ความแตกต่างระหว่างพล็อต (Plot) และสตอรี่ (Story)

 



ความแตกต่างระหว่างพล็อต (Plot) และสตอรี่ (Story)

Plot

พล็อตคือการดำเนินเรื่องราวผ่านเหตุการณ์หรือการกระทำของตัวละครในเชิงกายภาพ เป็นการเล่าเรื่องที่เน้น "สิ่งที่เกิดขึ้น" หรือ "สิ่งที่ตัวละครทำ" ซึ่งมักจะปรากฏเด่นชัดในภาพยนตร์และสื่อที่ต้องการความกระชับและตื่นเต้น

ตัวอย่าง:

  • เจมส์ บอนด์: ตัวละครต้องเผชิญหน้ากับตัวร้ายในภารกิจที่เต็มไปด้วยฉากแอ็กชัน เช่น การต่อสู้ การขับรถไล่ล่า หรือการหลบหนีจากอันตราย ฉากเหล่านี้เป็นหัวใจของพล็อตที่ทำให้เรื่องดำเนินไป

สิ่งสำคัญของพล็อต
พล็อตที่ดีไม่ใช่แค่การรวมฉากตื่นเต้นไว้เฉยๆ แต่ต้องมีความหมายและผลักดันการเติบโตของตัวละคร เช่น ตัวละครที่ต้องเผชิญกับความยากลำบาก อาจนำไปสู่การตัดสินใจครั้งสำคัญที่เปลี่ยนแปลงชีวิตเขาในภายหลัง

ตัวอย่างเพิ่มเติม:

  • ใน The Lord of the Rings: การเดินทางของโฟรโดไปทำลายแหวนที่มอร์ดอร์คือพล็อตที่เน้นการกระทำชัดเจน

Story

สตอรี่เน้นเรื่อง "สิ่งที่ตัวละครรู้สึก" และ "ผลกระทบทางอารมณ์" ที่ตัวละครได้รับจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มันคือการเดินทางทางจิตใจที่แสดงถึงการเติบโตหรือเปลี่ยนแปลงของตัวละคร

ตัวอย่าง:

  • ใน Twilight: สตอรี่จะเน้นไปที่ความรู้สึกของเบลล่าเมื่อเธอตกหลุมรักกับเอ็ดเวิร์ด และผลกระทบทางอารมณ์ที่เกิดจากความสัมพันธ์ที่ซับซ้อน

สิ่งสำคัญของสตอรี่
สตอรี่ทำให้ผู้อ่านหรือผู้ชมเข้าใจตัวละครในระดับที่ลึกซึ้งขึ้น เป็นการถ่ายทอดความรู้สึกหรือบทเรียนที่ตัวละครได้รับจากพล็อตที่เกิดขึ้น

ตัวอย่างเพิ่มเติม:

  • ใน The Lion King: แม้ว่าพล็อตจะเน้นไปที่การเดินทางของซิมบ้าในการต่อสู้เพื่อทวงคืนบัลลังก์ สตอรี่กลับเน้นไปที่ความรู้สึกผิดของซิมบ้าที่ทำให้เขาหนีจากอดีต และการเติบโตของเขาเมื่อเขากล้ากลับมาเผชิญหน้ากับมัน

การผสมผสานระหว่างพล็อตและสตอรี่

การสร้างสมดุลระหว่างพล็อตและสตอรี่เป็นสิ่งสำคัญ เช่น

  • Harry Potter: ในทุกเล่มมีพล็อตที่น่าตื่นเต้น เช่น การต่อสู้กับตัวร้าย แต่ในขณะเดียวกันก็มีสตอรี่ที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างตัวละคร เช่น ความรักของแฮร์รี่ที่มีต่อพ่อแม่ หรือมิตรภาพที่แน่นแฟ้นกับรอนและเฮอร์ไมโอนี่

องค์ประกอบที่สำคัญของเรื่องราว (Dramatic Elements)

