งานศิลปะในยุคใหม่: ศิลปินไม่ควรปฏิเสธธุรกิจ ถ้าคุณอยากเติบโต
การทำงานที่มีจุดมุ่งหมาย: งานสร้างแบรนด์ในยุคที่ทุกสิ่งเปลี่ยนไป
หลายคนคงเคยได้ยินคำพูดว่า "ทำงานตามเงินที่ได้" หรือ "ทำน้อยได้มาก ทํามากได้มาก" ซึ่งอาจฟังดูเหมือนเป็นแนวทางที่ง่ายที่สุดในการก้าวเดิน แต่ถ้าคุณพิจารณาลึกๆ คุณอาจพบว่ามันยังไม่เพียงพอในการสร้างการเติบโตในระยะยาวโดยเฉพาะในโลกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน
ในทางปรัชญา, ทฤษฎี "การทำงานเพื่อความสมบูรณ์" (The Theory of Work's Meaning) ของ Viktor Frankl ได้พูดถึงความหมายของการทำงานที่ไม่ใช่แค่การทำงานเพื่อตอบสนองความต้องการพื้นฐานหรือเพื่อผลตอบแทนทางการเงินเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวข้องกับการเติมเต็มจุดมุ่งหมายในชีวิตของเราอีกด้วย เมื่อตัวเราสามารถทำงานเต็มที่โดยใช้ศักยภาพที่เรามี ไม่เพียงแค่ในทางเทคนิค แต่ยังเป็นการสะท้อนถึงความหมายของการใช้ชีวิตผ่านสิ่งที่เราทำ ซึ่งช่วยสร้าง "portfolio" ที่แข็งแกร่งให้เราได้ในที่สุด
อย่างที่ Herbert A. Simon นักเศรษฐศาสตร์และนักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์กล่าวไว้ว่า “การตัดสินใจที่ดีที่สุดในธุรกิจไม่ใช่การเลือกสิ่งที่ง่ายที่สุด แต่คือการเลือกสิ่งที่ยั่งยืน” ซึ่งหมายความว่าเราควรมองภาพรวมในการทำงาน และเลือกที่จะทำให้ดีที่สุดทุกครั้ง แม้กระทั่งในงานที่อาจไม่ให้ผลตอบแทนมากในตอนแรก ความทุ่มเทในทุกงาน จะสะท้อนถึงคุณค่าในที่สุด
ถ้าคุณทำงานเพื่อสร้างความประทับใจให้ลูกค้าในทุกๆ ครั้ง คุณจะได้การบอกต่อ ซึ่งไม่ใช่แค่การตอบสนองตามคาดหวังของลูกค้า แต่ยังเป็นการเกินความคาดหวังจนกลายเป็น “Wow Factor” ที่ทำให้ลูกค้ารู้สึกประทับใจและอยากบอกต่อ ผมเชื่อว่าในที่สุดมันจะนำไปสู่การได้รับงานที่มีมูลค่าสูงขึ้นและส่งผลให้คุณสามารถเติบโตได้ในวงการที่คุณอยู่
ทฤษฎีของ Clayton Christensen ในการพัฒนาแนวคิดเกี่ยวกับ “Disruption Innovation” (นวัตกรรมที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในตลาด) กล่าวไว้ว่าการพัฒนาและการเปลี่ยนแปลงในงานของคุณเป็นสิ่งที่สำคัญในการทำให้แบรนด์ใหญ่ๆ หรือบริษัทชั้นนำเห็นคุณค่าและต้องการเข้ามาจ้างคุณ ถ้าคุณยังคงยึดติดกับการทำตามที่ลูกค้าคาดหวังโดยไม่มีการพัฒนาและปรับตัวเข้ากับตลาดหรือทิศทางใหม่ๆ คุณจะยังคงติดอยู่ในวงจรเดิมๆ ที่ไม่สามารถก้าวไปข้างหน้าได้
ในมุมมองของนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ คุณต้องเข้าใจว่าการขายสินค้าไม่ได้หมายความแค่การมีสินค้าที่ดีเท่านั้น แต่ยังต้องมีการสร้างภาพลักษณ์ที่เหมาะสมและตรงกับกลุ่มเป้าหมายที่พวกเขาต้องการ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือการตลาดที่มักจะใช้ “ภาพลักษณ์” ในการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า สินค้าที่ดีต้องถูกนำเสนอในลักษณะที่สามารถทำให้ลูกค้ารู้สึกว่ามันเกี่ยวข้องกับชีวิตของพวกเขา การเข้าใจถึงความต้องการของตลาดและการปรับตัวตามนั้นจะทำให้คุณยืนหยัดในตลาดที่มีการแข่งขันสูงได้
เช่นเดียวกับแนวคิดในเกมกีฬา อาทิเช่น Michael Jordan ที่ในฐานะนักบาสเกตบอลชื่อดัง เขามีความสามารถในการทำลายกำแพงข้อจำกัดที่ตั้งไว้โดยการฝึกฝนที่เหนือชั้นและการมองข้ามสิ่งที่ง่ายๆ แม้ในตอนแรกเขาจะไม่ได้รับการยอมรับจากทุกคน แต่ด้วยการทำงานหนักและการพัฒนาทักษะอย่างไม่หยุดยั้ง เขากลายเป็นนักกีฬาที่ได้รับการยอมรับและถูกยกย่องจนถึงวันนี้
ในบทสรุปที่ง่ายที่สุด, งานที่ประสบความสำเร็จและได้ผลตอบแทนมากมาย ไม่ใช่เพียงแค่การทำตามความคาดหวังที่ได้รับจากลูกค้า แต่เป็นการทำงานเพื่อให้ได้สิ่งที่ดีที่สุดในทุกๆ งานที่คุณทำ ซึ่งในท้ายที่สุดจะเป็นผลต่อการเติบโตและการเปลี่ยนแปลงในอนาคตของคุณ
สรุปง่ายๆ ที่ทุกคนสามารถใช้ได้
- ทำงานด้วยศักยภาพที่แท้จริงของตัวเองในทุกๆ งาน ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่
- สร้าง "Wow Factor" ที่ทำให้ลูกค้าประทับใจและบอกต่อ
- เข้าใจตลาดและสิ่งที่ลูกค้าต้องการ แต่ยังคงรักษาเอกลักษณ์ของตัวเอง
- อย่าละทิ้งการพัฒนาทักษะด้านธุรกิจ เพราะมันช่วยให้คุณเติบโตในวงการนี้
- มองหาโอกาสในการสร้างสิ่งใหม่ๆ ที่ไม่เหมือนใคร แต่ยังสามารถตอบสนองตลาดได้
ทำตามขั้นตอนเหล่านี้แล้วคุณจะไม่แค่ทำงานเพื่อให้ได้เงิน แต่จะได้สร้างแบรนด์และชื่อเสียงของตัวเองในวงการที่จะนำพาคุณไปสู่ความสำเร็จที่ยั่งยืน!
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น