ความผิดพลาดซ้ำๆ กับการเปลี่ยนหน้าคนในชีวิต: ปัญหาเดิมในกล่องห่อใหม่

เราเคยสงสัยกันไหมว่า ทำไมความผิดพลาดในชีวิตเราถึงดูเหมือนจะวนเวียนกลับมาอีกครั้ง แค่เปลี่ยนชื่อคนในเรื่องเล่า เราเคยอยู่ในความสัมพันธ์ที่จบลงแบบเดิมๆ พังเหมือนเดิม แค่คู่กรณีเปลี่ยนหน้า แล้วเราก็คิดกับตัวเองว่า "เอ๊ะ หรือมันเป็นที่เรา?" ถ้าทุกคนรู้สึกว่าตรงจุดนี้มันเหมือนกับฉากหนึ่งในหนังเรื่อง Groundhog Day ที่พระเอกติดอยู่ในวันเดิมซ้ำๆ ทุกคนคิดถูกแล้วล่ะ แต่มันอาจไม่ได้เป็นแค่วันเดิม แต่อาจเป็น "เรา" ที่ไม่เปลี่ยนไปไหนต่างหาก
เราเคยอ่านหนังสือของฮารูกิ มูราคามิ เขามีอยู่ประโยคหนึ่งที่พูดถึงการเผชิญหน้ากับปัญหาเหมือนกับการเจอกับพายุในชีวิต เขาบอกว่า "เมื่อพายุสงบลง เราจะไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไป" แต่ถ้าเราเดินเข้าไปในพายุแบบเดิม ซ้ำแล้วซ้ำอีก คำถามคือเรากำลังเปลี่ยนแปลงจริงๆ หรือแค่เปลี่ยนชื่อคนที่พายุมันเกี่ยวข้อง?
บางทีเราอาจหลงลืมไปว่าชีวิตมันไม่ใช่เกมฟุตบอล ที่เปลี่ยนผู้เล่นแล้วผลจะเปลี่ยน ความสัมพันธ์ไม่เหมือนกีฬาที่มีโค้ชวางแผนให้ ทุกคนคือทั้งนักกีฬา โค้ช และผู้ชมในเกมเดียวกัน เราเคยดูหนังเรื่อง Moneyball ไหม? ในเรื่องมีประโยคหนึ่งที่บอกว่า "คุณไม่สามารถเปลี่ยนระบบได้ด้วยการเปลี่ยนผู้เล่น คุณต้องเปลี่ยนวิธีคิด" ซึ่งมันจริงมาก ถ้าเราเจอความผิดพลาดเดิมๆ ในความสัมพันธ์ เราคงต้องย้อนมองตัวเองแล้วถามว่า วิธีคิดเราผิดตรงไหน
ลองคิดถึงปรัชญาของโสกราตีส เขาบอกว่า "จงรู้จักตัวเอง" เราอาจคิดว่าเรารู้จักตัวเองดีแล้ว แต่จริงๆ เราแค่รู้จัก "ภาพตัวเอง" ที่เราสร้างขึ้นมา เราชอบบอกว่า "เราเป็นคนตรงๆ" แต่ลึกๆ เราอาจเป็นคนไม่กล้าพูดตรงๆ เพราะกลัวเสียหน้า เราชอบบอกว่า "เราใจกว้าง" แต่จริงๆ เราอาจเป็นคนที่ไม่เคยให้อภัยตัวเองเลย ถ้าทุกคนไม่เริ่มมองตัวเองแบบจริงจัง การเปลี่ยนแปลงก็จะเป็นแค่เรื่องในอุดมคติ