Passion

ความหลงใหลของผู้เขียนที่ผลักดันให้เขียนเรื่องราวนี้ขึ้นมา เป็นสิ่งที่ทำให้เรื่องราวมีเอกลักษณ์และสะท้อนตัวตนของผู้เขียน

ตัวอย่าง:

  • ผู้เขียนที่สนใจเรื่องจักรวาล อาจสร้างเรื่องราวที่เกี่ยวกับการเดินทางระหว่างดวงดาว
  • Passion ของ J.K. Rowling ใน Harry Potter อาจมาจากความหลงใหลในเรื่องเวทมนตร์และความผูกพันในมิตรภาพ

Theme

ธีมคือหัวใจของเรื่องที่สะท้อนสิ่งที่ผู้เขียนอยากให้ผู้อ่านได้รับ เช่น ความกล้าหาญ ความรัก หรือการเสียสละ

ตัวอย่าง:

  • Hunger Games (เล่มแรก): ธีมคือการเสียสละของแคทนิสที่ยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อปกป้องน้องสาว
  • Harry Potter: แต่ละเล่มมีธีมที่แตกต่างกัน เช่น เล่มแรกธีมคือ "การค้นหาความกล้าหาญในตัวเอง" ส่วนเล่มหลังๆ อาจเน้นไปที่การยอมรับความตาย

Flaw

ข้อเสียของตัวละครทำให้พวกเขาดูสมจริงและน่าสนใจ เพราะคนเรามีข้อบกพร่องที่ต้องเรียนรู้และเอาชนะ

ตัวอย่าง:

  • รันม่า ½: รันม่ากลัวแมว แต่ข้อเสียนี้ทำให้เขาต้องพัฒนาทักษะใหม่เพื่อเอาชนะมัน
  • โฟรโด ใน The Lord of the Rings มีความกลัวและลังเล แต่เขาเรียนรู้ที่จะเอาชนะมันเพื่อนำแหวนไปทำลาย

Premise

Premise คือประโยคที่รวมธีมและพล็อตเข้าด้วยกัน เพื่อให้เห็นภาพรวมของเรื่อง

ตัวอย่าง:

  • "จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเด็กชายธรรมดาที่อยู่ใต้บันไดบ้าน ถูกพาไปโรงเรียนเวทมนตร์และค้นพบว่าเขาคือกุญแจสำคัญในการต่อสู้กับเจ้าแห่งศาสตร์มืด?" (Harry Potter)
  • "จะเกิดอะไรขึ้นถ้าหญิงสาวผู้ขาดความมั่นใจในตัวเองต้องเผชิญหน้ากับศัตรูที่ต้องการชีวิตของเธอ เธอจะเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อเอาชีวิตรอดได้หรือไม่?" (Seraphim Torus)

ตัวอย่างเรื่องที่สร้างสมดุลระหว่างองค์ประกอบ

  1. Harry Potter:

    • Plot: การต่อสู้กับโวลเดอมอร์
    • Story: การเติบโตของแฮร์รี่จากเด็กชายกำพร้าสู่ฮีโร่ผู้เสียสละ
  2. The Hunger Games:

    • Plot: การแข่งขันที่ต้องเอาชีวิตรอด
    • Story: การเสียสละและความรักของแคทนิสที่มีต่อน้องสาว
  3. Avatar (2009):

    • Plot: การต่อสู้ระหว่างเผ่าพันธุ์มนุษย์และชาวนาวี
    • Story: การเติบโตของเจค ซัลลี่ จากคนที่ไม่สนใจโลกสู่คนที่ปกป้องสิ่งที่เขารัก

ทั้งพล็อตและสตอรี่คือสองสิ่งที่ทำงานร่วมกันอย่างลงตัว หากพล็อตเป็นโครงกระดูก สตอรี่ก็คือหัวใจที่หล่อเลี้ยงเรื่องราวให้มีชีวิต

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม