เราเคยสงสัยกันไหมว่า ทำไมมิตรภาพที่ดูเหมือนแน่นแฟ้นมากๆ ถึงถูกตัดขาดได้ง่ายดายขนาดนี้

เราเคยสงสัยกันไหมว่า ทำไมมิตรภาพที่ดูเหมือนแน่นแฟ้นมากๆ ถึงถูกตัดขาดได้ง่ายดายขนาดนี้ ทั้งๆ ที่เคยผ่านช่วงเวลาดีๆ มาด้วยกัน หรือบางทีก็เคยช่วยเหลือกันในวันที่แย่สุดๆ ของชีวิต? มันคงเป็นหนึ่งในคำถามที่เราทุกคนต้องเคยเจอ แต่ไม่มีใครอยากยอมรับว่า มิตรภาพก็เหมือนอายุการใช้งานของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ มีวันหมดอายุ หรือบางทีอาจพังเพราะแรงกระแทกอย่างไม่คาดคิด


เรื่องนี้ทำให้นึกถึง Before Sunset หนังที่เป็นเหมือนบทกวีของบทสนทนา มันไม่ได้พูดเรื่องมิตรภาพตรงๆ แต่พูดถึงความสัมพันธ์ที่หลุดลอยไป เพราะเราไม่เคยรู้เลยว่าเวลามันมีค่าขนาดไหน จนกระทั่งมันผ่านไปแบบไม่สามารถย้อนกลับได้ คนบางคนเดินเข้ามาในชีวิต ทำให้รู้สึกเหมือนได้เติมเต็ม แล้ววันหนึ่งก็เดินจากไปง่ายๆ แบบไม่มีบทสรุป ไม่มีคำอธิบายเหมือนตอนจบของหนังเรื่องนี้ ทุกคนเคยเป็นเซลีนหรือเจสซี่ในชีวิตจริงกันมาหมดแล้ว

มิตรภาพบางครั้งก็คือสนามบาสเกตบอลที่คนสองคนเคยเล่นด้วยกันทุกวัน แต่วันหนึ่งอีกคนไม่กลับมาซ้อมเหมือนเดิม เราเคยอ่านบทสัมภาษณ์ของ Kobe Bryant เขาพูดถึง Shaquille O'Neal ตอนที่เลิกคบกันว่า "เขาเคยเป็นเพื่อนสนิทที่สุด แต่ตอนนี้ก็แค่คนรู้จัก" เจ็บไหมล่ะ? แต่ความจริงก็คือบางทีชีวิตก็เป็นแบบนั้น ต่อให้เคยคว้าแชมป์ด้วยกัน สร้างตำนานในสนามด้วยกัน แต่เมื่ออีโก้เข้ามาเกี่ยวข้อง ความสัมพันธ์ก็กลายเป็นแค่ความทรงจำที่เจ็บปวดแทน

แล้วสาเหตุที่แท้จริงของการเลิกราของมิตรภาพคืออะไร? บางทีมันคือความคาดหวังที่ไม่ตรงกัน คำว่า expectation นี่แหละปีศาจชัดๆ เราคาดหวังว่าเพื่อนจะต้องเข้าใจเราแบบที่เราเข้าใจตัวเอง แต่ลืมไปว่ามนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ซับซ้อนพอๆ กับบทของ Inception ที่ดูจบสามรอบก็ยังงงอยู่ดี เราคิดว่าความรู้สึกของเราชัดเจน แต่เพื่อนอาจมองว่าเราแค่เงียบไปเฉยๆ มันคือการสื่อสารที่ผิดพลาด แต่ก็มีอีกปัจจัยหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน—เวลา

เวลาเปลี่ยนคนได้จริงๆ เราชอบคำพูดในหนังสือ The Little Prince ที่ว่า "You are responsible forever for what you have tamed." ใช่ เรารับผิดชอบต่อความสัมพันธ์ที่เราสร้างขึ้น แต่ไม่ได้หมายความว่าเราต้องแบกรับมันตลอดไป มันมีช่วงเวลาหนึ่งที่คนเคยใกล้ชิดกลายเป็นแค่คนแปลกหน้า เพราะแต่ละคนเติบโตไปในเส้นทางที่ต่างกัน เช่นเดียวกับภาพวาด The Persistence of Memory ของ Salvador Dalí ที่นาฬิกาหลอมละลายจนเหมือนจะบอกเป็นนัยว่า เวลานั้นไม่ได้หยุดรอใคร และบางครั้งความทรงจำดีๆ ก็จางหายไปตามกาลเวลา

แล้วทางออกล่ะ? จะทำยังไงกับมิตรภาพที่ดูเหมือนจะจบลง? เราคิดว่าบางทีเราไม่จำเป็นต้องพยายามซ่อมแซมทุกความสัมพันธ์หรอก เพราะบางอย่างมันสวยงามในรูปแบบที่มันเคยเป็น เช่นเดียวกับดอกซากุระที่บานเต็มที่แล้วร่วงหล่นอย่างสมบูรณ์แบบ แต่ถ้ามันยังมีความหวัง ถ้ายังรู้สึกว่ามันมีคุณค่าพอ การพูดคุยกันอย่างตรงไปตรงมา คือทางออกเดียวจริงๆ อย่างน้อยที่สุดมันก็ดีกว่าการเก็บความค้างคาใจไว้จนกลายเป็นความทรงจำแย่ๆ ที่เราต้องพกติดตัวไปตลอดชีวิต

ท้ายที่สุดแล้ว มิตรภาพที่จบลงไม่ได้แปลว่ามันล้มเหลวเสมอไป บางทีมันก็แค่จบลง เพราะมันทำหน้าที่ของมันสำเร็จแล้ว—มันทำให้เราได้เรียนรู้ ได้เติบโต และได้เข้าใจตัวเองมากขึ้น เช่นเดียวกับตอนที่เราดู La La Land แล้วเข้าใจว่าความสัมพันธ์บางอย่างไม่ได้จบอย่างมีความสุขเสมอไป แต่มันก็ไม่ได้ไร้ค่า เพราะมันเคยมีความหมายมากพอในช่วงเวลาหนึ่งของชีวิต

บางที สิ่งที่เราทำได้ดีที่สุด คือขอบคุณความสัมพันธ์เหล่านั้น แล้วเดินหน้าต่อไปอย่างสง่างาม แบบที่ Shakespeare เคยพูดไว้ว่า "Parting is such sweet sorrow." ความเศร้าที่หวานชื่น—มันอาจเป็นคำจำกัดความที่ดีที่สุดของมิตรภาพที่จบลงแล้วก็ได้นะ

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม