เราเคยสงสัยกันไหมว่า ทำไมคนเราถึงชอบส่อง Facebook กันเวลาโดนบล็อก
เราเคยสงสัยกันไหมว่า ทำไมคนเราถึงชอบส่อง Facebook กันเวลาโดนบล็อก หรือแม้แต่ตอนที่เป็นฝ่ายบล็อกเขาเอง? เรื่องนี้มันทั้งน่าตลกและน่าคิด เพราะเอาเข้าจริงแล้ว เราก็ไม่ได้คาดหวังอะไรจากการส่องโปรไฟล์ใครสักคนที่เราตัดสินใจ “ปิดประตู” ใส่ หรือถูก “ตัดสัมพันธ์” ด้วยซ้ำ แต่ในขณะเดียวกัน เราก็อดไม่ได้ที่จะคลิกเข้าไปดูสักครั้ง เหมือนกับการรู้ว่ากล่องแพนโดร่าเต็มไปด้วยหายนะ แต่ก็ยังอยากเปิดดูเผื่อมีอะไรดีๆ อยู่ในนั้น
ความอยากรู้อยากเห็นแบบนี้มันไม่ใช่เรื่องใหม่ในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ ลองคิดถึงกรีกโบราณสิ ตอนที่โอเดสสิอุสต้องการฟังเสียงไซเรนแต่ก็รู้ว่ามันอันตรายขนาดไหน เขาก็ยังเลือกมัดตัวเองไว้กับเสากระโดงเรือเพื่อฟังเพลงนั้นอยู่ดี การส่องเฟซบุ๊กของคนที่บล็อกเราก็อาจเหมือนกัน เรารู้ว่าเราอาจไม่ได้ประโยชน์อะไร แต่เราก็ยังทำ เพราะลึกๆ แล้ว มันอาจเติมเต็มบางอย่างในใจเรา—ความอยากรู้ ความเจ็บปวด หรือแม้กระทั่งความหวังที่ไม่มีวันเป็นจริง
แต่การส่องเฟซบุ๊กมันไม่ใช่แค่เรื่องของการอยากรู้ เราคิดว่ามันเป็นเรื่องของ “อำนาจ” ด้วย ทุกคนรู้ไหมว่าในทางจิตวิทยา การรู้เรื่องของใครบางคนที่เขาไม่อยากให้เรารู้ มันทำให้เรารู้สึกเหมือนเรายังมี “ตัวตน” อยู่ในความสัมพันธ์นั้น ถึงแม้ว่าจะเป็นตัวตนที่ล่องลอยเหมือนวิญญาณในนิยายโกธิค แต่การได้เห็นชีวิตเขาดำเนินต่อไปโดยที่เราไม่มีส่วนร่วม มันคือการรับมือกับความจริงอย่างหนึ่ง—ความจริงที่เราอาจยังยอมรับไม่ได้
ในอีกมุมหนึ่ง การไม่ส่องเลยก็มีความหมายเหมือนกัน บางครั้งมันคือการปล่อยวาง การยอมรับว่าชีวิตคนเราก็เหมือนแม่น้ำไหล มันไม่ได้ไหลย้อนกลับไปหาอดีต เราอาจจะไม่อยากดู ไม่ใช่เพราะเราไม่สนใจ แต่เพราะเรารู้ว่าการดูมันจะเจ็บ หรืออาจทำให้เราเสียเวลาอยู่กับความคิดที่ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงอะไรได้ เหมือนกับที่แคร์รี แบรดชอว์ใน Sex and the City เคยพูดไว้ว่า “บางทีการเลิกสนใจใครบางคน มันคือทางเดียวที่จะเอาตัวเองกลับคืนมา”
พูดถึงแม่น้ำแล้ว มันทำให้เรานึกถึงภาพวาดของคลอดด์ โมเนต์ ที่ถ่ายทอดภาพน้ำและแสงเงาออกมาอย่างสวยงามในซีรีส์ “Water Lilies” แต่ละจุดที่เรามองภาพเหล่านั้น มันไม่มีจุดใดที่นิ่ง ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ การส่องเฟซบุ๊กของใครบางคนก็อาจเป็นการพยายามจับภาพโมเมนต์หนึ่งในแม่น้ำที่ไหลไปแล้ว—มันสวยงาม แต่มันก็ไม่มีวันเหมือนเดิม
แล้วการที่เรา “ไม่อยากรู้เลย” ล่ะ? มันเกิดขึ้นเมื่อไหร่? เราว่ามันเป็นเหมือนปรากฏการณ์ใน The Little Prince ที่เจ้าชายน้อยบอกว่า “สิ่งสำคัญมองไม่เห็นด้วยตา” บางทีเราเลือกที่จะไม่ดู เพราะเรารู้ว่าสิ่งที่สำคัญจริงๆ คือสิ่งที่เราจำได้อยู่แล้วในใจ—ความทรงจำดีๆ หรือบทเรียนที่เราได้จากความสัมพันธ์นั้น เราไม่ต้องการรูปภาพโพสต์ใหม่หรือคำบรรยายที่เจ็บปวดเพื่อย้ำเตือนอะไรอีก
สุดท้ายแล้ว ไม่ว่าทุกคนจะเลือกส่องหรือไม่ส่อง มันก็คือการเผชิญหน้ากับความรู้สึกของตัวเอง ความอยากรู้อยากเห็นเป็นธรรมชาติของมนุษย์ แต่การเลือกว่าจะตอบสนองมันหรือไม่ นั่นต่างหากคือสิ่งที่สะท้อนว่าเรากำลังอยู่จุดไหนในความสัมพันธ์และการเติบโตของตัวเราเอง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น