ศิลปินชื่อดังอย่างแวนโก๊ะเคยพูดถึงความเจ็บปวดในงานศิลปะของเขา เขาบอกว่า "ถ้าไม่มีความเจ็บปวดในชีวิต ฉันจะไม่สามารถสร้างสรรค์ผลงานได้" บางทีความผิดพลาดเดิมๆ ของเรามันอาจเป็นแรงบันดาลใจให้เราเข้าใจชีวิตลึกซึ้งขึ้นก็ได้ ถ้าเรากล้ารับมัน ถ้าเรายอมรับว่าความเจ็บปวดและความผิดพลาดคือส่วนหนึ่งของเรา เราก็อาจเริ่มเปลี่ยนแปลงได้จริงๆ
ท้ายที่สุด เราไม่ได้มาที่นี่เพื่อแก้ไขใคร ไม่ได้มาที่นี่เพื่อเปลี่ยนคนอื่น แต่เราอาจต้องแก้ไขมุมมองของเราเอง เราเคยคิดไหมว่าทำไมหนังเรื่อง Eternal Sunshine of the Spotless Mind ถึงเล่นกับความทรงจำซ้ำๆ เพราะบางครั้งคนเราก็เลือกที่จะลืม แต่ในที่สุดก็กลับมาพบกันอีกครั้ง ความทรงจำเก่าๆ มันไม่เคยไปไหนหรอก ทุกครั้งที่เรากลับมาเจอปัญหาเดิมๆ นั่นอาจเป็นโอกาสให้เราเรียนรู้จากมันอีกครั้ง เราอาจไม่ต้องลบใครออกจากชีวิต แค่ต้องเปลี่ยนบทเรียนให้กลายเป็นพลังใหม่ก็พอ

ความผิดพลาดซ้ำๆ กับการเปลี่ยนหน้าคนในชีวิต: ปัญหาเดิมในกล่องห่อใหม่
เราเคยสังเกตไหม ว่าทำไมชีวิตถึงชอบมีปัญหาเดิมๆ วนกลับมาหาเราอีกครั้ง มันเหมือนจักรวาลพยายามจะเล่นเกมซ่อนหากับเรา แค่เปลี่ยนตัวละคร เปลี่ยนฉากหลัง แต่บทที่เราเล่นกลับเหมือนเดิมทุกครั้ง มันคล้ายๆ กับดูหนังเรื่อง Edge of tomorrow ที่ตัวละครติดอยู่ในลูปเดิมวนซ้ำแล้วซ้ำเล่า ความต่างคือในชีวิตจริงเราไม่ได้มีใครมาตะโกนว่า "เฮ้ย! นี่คือบททดสอบโว๊ย!"
เราเคยคิดไหมว่าทำไมบางคนในชีวิตเราถึงเหมือน “บอสตัวสุดท้าย” ในเกมที่โผล่มาใหม่ทุกเลเวล? เพื่อนร่วมงานคนหนึ่งที่นิสัยเหมือนเจ้านายเก่าที่ทำให้เราเครียดจนลาออก แฟนใหม่ที่พูดจาเหมือนคนรักเก่าที่ทิ้งเราไปแบบไม่มีคำอธิบาย หรือแม้แต่เราเองที่เดินเข้าสู่สถานการณ์ที่เหมือนเดิมทุกครั้ง และกลับมาถามตัวเองว่า "นี่ฉันผิดพลาดตรงไหนอีกแล้ว?"
สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่แค่เรื่องบังเอิญ มันคือการแสดงออกของ pattern recognition หรือการที่สมองของเราจับคู่สิ่งที่เราคุ้นเคยกับสิ่งใหม่ๆ แล้วสร้างความคุ้นเคยขึ้นโดยไม่รู้ตัว เรามักจะดึงดูดคนหรือสถานการณ์ที่สะท้อนสิ่งที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขในตัวเราเอง เหมือนจิตรกรที่วาดภาพเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพราะไม่รู้ว่าสีอะไรที่ขาดหายไป
นักปรัชญา Friedrich Nietzsche พูดถึงแนวคิด "eternal recurrence" หรือ "การกลับมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด" ที่ว่าชีวิตคือการวนเวียนซ้ำซาก เราอาจไม่ได้ติดอยู่ในลูปจักรวาลแบบที่เขาว่า แต่ความผิดพลาดเดิมๆ ที่เราวนกลับมาเจอบ่อยๆ อาจเป็นเพราะเราไม่ได้เรียนรู้หรือเปลี่ยนแปลงตัวเองจากมันจริงๆ
ลองนึกถึงหนังเรื่อง The Matrix ที่ Neo ติดอยู่ในระบบที่เขาคิดว่าเป็นชีวิตจริง แต่ความจริงแล้วมันคือการควบคุมโดย AI ชีวิตเราเองก็เหมือนกัน บางทีเราอาจติดอยู่ในระบบความเชื่อหรือความกลัวที่เราไม่ได้ตั้งคำถาม และเราจำเป็นต้องเลือก “เม็ดยาสีแดง” เพื่อปลดล็อกตัวเองออกจากลูปนั้น
มีอีกสิ่งที่น่าสนใจ คือปรากฏการณ์ที่เรียกว่า confirmation bias สมองของเรามักจะหาหลักฐานมายืนยันสิ่งที่เราเชื่ออยู่แล้ว ถ้าเราคิดว่าความรักมันเต็มไปด้วยความเจ็บปวด เราจะเลือกคนที่สร้างความเจ็บปวดให้เราโดยไม่รู้ตัว ถ้าเราเชื่อว่าคนรอบตัวเราชอบหักหลัง เราจะมองหาพฤติกรรมเล็กๆ น้อยๆ ที่ยืนยันความเชื่อนั้น และเมื่อมันเกิดขึ้น เราก็จะบอกตัวเองว่า “เห็นไหม ฉันรู้อยู่แล้ว”
แล้วเราจะแก้ลูปนี้ได้ยังไง? คำตอบไม่ได้อยู่ที่การเปลี่ยนคนอื่น แต่คือการเปลี่ยนมุมมองและปฏิกิริยาของเราเอง มันเหมือนการดูหนังเรื่อง Inception ที่เราต้องดิ่งลึกเข้าไปในจิตใจของเราเอง ถามคำถามว่า “ฉันกลัวอะไร?” “ฉันต้องการอะไรจริงๆ?” และ “ฉันเรียนรู้อะไรจากสิ่งนี้ได้บ้าง?”
ในงานศิลปะของ Salvador Dalí เราเห็นนาฬิกาเหลวไหลละลายอยู่กลางภาพ สะท้อนถึงเวลาที่บิดเบี้ยวและการรับรู้ที่ไม่แน่นอน ชีวิตของเราก็เป็นแบบนั้น ความผิดพลาดที่ดูเหมือนวนซ้ำ บางครั้งมันไม่ได้ซ้ำจริงๆ แต่มันคือภาพสะท้อนที่เปลี่ยนรูปร่าง เราอาจไม่ได้อยู่ในลูป แต่กำลังปีนขึ้นไปในเกลียวบันไดที่เรายังมองไม่เห็นจุดสูงสุด
ท้ายที่สุดแล้ว ชีวิตไม่ได้ต้องการให้เราหนีจากความผิดพลาด แต่มันต้องการให้เราเติบโตผ่านมัน และในกระบวนการนั้น เราอาจพบว่า “ปัญหา” ไม่ได้เป็นศัตรูของเรา แต่มันคือครูที่พยายามจะบอกอะไรบางอย่าง
เราทุกคนล้วนติดอยู่ในลูปเล็กๆ ของตัวเอง แต่ถ้าเราสามารถเปลี่ยนวิธีมองโลก เปลี่ยนวิธีตอบสนอง เราก็อาจสร้างเรื่องราวใหม่ได้ ทุกคนลองคิดดูสิว่าลูปของตัวเองคืออะไร แล้วลอง “เล่นบทใหม่” ดูสักครั้ง

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม