยลดความเครียดและการวิตกกังวล
วิธีที่เราเลือกใช้ในการดำเนินชีวิตในช่วงเวลานี้คือ:
- ยอมรับความเจ็บปวด: การยอมรับและเปิดรับความเจ็บปวดคือก้าวแรกที่สำคัญในการเยียวยาจิตใจ
- ใช้การเขียนเพื่อเยียวยา: การเขียนบันทึก หรือจดหมายถึงเพื่อนที่ตัดขาดไป ทำให้เราเข้าใจความรู้สึกของตัวเองและปลดปล่อยความเจ็บปวด
- รักษาจิตใจให้สงบ: ใช้เวลาสำหรับตัวเองในการทำสิ่งที่รัก เช่น การอ่านหนังสือ หรือการทำกิจกรรมที่ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย
- ยอมรับว่าเวลาเป็นตัวช่วย: เวลาจะช่วยเยียวยาความเจ็บปวด ทั้งนี้ต้องให้เวลาตัวเองในการฟื้นฟู
สรุป
การที่เราต้องสูญเสียเพื่อนหรือมิตรภาพที่เคยใกล้ชิดนั้นเป็นประสบการณ์ที่เจ็บปวด แต่การที่เราเลือกใช้การเขียนเป็นเครื่องมือในการจัดการกับความรู้สึกเหล่านั้น จะช่วยให้เราสามารถปลดปล่อยจิตใจและเยียวยาตัวเองได้ การที่เราให้เวลาในการรักษาจิตใจและหาวิธีในการดูแลตัวเอง คือกุญแจที่จะช่วยให้เรากลับมามีชีวิตที่มีความสุขได้อีกครั้ง
ทุกคนจะต้องผ่านการสูญเสียในช่วงเวลาหนึ่ง แต่เชื่อว่าเวลาและการเยียวยาจิตใจจะนำพาเราไปสู่ความสุขที่แท้จริงได้ในที่สุดศาสตร์แห่งการเขียน: ความเชื่อมโยงระหว่างจิตใจและปัญญา
การเขียนเชื่อมโยงกับแนวคิดทางจิตวิทยา โดยเฉพาะทฤษฎีการเยียวยาด้วยการแสดงออก (Expressive Writing) ของนักจิตวิทยาชื่อดังอย่าง ดร.เจมส์ เพนนีเบเกอร์ (James Pennebaker) เขาอธิบายว่า การเขียนเกี่ยวกับอารมณ์และความทรงจำช่วยลดความเครียด เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน และช่วยให้ผู้เขียนเข้าใจตนเองมากขึ้น
การเขียนยังมีรากฐานทางปรัชญา เช่น แนวคิดของ ฌอง-ปอล ซาร์ตร์ (Jean-Paul Sartre) ที่กล่าวไว้ว่า
"มนุษย์คือผู้สร้างความหมายของชีวิตผ่านการกระทำของตัวเอง"
การเขียนจึงเป็นกระบวนการหนึ่งที่ช่วยให้เราสร้างความหมายใหม่ให้กับประสบการณ์เดิม แม้ในวันที่ถูกปฏิเสธจากเพื่อนหรือคนใกล้ชิด
ตัวอย่างจากงานศิลปะและวรรณกรรม
ในนิยาย "The Bell Jar" ของ ซิลเวีย แพลธ (Sylvia Plath) ผู้เขียนถ่ายทอดความเจ็บปวดของตัวเองผ่านตัวละครเอกที่เผชิญปัญหาทางจิตใจอย่างหนัก การเขียนนิยายของแพลธไม่ได้เป็นเพียงการเล่าเรื่อง แต่เป็นกระบวนการเยียวยาความรู้สึกสูญเสียและความเปลี่ยวเหงาของเธอเอง
คล้ายกับที่ วินเซนต์ แวนโก๊ะ (Vincent van Gogh) เคยใช้การวาดภาพ "The Starry Night" เพื่อจัดการกับภาวะจิตตก การถ่ายทอดสิ่งที่รู้สึกออกมาผ่านงานศิลปะหรือการเขียนจึงเป็นหนทางหนึ่งในการปลดปล่อยสิ่งที่อัดอั้นในใจ
เทคนิคจากกีฬา: การปรับมุมมองเพื่อชัยชนะในใจ
กีฬา เช่น กอล์ฟ หรือโยคะ มักเน้นการฝึกสมาธิและการยอมรับความผิดพลาด เทคนิคหนึ่งที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตคือ "Mindfulness" หรือการรับรู้ปัจจุบันขณะ การเขียนช่วยให้เราฝึกฝนสิ่งนี้ เพราะเมื่อเขียน ทุกคนจะต้องจดจ่ออยู่กับสิ่งที่อยู่ในหัวใจหรือความคิดในขณะนั้น นี่เป็นการสร้างสมดุลทางจิตใจโดยไม่ต้องเผชิญหน้ากับความเจ็บปวดโดยตรง
เราจะเขียนอะไรดี?
- บันทึกความรู้สึก: เขียนทุกอย่างที่อยู่ในใจโดยไม่ต้องสนว่าถูกหรือผิด
- เล่าเรื่องที่เราชอบ: เปลี่ยนประสบการณ์ส่วนตัวเป็นนิยายหรือบทกวี
- เขียนจดหมายที่ไม่ส่ง: บอกความรู้สึกถึงเพื่อนหรือคนที่ทำให้เราเจ็บปวด แม้ไม่ต้องส่งไปจริง
ความเห็นส่วนตัว: จงรักตัวเองให้มากที่สุด
แม้ความสัมพันธ์จะขาดสะบั้น สิ่งที่ทุกคนยังมีคือความเป็นตัวเอง อย่าให้ความเจ็บปวดพรากสิ่งนี้ไป ลองเขียนเพื่อค้นหาความหมายใหม่ในชีวิต บางทีการเขียนอาจไม่ช่วยให้เพื่อนกลับมา แต่จะช่วยให้ทุกคนกลับมาหาตัวเอง
ชีวิตไม่ใช่การวิ่งแข่งเพื่อใคร แต่คือการเดินไปข้างหน้าในจังหวะของตัวเอง หวังว่าทุกคนจะพบความสุขในเส้นทางนี้
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น