เราเคยสงสัยกันไหมว่า ทำไมบางครั้งเราถึงปล่อยให้ตัวเองตกอยู่ในสถานการณ์ที่เหมือนตัวประกอบในชีวิตใครบางคน?

เราเคยสงสัยกันไหมว่า ทำไมบางครั้งเราถึงปล่อยให้ตัวเองตกอยู่ในสถานการณ์ที่เหมือนตัวประกอบในชีวิตใครบางคน? เหมือนเราคอยเติมเต็มความต้องการของคนอื่น จนบางทีลืมไปว่าตัวเองก็มีชีวิต มีเวลา มีความรู้สึกเหมือนกัน เคยเป็นไหมที่รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นตัวสำรอง คนคุยแก้เหงา หรือแม้แต่เป็นเครื่องมือให้ใครบางคนประสบความสำเร็จ หรือทำอะไรสำเร็จแล้วเขาก็เดินจากไปแบบหนังจบไม่มีเครดิตขึ้นชื่อเราเลย


ถ้าพูดแบบง่ายๆ คนที่ "หลอกใช้" มักไม่ได้มาในรูปแบบตัวโกงในหนังดิสนีย์ พวกเขาไม่ใส่ชุดดำถือไม้เท้าแบบมาเลฟิเซนต์ แต่จะดูอบอุ่น น่ารัก น่าเชื่อถือ มีเสน่ห์ บางครั้งก็เหมือนบทพระเอกหรือนางเอกในหนังรักแบบ 500 Days of Summer ที่ตอนแรกเหมือนใช่ แต่สุดท้ายเราแค่คิดไปเอง

แล้วจะสังเกตยังไง? สังเกตได้จากอะไรบ้าง? คนที่หลอกใช้มักจะ:

1. เข้าหาเราตอนเขามีปัญหา – โผล่มาเฉพาะตอนชีวิตเขายุ่งเหยิง แต่ตอนที่เรามีปัญหากลับเหมือนหายไปในอวกาศแบบ Interstellar ทิ้งเราลอยคว้างในหลุมดำแห่งความเศร้า


2. คำพูดสวยหรูแต่ไร้การกระทำ – บางคนพูดว่า "เราอยู่ข้างเธอเสมอ" แต่หายเงียบตอนเราทักไปตอนตีสอง หรือตอนต้องการกำลังใจจริงๆ


3. ขอให้เราทำอะไรให้บ่อยๆ แต่ไม่เคยให้อะไรคืน – เป็นเหมือน "ATM ทางอารมณ์" เราโอนความรู้สึกดีๆ ให้เขาตลอด แต่ไม่เคยกดถอนความใส่ใจกลับมาได้เลย


4. ทำให้เรารู้สึกผิดเวลาปฏิเสธ – เคยเจอไหม พอเราบอกว่า "วันนี้ไม่ว่างช่วย" แล้วเขาทำหน้าเหมือนเราพังชีวิตเขาทั้งโลก ทั้งๆ ที่มันคือการดูแลตัวเองขั้นพื้นฐาน



แล้วจะทำยังไงให้ไม่ตกเป็นเหยื่อ?

1. ตั้ง Boundaries ให้ชัดเจน – ขอบเขตสำคัญมาก ทุกคนมีสิทธิ์บอกว่า "ไม่" โดยไม่ต้องรู้สึกผิด เช่น ถ้าใครมาขอให้ช่วยงานดึกๆ หรือมาระบายเรื่องเดิมซ้ำๆ จนเราเหนื่อย ก็บอกไปเลยว่า "วันนี้ไม่ไหว ขอเวลาพักบ้าง" การดูแลตัวเองไม่ใช่ความเห็นแก่ตัว


2. ฟังการกระทำมากกว่าคำพูด – ถ้าใครบอกว่ารักเรามาก แต่ไม่เคยอยู่ข้างเราเวลาแย่ๆ ลองทบทวนว่ามันใช่ความสัมพันธ์ที่แฟร์ไหม


3. ทดสอบด้วยการ "ไม่พร้อมให้" บ้าง – ลองบอกว่าเรายุ่ง หรือไม่สะดวกช่วย แล้วดูปฏิกิริยาของเขา ถ้าเขาเริ่มโวยวาย หรือตัดความสัมพันธ์ แปลว่าที่ผ่านมาเขาอาจต้องการแค่ผลประโยชน์


4. เชื่อในคุณค่าและศักดิ์ศรีของตัวเอง – จำไว้ว่าทุกคนมีคุณค่าในตัวเอง เราไม่ใช่เครื่องมือ หรือบทเสริมในหนังใคร เราคือตัวเอกของชีวิตตัวเอง



จำฉากใน The Devil Wears Prada ได้ไหม? ที่แอนดี้ (Anne Hathaway) เคยปล่อยให้ตัวเองกลายเป็น "เครื่องมือ" ในการสร้างความสำเร็จของเจ้านายเธอ จนสุดท้าย เธอกล้าลุกขึ้นยืนหยัดเพื่อชีวิตตัวเอง และปล่อยวางสิ่งที่มันไม่ใช่ตัวเธอ

เพราะในชีวิตจริง เราไม่จำเป็นต้องยอมให้ใครใช้ชีวิตเราเพื่อเติมเต็มความว่างเปล่าของเขาเอง ทุกคนมีสิทธิ์เลือกความสัมพันธ์ที่แฟร์และสมดุล เพราะสุดท้ายแล้ว ชีวิตของทุกคนคือเรื่องราวที่เราควรได้กำกับเอง ไม่ใช่บทที่ใครเขียนมาเพื่อให้เราทำตาม

คิดดูสิ ถ้าชีวิตเป็นเหมือนการเล่นบาสเกตบอล เราก็ควรเป็นผู้เล่นที่มีสิทธิ์ชู้ตลูกเอง ไม่ใช่แค่คนส่งลูกให้คนอื่นทำแต้มเสมอไป

เรื่องนี้มันน่าสนใจนะ เพราะถ้าลองคิดดีๆ คนที่มา "หลอกใช้" เรา มักไม่ใช่คนแปลกหน้าที่เดินมาจากไหนก็ไม่รู้ แต่กลับเป็นคนที่เรารู้จัก บางทีเรายังคิดว่าพวกเขาเป็นเพื่อน เป็นคนสนิทด้วยซ้ำ นี่แหละคือความซับซ้อนของมนุษย์ แต่ก่อนจะด่วนสรุปว่าใครคือคนไม่ดี ลองมองให้ลึกขึ้นอีกนิด

พฤติกรรมแบบนี้บางทีมันซับซ้อนพอๆกับหนัง Parasite ของบงจุนโฮ ที่เล่าเรื่องของสองครอบครัวที่เหมือนจะพึ่งพากัน แต่จริงๆแล้วมีการแฝงผลประโยชน์ที่ซับซ้อนอยู่ เหมือนกับชีวิตจริงที่บางคนอาจจะไม่ได้ตั้งใจหลอกใช้เราตั้งแต่แรก แต่โครงสร้างความสัมพันธ์มันบิดเบี้ยวจนความหวังดีแปรเปลี่ยนเป็นการเอาเปรียบ

ทีนี้เราจะสังเกตได้ยังไงว่าคนไหนเข้ามาเพื่อใช้ประโยชน์จากเรา?

