เราเคยสงสัยกันไหมว่า เวลาที่คนบล็อกใครสักคนกับคนที่ถูกบล็อก ใครกันแน่ที่ส่องมากกว่ากัน?
เราเคยสงสัยกันไหมว่า เวลาที่คนบล็อกใครสักคนกับคนที่ถูกบล็อก ใครกันแน่ที่ส่องมากกว่ากัน? เอาจริงๆ มันก็เหมือนกับสงครามเย็นในยุค 80s นั่นแหละ ใครจะรู้ล่ะว่าระหว่างอเมริกากับโซเวียต ใครแอบดักฟังกันมากกว่ากัน เราว่ามันเป็นเกมจิตวิทยาที่ลึกซึ้ง และเอาเข้าจริงมันอาจจะไม่ได้อยู่ที่ว่าใครบล็อกใครก่อน แต่อยู่ที่ว่า “ใครยังแอบอยากรู้” มากกว่า
คนบล็อกน่ะ ฟังดูเหมือนเขาจะเป็นฝ่ายชนะใช่ไหม? เหมือนกดปุ่มปิดไฟแล้วเดินออกจากห้องอย่างสง่างาม แต่ความจริงแล้ว บางครั้งเขาแค่ปิดหน้าต่างบานหนึ่งเพื่อแอบเปิดหน้าต่างบานเล็กๆ อีกบานหนึ่งไว้แอบดู เราอาจเคยเห็นคนบล็อกที่ยังไปขอให้เพื่อนช่วยแคปหน้าจอโปรไฟล์ของคนที่เขาบล็อกไว้ หรือไม่ก็สร้างแอคเคาต์ลับขึ้นมาใหม่เพื่อส่องชีวิตของอีกฝ่าย นี่มันพฤติกรรมแบบในหนัง Gone Girl ชัดๆ ความซับซ้อนในการแอบส่องนี่ไม่แพ้บทของกิลเลียน ฟลินน์เลย
แต่คนถูกบล็อกก็ไม่ได้ใสซื่อหรอก อย่าได้ประมาท เพราะในวันที่เรารู้ว่ามีใครสักคนกดปิดประตูในหน้าของเรา ความอยากรู้อยากเห็นก็จะทำงานแบบเต็มกำลัง เราเริ่มตั้งคำถามว่า “ทำไมเขาบล็อกเรา?” “เขาโพสต์อะไรเกี่ยวกับเราหรือเปล่า?” มันเหมือนตอนอ่าน Crime and Punishment ของดอสโตเยฟสกี ที่เรานั่งอยู่ในหัวของรัสโคลนิกอฟและสงสัยว่าเขาจะสารภาพผิดไหม เราจะคิดวนไปวนมา สุดท้ายก็จบลงที่การสมัครบัญชีใหม่เพื่อไปดู หรือไม่ก็ส่งเพื่อนแกล้งทักไปหาอีกฝ่ายแทน
พอเราถามว่าใครส่องมากกว่ากัน เราก็ต้องย้อนกลับมาที่คำถามว่า “ทำไมเราถึงอยากรู้ขนาดนั้น?” เพราะบางทีการส่องมันไม่ได้เกี่ยวกับความเกลียดเลยนะ แต่เป็นเพราะเรายังแคร์ เราชอบคำพูดของฌอง-ปอล ซาร์ตร์ในหนังสือ Being and Nothingness ที่ว่า “นรกคือคนอื่น” (Hell is other people) แต่บางครั้งนรกของเราก็คือความอยากรู้อยากเห็นที่กัดกินตัวเองอยู่ในใจนี่แหละ
แล้วเราจะออกจากเขาวงกตนี้ได้ยังไง? ถ้าให้พูดแบบปรัชญาหน่อย การบล็อกกับการส่องเป็นเหมือนหยินหยาง ไม่มีใครชนะใครจริงๆ แต่ถ้าพูดแบบนักกีฬาว่ายน้ำ การออกจากสถานการณ์นี้ก็เหมือนการขึ้นจากสระน้ำตอนที่ยังมีแรงเหลือ แทนที่จะปล่อยให้ตัวเองจมน้ำไปกับความอยากรู้อยากเห็นที่ไม่มีวันสิ้นสุด ลองปิดจอ ปิดแอป แล้วออกไปดูโลกจริงๆ อะไรที่เรามองเห็นในชีวิตจริงมันอาจจะมีค่าและมีพลังมากกว่าสิ่งที่เราพยายามส่องในโลกออนไลน์
ท้ายที่สุด การส่องก็เหมือนกับการเล่นชิงช้าสวรรค์ เรานั่งอยู่ตรงนั้น หมุนขึ้นหมุนลง มองจากที่สูง แต่มันไม่มีทางไปถึงไหน เราก็แค่นั่งวนไปมาในสิ่งที่เรารู้สึกว่าควบคุมไม่ได้ แต่จริงๆ แล้วเราเลือกได้เสมอว่าจะลงจากมันเมื่อไหร่
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น