การบล็อกใครสักคนในโลกโซเชียลมันทำให้เกิดแรงดึงดูดบางอย่างที่ประหลาดขึ้นมา หรือจริงๆ แล้วมันแค่สร้างกำแพงที่หนากว่าเดิมกันแน่?
เราเคยสงสัยกันไหมว่า การบล็อกใครสักคนในโลกโซเชียลมันทำให้เกิดแรงดึงดูดบางอย่างที่ประหลาดขึ้นมา หรือจริงๆ แล้วมันแค่สร้างกำแพงที่หนากว่าเดิมกันแน่? เราชอบเรียกสิ่งนี้ว่า “ปริศนาแห่งการบล็อก” เพราะมันเหมือนกลไกของใจคนที่แปลกจนเหมือนหลุดมาจากหนังไซไฟอย่าง Inception ที่ทุกอย่างดูเหมือนจะซับซ้อนกว่าที่เห็น
ลองนึกดูสิ ทุกครั้งที่เราบล็อกใคร เรามักคิดว่า “จบกันแค่นี้” แต่จริงๆ แล้วมันไม่ใช่แบบนั้นเสมอไป บางทีคนที่เราบล็อกกลับกลายเป็น "เส้นผมบังภูเขา" ที่เรามองหาอยู่ตลอดเวลา หลายคนคงเคยผ่านโมเมนต์นี้ที่มือดันเผลอเข้าไปส่องโปรไฟล์คนที่ตัวเองบล็อกไว้ผ่านบัญชีเพื่อน หรือนึกถึงคนๆ นั้นทั้งๆ ที่เราควรจะตัดเขาออกจากชีวิตไปแล้ว มันเป็นเพราะอะไร?
เราคิดว่า นี่คือแรงดึงดูดที่เกิดขึ้นจาก “ช่องว่าง” หรือสิ่งที่นักปรัชญาชาวฝรั่งเศสอย่าง ฌาคส์ ลาก็อง (Jacques Lacan) เรียกว่า Lack หรือ “การขาด” ซึ่งหมายถึงสิ่งที่เราไม่มี ทำให้เราโหยหามัน เหมือนเวลาเราพยายามลดน้ำหนัก แต่ในหัวเรามีแต่ภาพของช็อกโกแลตเค้ก มันเหมือนกันเลย! การบล็อกอาจทำให้เราคิดว่าชีวิตจะสงบสุข แต่สุดท้ายแล้ว การตัดตัวตนใครออกไปกลับทำให้เขากลายเป็น “เรื่องค้างคา” ที่ยิ่งใหญ่ขึ้นในใจเรา
นี่ไม่ใช่แค่ทฤษฎีจิตวิทยาเท่านั้น เราเห็นตัวอย่างในงานศิลปะและวรรณกรรมมานับไม่ถ้วน ลองนึกถึง The Great Gatsby สิ เจย์ แกสบี้ ใช้ชีวิตทั้งชีวิตวิ่งไล่ตามเดซี่ หญิงสาวที่เหมือนจะอยู่ใกล้แต่ไม่เคยเอื้อมถึง พอเดซี่ไม่ได้อยู่ในชีวิตของเขาแบบจริงๆ แกสบี้กลับยิ่งถูกดึงดูดให้โหยหาเธอ ทั้งๆ ที่ชีวิตของเดซี่ไม่เคยสมบูรณ์แบบเลย เหมือนกับเวลาที่เราบล็อกใครสักคน เราอาจไม่ได้บล็อกตัวเขา แต่เรากำลังสร้างภาพลักษณ์ใหม่ให้กับเขาในหัวเราเอง
แล้วฝ่ายคนถูกบล็อกล่ะ? เราคิดว่าเขาก็ไม่ได้อยู่เฉยเหมือนกัน ลึกๆ แล้วเขาอาจจะคิดถึงเราเหมือนกัน แต่ในบริบทที่แตกต่างกัน เช่นเดียวกับกีฬาอย่างเทนนิสที่ทุกการโต้กลับต้องอาศัยคู่ต่อสู้ ถ้าไม่มีการโต้ตอบ คนถูกบล็อกอาจเริ่มตั้งคำถามว่า “ทำไมเราถึงถูกตัดออกจากสนาม?” การสงสัยนี้อาจนำไปสู่ความสนใจแบบใหม่ หรือแม้กระทั่งความพยายามหาวิธีแก้เกม เช่น การสร้างบัญชีปลอมเข้ามาสอดส่อง
สุดท้ายแล้ว การบล็อกเป็นเหมือนดาบสองคม มันไม่ได้แปลว่าเราตัดใครออกจากชีวิตได้จริงๆ แต่มันอาจสร้างพลังงานบางอย่างที่ทำให้ทั้งสองฝ่ายถูกผูกติดกันในแบบที่ซับซ้อนกว่าเดิม เราว่ามันเหมือนปรากฏการณ์ Schrödinger's Cat ในฟิสิกส์ควอนตัม ที่ในกล่องนั้นแมวอาจจะทั้งตายและยังมีชีวิตอยู่ในเวลาเดียวกัน การบล็อกก็เหมือนกับการปิดกล่องนั้นแหละ ทุกคนอาจจะยังมีตัวตนในชีวิตของเรา แค่ในรูปแบบที่ต่างออกไป
ยาวเลยนะจนกลาย
เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการบล็อกไปแล้ว ลองอ่านดูละกันแต่ไปเจอมุมมองที่น่าสนใจหลายอย่างระหว่างเขียนบทความเหล่านี้
เราเคยสงสัยกันไหมว่า การบล็อกใครสักคนในโซเชียลมีเดียมันทำให้เกิดการส่องกันขึ้นมามากกว่าเดิม หรืออีกฝ่ายจะไม่สนใจเลย แบบไหนที่เป็นไปได้มากกว่ากันในกรณีนี้?
สำหรับเราเราสงสัยมากเหมือนกันนะและก็ได้บทความแบบนี้หลังจากที่ครุ่นคิดมาสักพักแต่เราบอกได้เลยว่าถ้าหากขี้เกียจอ่านหลังจากนี้คนที่ไม่สนใจก็คือจะไม่สนใจไปเลยนะแต่ถ้าคนที่สนใจอยู่หรือชอบพอกันอยู่มันจะมีเอฟเฟคนึงเกิดขึ้นหลังจากการบล็อกไม่ว่าจะเป็นคนบล็อคหรือคนถูกบล็อคซึ่งเป็นปฏิกิริยาที่น่าสนใจที่จะถกเถียงกัน
ลองนึกถึงฉากในภาพยนตร์เรื่อง The Social Network ดูสิ ตอนที่มาร์ก ซักเคอร์เบิร์กนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ พิมพ์โค้ดและสร้าง Facebook ขึ้นมาในหอพัก มันเริ่มต้นจากการที่เขาถูกคนรักบอกเลิก ความโกรธและความเสียใจนำไปสู่การสร้างเครือข่ายที่มีคนใช้กว่าพันล้านคนในวันนี้ น่าสนใจใช่ไหมล่ะว่า ความสัมพันธ์และอารมณ์มันทรงพลังขนาดที่ผลักดันให้เกิดอะไรที่ใหญ่โตขนาดนี้ แล้วเราจะไม่สงสัยได้ยังไงว่าการ "บล็อก" หรือ "อันบล็อก" ใครสักคนมันจะส่งผลกระทบกับจิตใจของเราและอีกฝ่ายยังไง
ตามหลักจิตวิทยา การบล็อกใครสักคนคือการสร้างกำแพงขึ้นระหว่างเราและเขา แต่นี่แหละคือสิ่งที่ย้อนแย้งที่สุดในโลกโซเชียลมีเดีย ยิ่งกำแพงสูงเท่าไหร่ ความอยากรู้อยากเห็นก็สูงตามไปด้วย เหมือนในหนังเรื่อง Rear Window ของ Alfred Hitchcock ไง ที่ตัวละครหลักบาดเจ็บจนต้องนั่งมองชีวิตคนอื่นผ่านหน้าต่าง มันน่าสงสัยว่าการ "เฝ้ามอง" ชีวิตของคนอื่นมันกลายเป็นกิจกรรมที่เราทำกันโดยไม่รู้ตัว และที่ตลกร้ายคือบางทีคนที่เราบล็อกไปอาจกำลังทำแบบเดียวกันอยู่กับเรา
ในโลกของศิลปะก็มีแนวคิดที่สะท้อนความซับซ้อนนี้อยู่ ลองมองภาพเขียน The Son of Man ของ René Magritte ภาพชายในชุดสูทที่ใบหน้าถูกบังด้วยแอปเปิ้ลสีเขียว มันสื่อถึงความอยากรู้อยากเห็นที่ถูกขัดขวาง เรามองเห็นชายคนนั้นบางส่วน แต่ไม่ทั้งหมด เหมือนความสัมพันธ์ที่เราบล็อกไป เราอาจคิดว่าเราตัดขาดจากเขาแล้ว แต่จริงๆ แล้วในหัวเรายังจินตนาการว่าเขากำลังทำอะไรอยู่
หรือถ้าจะให้เปรียบเทียบกับกีฬา ลองนึกถึงการเล่นบาสเกตบอล การตั้ง "กำแพงป้องกัน" (defense) เพื่อหยุดฝ่ายตรงข้ามทำแต้ม มันไม่ได้หมายความว่าเราหยุดเกมได้ทั้งหมด บางครั้งการตั้งกำแพงนั่นแหละที่ทำให้อีกฝ่ายพยายามจะเลี้ยงลูกไปอีกทาง ยิ่งเราบล็อก ยิ่งมีโอกาสที่เขาจะหาทาง "เลี้ยงผ่าน" และบางครั้งก็ทำแต้มใส่เราได้ง่ายกว่าเดิม
แต่เดี๋ยวก่อน อีกมุมหนึ่ง การบล็อกก็อาจไม่ส่งผลอะไรเลยเหมือนกัน บอกเลยว่าไม่มีผลอะไรเลยนะถ้าอีกฝ่ายไม่ได้มีความหมายอะไรการบล็อกก็คือแค่ปุ่มกำจัดปุ่มนึงเท่านั้นเอง ถ้าอีกฝ่ายไม่สนใจเราตั้งแต่แรก เหมือนกับในปรัชญาของนักคิดอย่าง Jean-Paul Sartre ที่บอกว่า "คนอื่นคือขุมนรก" (Hell is other people) บางทีการบล็อกคือการปลดปล่อยตัวเองจากขุมนรกของการคิดถึงเขา และการที่เขาไม่สนใจเราเลยอาจเป็นสวรรค์ที่เรามองไม่เห็นหรือแม้แต่การบล็อกคือการหยุดการรบกวนต่างๆนานา
สุดท้ายแล้ว การบล็อกคือการประกาศว่า "ฉันต้องการความสงบสุข" แต่โลกดิจิทัลมันไม่เคยสงบอย่างที่เราคิด มันเหมือนหนังเรื่อง Inception ความคิดของเรายังคงวิ่งวนอยู่ในความฝันชั้นลึกๆ ที่ไม่อาจตัดออกได้ง่ายๆ
หลายๆคนอาจจะสงสัยว่าการบล็อกใครสักคนในโลกโซเชียลมันส่งผลยังไงกับจิตใจคนบล็อกเอง? ทำให้ดึงดูดเข้าหาคนที่ถูกบล็อกมากขึ้น หรือกลับทำให้ผลักออกไปไกลกว่าเดิม?
สิ่งนี้เป็นเหมือน paradox ที่น่าสนใจอย่างหนึ่งในความสัมพันธ์ของมนุษย์ และมันไม่ใช่เรื่องใหม่เลยนะ แค่โซเชียลมีเดียทำให้เรามองเห็นได้ชัดขึ้นเหมือนฉายโปรเจคเตอร์บนกำแพงห้องโล่งๆ
ลองนึกถึง “The Great Gatsby” ของ F. Scott Fitzgerald เราเชื่อว่าหลายคนเคยอ่านหรืออย่างน้อยก็เคยดูหนังกันบ้าง เจย์ แกตสบี ทุ่มเททุกอย่างเพื่อเดซี่ แต่เขากลับไม่สามารถเข้าไปถึงใจเธอได้จริงๆ ในแบบที่เขาต้องการ ความรักที่ยิ่งใหญ่นั้นกลับทำให้เขาหมกมุ่นยิ่งขึ้นเมื่อถูกกั้นขวางด้วย "กำแพง" ซึ่งในกรณีนี้คือการที่เดซี่ไม่สามารถเป็นของเขาได้จริงๆ การบล็อกใครสักคนก็คล้ายๆ กับการสร้างกำแพงนั้นขึ้นมา ยิ่งเราไม่สามารถเข้าถึงได้ง่าย เราอาจจะยิ่งหมกมุ่น ยิ่งอยากรู้ ยิ่งคิดถึง
เราอ่านเจองานวิจัยชิ้นหนึ่งในจิตวิทยาความสัมพันธ์ (Interpersonal Psychology) ที่พูดถึง "The Scarcity Effect" หรือผลกระทบจากความขาดแคลน สิ่งที่เราขาด หรือถูกกีดกันจากมัน กลับทำให้เราให้ค่ากับมันมากขึ้นในใจ
ยิ่งเราไม่ได้เห็นฟีดหรือสตอรี่ของคนที่เราบล็อก ความสงสัยและความคิดถึงอาจจะยิ่งเพิ่มขึ้นเพราะสมองเราเหมือนจะอยากปะติดปะต่อเรื่องราวที่ขาดหายไป นี่แหละที่อาจอธิบายว่าทำไมบางคนถึงยิ่งคิดถึงคนที่ตัวเองบล็อก
แต่เดี๋ยวก่อน เราอยากยกตัวอย่างจาก "กีฬา" บ้าง ลองมองไปที่ฟุตบอล มีใครเคยเห็นนักเตะที่เคยโดนแบนจากการแข่งขันกลับมาเล่นได้ดีกว่าเดิมไหม? เพราะพวกเขามีเวลา “ห่าง” จากสนาม
พวกเขากลับรู้ว่ามันสำคัญกับพวกเขาแค่ไหน การบล็อกใครสักคนก็อาจทำให้คนบล็อกเองรู้ตัวว่าความสัมพันธ์นั้นสำคัญแค่ไหน และถ้าพวกเขารู้สึกว่าคนถูกบล็อกเคยมีบทบาทสำคัญในชีวิต ความรู้สึกดึงดูดนั้นอาจจะยิ่งเพิ่มขึ้น
ในทางกลับกัน เราต้องยอมรับว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะถูกดึงดูดเข้าหาคนที่ตัวเองบล็อกนะ บางคนอาจรู้สึก "โล่งว่ะ" หรือในที่สุดก็สามารถกำจัดตัวน่ารำคาญในชีวิตได้แล้ว เหมือนพ้นจากภาระหรือความเจ็บปวดในชีวิต กำแพงที่สร้างขึ้นกลายเป็นกำแพงที่ป้องกันตัวเองแทนที่จะเป็นเครื่องมือที่ทำให้คิดถึง
และเมื่อพูดถึงกรณีของเพื่อนสนิท การบล็อกกันอาจซับซ้อนกว่าเดิม เพราะเพื่อนสนิทไม่ใช่แค่คนที่เรารู้จักผ่านจอ แต่เป็นคนที่รู้จักตัวตนของเราลึกกว่าผิวเผิน การบล็อกเพื่อนสนิทอาจทำให้เกิดความรู้สึกหลากหลาย
ตั้งแต่คิดถึงความทรงจำดีๆ ที่เคยมีร่วมกัน จนถึงความโกรธหรือเสียใจที่ต้องสร้างกำแพงขึ้น ถ้าเรามองในแง่จิตวิทยา ความสัมพันธ์แบบนี้มีโอกาสดึงดูดหรือผลักไสได้พอๆ กัน อยู่ที่ว่าความสัมพันธ์นั้นเคยสร้าง "บาดแผล" ไว้มากน้อยแค่ไหน
การบล็อกใครสักคนอาจทำให้เราดึงดูดเข้าหาพวกเขาหรือผลักไสพวกเขาออกไป ขึ้นอยู่กับตัวแปรที่ซับซ้อนทั้งในใจและในความสัมพันธ์นั้นๆ เหมือนกับว่าเราเป็นคนกำหนดผลลัพธ์เอง ไม่ว่าจะด้วยความรู้สึกหรือการกระทำต่อไป
ส่วนการบล็อกใครสักคนในโซเชียลมีเดียมันส่งผลยังไงกับความสัมพันธ์ในกรณีของเพื่อนสนิท? การบล็อกกันอาจไม่ใช่แค่เรื่อง “ตัดขาด” แต่กลับเป็นเหมือนเกมจิตวิทยาที่ละเอียดอ่อนมากขึ้น ยิ่งกว่านั้น ถ้าคนที่ถูกบล็อกอยากให้คนบล็อกคิดถึงแทนที่จะรู้สึกว่าถูกผลักไสล่ะ เขาควรทำยังไง?
ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในใจคนบล็อกก่อน หลายคนอาจเคยได้ยินเรื่อง "The Forbidden Fruit Effect" หรือผลกระทบของผลไม้ต้องห้าม ยิ่งเราไม่ได้เห็นหรือไม่ได้ครอบครองบางสิ่ง ความอยากได้หรือความหมกมุ่นกับสิ่งนั้นกลับเพิ่มขึ้นไปอีก เหมือนในหนังเรื่อง Inception ที่ตัวละครดอม คอบบ์ ต้องเผชิญกับ “Totem” หรือเครื่องเตือนใจเกี่ยวกับความจริง ยิ่งเขาพยายามหาความจริงในโลกที่ซับซ้อนของจิตใจตัวเอง เขายิ่งหมกมุ่นมากขึ้น
การบล็อกใครสักคนก็เหมือนการสร้าง “กำแพง” ที่ทำให้เราไม่สามารถเข้าถึงเขาได้โดยตรง แต่กำแพงนี้ไม่ได้แข็งแกร่งเสมอไป ในบางครั้งมันกลับทำให้เรายิ่งอยากรู้ ยิ่งคิดถึง ยิ่งสงสัยว่า “เขาทำอะไรอยู่ตอนนี้” การที่ฟีดของคนที่เราบล็อกหายไป อาจกลายเป็นเหมือนการทิ้งปริศนาให้สมองของเราต้องปะติดปะต่อภาพเอง นี่คือเหตุผลที่บางคนยิ่งบล็อกก็ยิ่งคิดถึง
แต่ถ้ากรณีเป็นเพื่อนสนิท การบล็อกกันอาจไม่ได้ง่ายขนาดนั้น เพราะเพื่อนสนิทไม่ใช่แค่คนที่เรารู้จักผ่านโพสต์โซเชียล พวกเขาเป็นคนที่เรารู้จักตัวตนลึกซึ้งกว่า ในหนังสือ The Little Prince มีประโยคหนึ่งที่บอกว่า “You become responsible forever for what you have tamed.” ความสัมพันธ์ของเพื่อนสนิทเหมือนกับการ “เชื่อง” กันและกัน การบล็อกอาจสร้างบาดแผล แต่ก็อาจกระตุ้นความรู้สึกคิดถึงหรือเสียใจในสิ่งที่เสียไป
แล้วถ้าคนถูกบล็อกอยากทำให้คนบล็อกคิดถึงล่ะ? นี่คือส่วนที่น่าสนุกที่สุด อันนี้เราพูดกันตรงๆนะจริงๆมันไม่ได้สนุกหรอกแต่ว่ามันน่าสนุกเวลาพูดถึงเรื่องนี้เพราะมันคือเรื่องของจิตวิทยา เราขอใช้ตัวอย่างจากวงการกีฬา ลองดูนักเตะในพรีเมียร์ลีกที่เคยโดนแบนจากการแข่งขัน เมื่อพวกเขากลับมาลงสนามหลังพ้นโทษ แฟนบอลมักต้อนรับพวกเขาด้วยความฮือฮาและคาดหวังมากกว่าเดิม นี่คือผลจากการ “หายไป” ที่ทำให้ผู้คนมองเห็นความสำคัญมากขึ้น
วิธีที่ดีที่สุดในการทำให้คนบล็อกคิดถึงอาจไม่ใช่การพยายามทำอะไรตรงๆ แต่เป็นการ “สร้างคุณค่า” ของตัวเองในมุมอื่นแทน ทำให้ตัวเองดีขึ้นในทุกด้าน
ลองนึกถึงศิลปินชื่อดังอย่างแวนโก๊ะ ผลงานของเขามีคุณค่ามหาศาลในสายตาผู้คนเมื่อเขาไม่อยู่บนโลกนี้แล้ว (แม้จะเป็นเรื่องเศร้าก็ตาม) คนถูกบล็อกอาจเลือกสร้าง “ตัวตนใหม่” ที่ดูน่าดึงดูด ทำให้ตัวเองมีคุณค่าในแบบที่คนบล็อกอาจอดคิดถึงไม่ได้ เช่น การโพสต์สิ่งที่แสดงถึงความสุข ความสำเร็จ หรือการใช้ชีวิตที่น่าสนใจผ่านช่องทางอื่นๆ ที่ยังเข้าถึงได้ แต่บอกไว้ก่อนนะไม่ใช่เขาจะสนใจเสมอไปหรอกนะแต่เราอาจจะดีขึ้นด้วยการกระทำของเราเองให้คิดว่าทำเพื่อตัวเองก่อน
อีกแนวทางที่ได้ผลคือการใช้ "Silence Strategy" ความเงียบในบางครั้งสามารถพูดแทนเราได้มากกว่าคำพูด การไม่พยายามติดต่อหรือแสดงความสนใจใดๆ อาจทำให้คนบล็อกเกิดคำถามในใจว่า “เขาไม่สนใจเราแล้วเหรอ?” หรือ “เราทำผิดอะไร?” ความเงียบทำให้เกิดพื้นที่ว่างในใจที่คนบล็อกอาจเติมเต็มด้วยความคิดถึงแทน
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น การบล็อกและผลกระทบที่เกิดขึ้นมักขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ที่มีมาก่อนหน้าด้วย หากเพื่อนสนิทคนนั้นเคยเป็นส่วนสำคัญในชีวิตคนบล็อก ความคิดถึงมักจะเกิดขึ้นไม่ว่าคนถูกบล็อกจะทำอะไร แต่ถ้าความสัมพันธ์เต็มไปด้วยความเจ็บปวดหรือความขัดแย้ง การบล็อกอาจกลายเป็นการผลักไสจริงๆผลักแบบไม่กลับมาเลยคือไม่กลับมาเป็นเพื่อนกันอีกเลยนั่นแหละ
สุดท้ายแล้ว การทำให้คนบล็อกคิดถึงหรือไม่คิดถึงไม่ได้อยู่ที่การกระทำของเราคนเดียว แต่อยู่ที่ความทรงจำและความสัมพันธ์ที่เรามีร่วมกัน บางครั้งสิ่งที่ดีที่สุดอาจไม่ใช่การพยายามทำให้เขาคิดถึงเรา แต่เป็นการคิดถึงตัวเองและใช้ชีวิตต่อไปอย่างมีความสุขแทน
การบล็อกใครสักคนในโซเชียลมีเดียมันสะท้อนอะไรบางอย่างในจิตใจของเราหรือเปล่า หรือมันเป็นแค่ปุ่มง่ายๆ ที่กดเพื่อหลีกเลี่ยงความวุ่นวาย?
คำตอบที่เราค้นหาเจอกลับทำให้เราแปลกใจมากขึ้นเลยเพราะว่าคนที่บล็อกจะกลายเป็นฝ่ายที่คิดถึงมากขึ้นเสียอีก
ถ้าหากมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมาก่อนนะ แต่บอกไว้ก่อนเลยนะอย่าคาดหวังเพราะมันอาจจะเป็นการตัดขาดกันจริงๆก็ได้ถ้าหากการกระทำทั้งสองฝ่ายรุนแรงต่อกันและไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันขนาดนั้นมาเป็นระยะเวลานาน
บางครั้งเราบล็อกคนเพราะโกรธ บางครั้งเพราะต้องการพื้นที่ของตัวเอง หรือบางครั้งเพราะแค่ไม่อยากเห็นโพสต์ที่กระทบความรู้สึกของเรา แต่ถ้าลองถามกลับไปว่า แล้วคนที่บล็อกเขารู้สึกยังไงหลังจากนั้น? เรากลับพบว่า มันไม่ได้ทำให้เรารู้สึก “จบ” เสมอไป บางครั้งมันยิ่งทำให้เรารู้สึกผูกพันหรือดึงดูดเข้าหาคนที่เราบล็อกเสียอีก
เรามักจะนึกถึงภาพยนตร์อย่าง Eternal Sunshine of the Spotless Mind ที่ตัวละครสองคนพยายามลบความทรงจำเกี่ยวกับกันและกัน แต่ยิ่งลบ ยิ่งค้นพบว่าความทรงจำเหล่านั้นไม่ใช่สิ่งที่เราจะลบได้ง่ายๆ เหมือนการกดปุ่ม delete มันสะท้อนว่า การพยายามตัดใครออกจากชีวิตด้วยวิธีการที่ดูเด็ดขาด อาจไม่ได้เด็ดขาดเท่าที่เราหวัง เพราะจิตใจเรายังคงวนเวียนอยู่กับคำถามว่า “เขาจะรู้สึกยังไงบ้างที่ถูกบล็อก?” หรือ “เขาเคยคิดถึงเราบ้างไหม?”
มีงานวิจัยด้านจิตวิทยาสังคมบางชิ้นที่บอกว่า การบล็อกอาจเกิดจากความรู้สึกอยากควบคุมสถานการณ์ เราต้องการให้ตัวเองเป็นผู้ควบคุมว่าใครจะเข้าถึงเราได้บ้าง และใครจะไม่ได้ แต่ในขณะเดียวกัน ความปรารถนาที่จะควบคุมนี้กลับกลายเป็นดาบสองคม เพราะมันอาจสร้างความคาดหวังที่ไม่ได้พูดออกมา เช่น หวังว่าคนที่ถูกบล็อกจะพยายาม “เข้าถึง” เราอีกครั้ง ซึ่งนั่นอาจเป็นสิ่งที่เราไม่รู้ตัวว่าต้องการ
ลองนึกถึงบทละครของเชคสเปียร์เรื่อง Romeo and Juliet ที่ความรักต้องเผชิญกับกำแพง (หรือบล็อก) อันใหญ่หลวงอย่างการเป็นศัตรูของครอบครัว ทั้งคู่รู้สึกเหมือนยิ่งถูกขัดขวาง ก็ยิ่งต้องการเข้าหากัน นี่อาจเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อเราบล็อกใคร เราสร้างกำแพงขึ้นมา แต่มันกลับสร้างแรงดึงดูดในอีกด้าน
ถ้าเรามาพูดถึงคนที่ถูกบล็อกบ้าง พวกเขาจะรู้สึกยังไง? บางครั้งคนถูกบล็อกอาจไม่ได้รู้สึกอะไรมากไปกว่า “อ้าว บล็อกกูทำไมนิ?” หรืออาจเกิดความสงสัยว่าพวกเขาทำผิดอะไร บางทีหลายๆจุดเราก็ไม่รู้ว่าทำผิดตรงไหนก็เลยโดนทมันเหมือนกับเกมปริศนาที่ไม่มีคำตอบ
และการไม่รู้คำตอบนี่แหละที่ทำให้เกิดความไม่สบายใจ ความสับสน หรือแม้แต่ความโกรธ พวกเขาอาจอยากพูดคุยเพื่อหาทางออก แต่มันก็ไม่มีทางเกิดขึ้นเพราะประตูถูกปิดไปแล้ว
คำถามคือ แล้วทำยังไงให้คนที่บล็อกเลิกบล็อก? ตรงนี้เราต้องย้อนกลับมาที่คำถามใหญ่: คนบล็อกต้องการอะไร? บางคนอาจต้องการแค่พื้นที่ส่วนตัว เราต้องเคารพตรงนี้ บางคนอาจต้องการเวลาทบทวนความรู้สึกของตัวเอง หรือบางคนอาจต้องการให้คนที่ถูกบล็อกเข้าใจอะไรบางอย่างโดยที่ไม่ได้พูดออกมา วิธีเดียวที่อาจช่วยได้คือลองสื่อสารด้วยวิธีอื่นที่ไม่ล่วงล้ำ เช่น การเขียนข้อความที่จริงใจ ส่งอีเมล หรือให้เพื่อนช่วยพูดคุยแทนแต่บอกไว้ก่อนว่าอย่าเยอะเกินไปนะเพราะว่าการที่เขาบล็อกคุณแต่แรกอ่ะเขาไม่ได้อยากจะติดต่อคุณนะและไม่ได้อยากที่จะเห็นคุณต่ออย่างน้อยก็ช่วงนึง
ท้ายที่สุด การบล็อกหรือถูกบล็อกอาจเป็นกระบวนการที่ช่วยให้เรารู้จักตัวเองมากขึ้น ว่าเราต้องการอะไรจากความสัมพันธ์ และเรายินดีจะให้อะไรกลับไป บางทีการที่คนบล็อกจะเลิกบล็อกอาจไม่ได้ขึ้นอยู่กับการกระทำของอีกฝ่ายเสมอไป แต่ขึ้นอยู่กับการที่พวกเขารู้สึกว่า “พร้อม” ที่จะเปิดประตูอีกครั้ง
เมื่อทั้งสองฝ่ายเรียนรู้ที่จะรับฟังกันในแบบที่ไม่ต้องพูดอะไรออกมาด้วยซ้ำ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น