1. เวลามาหาเราต้องการบางอย่างเสมอ
เคยไหม มีเพื่อนบางคนที่โผล่มาเฉพาะเวลาต้องการอะไรบางอย่าง เช่น ให้ช่วยงาน ให้ช่วยแก้ปัญหา แต่พอถึงเวลาที่เรามีปัญหากลับหายเข้ากลีบเมฆ


2. ฟังดูเหมือนเห็นใจ แต่ไม่เคยช่วยจริงๆ
มีคนที่ดูเหมือนเข้าใจความรู้สึกเรามากเลยนะ พูดปลอบใจเก่ง แต่สุดท้ายก็ไม่มีการช่วยเหลือที่จับต้องได้จริงเลย เหมือนดูหนัง Feel Good ที่ดูจบแล้วอารมณ์ดีแต่ชีวิตจริงไม่ได้เปลี่ยน


3. ชอบโยนความผิดให้คนอื่น
เวลาอะไรผิดพลาดขึ้นมา คนเหล่านี้มักไม่เคยรับผิดชอบเอง มักจะหาทางเบี่ยงเบนความผิดมาทางคนอื่นเสมอ



พูดถึงตรงนี้ เราคงเคยสงสัยอีกใช่ไหมว่า แล้วทำไมเราถึงยอมให้คนแบบนี้เข้ามาในชีวิตตั้งแต่แรก? มันเป็นเรื่องของ ความคาดหวัง กับ ความกลัวการถูกปฏิเสธ ลึกๆแล้วเราทุกคนอยากเป็นที่ยอมรับ อยากรู้สึกว่าตัวเองมีค่า และบางครั้งความรู้สึกนี้ทำให้เรายอมลดมาตรฐานของตัวเองเพื่อรักษาความสัมพันธ์ไว้

แต่ประเด็นคือ ถ้าความสัมพันธ์นั้นทำให้เรารู้สึกแย่และถูกเอาเปรียบ มันยังเรียกว่าความสัมพันธ์อยู่จริงๆเหรอ?

แล้วทางออกคืออะไร?

เราอยากแชร์แนวคิดจากหนังสือ The Gift of Fear ของ Gavin de Becker ที่พูดถึงการเชื่อสัญชาตญาณของตัวเอง ถ้าเรารู้สึกว่ามีอะไรแปลกๆกับใครสักคน ความรู้สึกนั้นมักจะถูกต้อง นี่ไม่ใช่ความคิดลบหลู่คน แต่มันคือการปกป้องตัวเองอย่างมีสติ

สิ่งที่เราทำได้คือ:

สังเกตพฤติกรรม ไม่ใช่แค่คำพูด
อย่าดูแค่สิ่งที่เขาพูด แต่ให้ดูว่าสิ่งที่เขาทำสอดคล้องกับคำพูดไหม คนที่จริงใจคือคนที่อยู่ข้างเราในวันที่เราลำบาก ไม่ใช่แค่วันที่เราสบาย

ตั้งขอบเขตให้ตัวเอง
เราไม่จำเป็นต้องเป็น "คนดี" จนตัวเองต้องทุกข์ใจ การบอกปฏิเสธหรือถอยห่างจากคนที่ไม่ให้เกียรติเรา มันไม่ได้แปลว่าเราเป็นคนเห็นแก่ตัว

ให้ความสำคัญกับคนที่อยู่ข้างเราเสมอ
คนที่รักเราจริงไม่ใช่คนที่พูดหวานๆ แต่คือคนที่อยู่เคียงข้างตอนที่เราล้ม อย่างในหนัง Good Will Hunting ที่ตัวละครครูสอน Will เรื่องการเปิดใจและการเชื่อมั่นในความสัมพันธ์ที่แท้จริง


สรุปแล้ว เราไม่จำเป็นต้องเสียใจหรือโกรธคนที่เคยหลอกใช้เรา เพราะมันสอนบทเรียนบางอย่าง นั่นคือการรู้จักแยกแยะความสัมพันธ์ที่มีคุณค่าออกจากความสัมพันธ์ที่ทำร้ายเรา

และถ้าวันไหนเรารู้สึกว่าทั้งโลกหันหลังให้เรา ลองมองดูคนที่อยู่ตรงนั้นเสมอ... ครอบครัว คนที่เรารัก หรือแม้แต่ตัวเราเองที่ยังไม่เคยทิ้งตัวเองเลย

สุดท้ายแล้ว เราไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็นเครื่องมือของใคร แต่เกิดมาเพื่อสร้างความหมายให้กับชีวิตตัวเอง




ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม