เราเคยสงสัยกันไหมว่า ทำไมบางครั้งความเงียบมันถึงส่งเสียงดังที่สุดในชีวิต?

เราเคยสงสัยกันไหมว่า ทำไมบางครั้งความเงียบมันถึงส่งเสียงดังที่สุดในชีวิต? มันเหมือนกับการดูหนังอินดี้ที่เต็มไปด้วยฉากเงียบๆ แต่อารมณ์ที่ถ่ายทอดกลับดังจนกลบทุกอย่างรอบตัว เช่นเดียวกับในภาพยนตร์เรื่อง Lost in Translation ที่ฉากเงียบของตัวละครหลักสองคนในโตเกียว กลับเต็มไปด้วยบทสนทนาที่เราไม่มีทางได้ยิน แต่เรารู้สึกได้ว่าเขากำลังพูดอะไรกับกันและกันในใจ



ชีวิตของเราก็ไม่ต่างจากหนังเรื่องนั้นหรอก ทุกคนอาจจะเคยมีช่วงเวลาที่แค่การมองตากับใครบางคนมันมีพลังมากกว่าคำพูดนับพันคำ เราไม่ต้องพยายามอธิบาย ไม่ต้องถกเถียงว่าความรู้สึกที่มีอยู่มันจริงหรือเปล่า เพราะแค่การอยู่ด้วยกันในช่วงเวลานั้นมัน "ใช่" แล้ว และบางครั้งสิ่งที่เราอยากได้ยินก็ไม่ใช่คำพูดหรูหรา หรือปรัชญาชีวิตที่ซับซ้อน แต่เป็น "ฉันอยู่ตรงนี้นะ" ที่ไม่ต้องพูดออกมา

พูดถึงปรัชญาชีวิต มีคำพูดหนึ่งของนักปรัชญาชาวเดนมาร์ก Søren Kierkegaard ที่ว่า "Life can only be understood backwards; but it must be lived forwards." เรามักจะเข้าใจชีวิตในมุมมองที่ย้อนกลับไปมองอดีต แต่ในความเป็นจริง เราต้องใช้ชีวิตไปข้างหน้า นั่นอาจเป็นเหตุผลว่าทำไมเรามักคิดถึงสิ่งที่ "น่าจะ" พูดหรือทำในอดีตเสมอ แต่กลับลืมว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเรามันยังมีโอกาสให้เริ่มใหม่ได้เสมอ

นึกถึงกีฬาไหม? การเล่นบาสเกตบอลก็เป็นตัวอย่างที่ดี ถ้าเรากำลังถือบอลแล้วมองแต่ด้านหลัง เราจะเลี้ยงบอลได้ยังไง? เราต้องมองไปข้างหน้า คิดถึงเกมต่อไป คิดถึงทีมที่ต้องร่วมมือกัน ไม่ใช่แต้มที่พลาดไป แต่ก็นั่นแหละ ทุกการพลาดก็เป็นครูที่สอนให้เราเลี้ยงบอลครั้งต่อไปให้ดีขึ้น

เหมือนกับงานศิลปะของ Vincent van Gogh เขาเคยพูดว่า "What would life be if we had no courage to attempt anything?" ชีวิตที่ไร้ความกล้าที่จะลองทำอะไรเลยคงไม่มีสีสันเหมือนภาพวาดทุ่งข้าวสาลีของเขา การลงแปรงในแต่ละเส้น สีในแต่ละโทน มันเป็นการเสี่ยง แต่มันก็เป็นการเสี่ยงที่ทำให้เกิดความงดงามที่เรายังพูดถึงมาจนทุกวันนี้

ทุกคนเคยคิดบ้างไหมว่า ถ้าชีวิตคือภาพวาดหนึ่งผืน เราจะเลือกสีอะไรลงไป? บางครั้งสีเทาก็ไม่ใช่เรื่องแย่ เพราะมันทำให้สีอื่นๆ เด่นขึ้นมา เช่นเดียวกับการเดินทางในชีวิตที่ไม่ได้มีแต่ความสุขหรือความสำเร็จ บางทีความล้มเหลวก็เป็นสีเทาที่ทำให้เรามองเห็นสีสันของชีวิตชัดขึ้น

และถ้าชีวิตคือหนังสือสักเล่ม ทุกครั้งที่พลิกหน้ากระดาษใหม่ มันคือโอกาสที่เราจะเขียนเรื่องราวใหม่ลงไป เราไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขหน้าเก่าได้ แต่เราสามารถเลือกได้ว่าเราจะเขียนอะไรในหน้าถัดไป

ในท้ายที่สุด เราว่า การเดินทางของชีวิตไม่ได้เกี่ยวกับจุดหมายปลายทางเลย มันเกี่ยวกับคนที่เราได้พบ สิ่งที่เราได้เรียนรู้ และความทรงจำที่เราสร้างขึ้นตลอดทาง เหมือนที่ J.R.R. Tolkien เคยเขียนไว้ว่า "Not all those who wander are lost." คนที่เดินทางไปเรื่อยๆ อาจไม่ได้หลงทาง แต่พวกเขาแค่กำลังตามหาสิ่งที่ยังขาดหาย หรือบางทีสิ่งนั้นอาจเป็นตัวเราเองที่ยังไม่เคยเจอกับตัวเองในมุมใหม่

สุดท้ายแล้ว เราอยากบอกทุกคนว่า ชีวิตมันไม่ต้องสมบูรณ์แบบ เพราะบางครั้งความไม่สมบูรณ์แบบนี่แหละที่ทำให้ชีวิตมันน่าสนุก และอย่าลืมว่า บางทีการเดินทางที่ดีไม่ได้เกี่ยวกับการไปถึงที่หมายเร็วที่สุด แต่มันอยู่ที่ว่าเราได้เห็นอะไรและรู้สึกอย่างไรระหว่างทาง

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม