เราเคยสงสัยกันไหมว่า ทำไมบางครั้งการรักใครสักคนในแบบที่ไม่สามารถครอบครองได้ มันกลับทำให้เรารู้สึกเจ็บปวดและเป็นเรื่องยากที่จะปล่อยมือไปจากมัน
เราเคยสงสัยกันไหมว่า ทำไมบางครั้งการรักใครสักคนในแบบที่ไม่สามารถครอบครองได้ มันกลับทำให้เรารู้สึกเจ็บปวดและเป็นเรื่องยากที่จะปล่อยมือไปจากมัน ทั้งที่บางครั้งเราก็รู้ลึกๆ ว่าไม่มีวันเป็นไปได้เลยที่เราจะเป็นเจ้าของความรักนั้นได้จริงๆ ไม่ว่าจะเป็นรักที่เรียกว่า “platonic love” หรือความรักในแบบที่เราไม่สามารถสัมผัสหรือครอบครองได้ แต่ยังคงรู้สึกถึงมันได้เสมอ มันเหมือนกับการดูดอกไม้ที่เบ่งบานในสวนสาธารณะทุกวัน รู้ว่าเราไม่สามารถเก็บมันมาประดับในบ้านได้ แต่เราก็ยังชื่นชมมันทุกครั้งที่เดินผ่านไป
บางคนอาจจะบอกว่า “ทำไมไม่ลองข้ามไปหาความรักที่สามารถสัมผัสได้จริงๆ ล่ะ?” แต่คำถามนี้กลับทำให้เราเผชิญหน้ากับข้อสงสัยที่ใหญ่กว่า ว่าแท้จริงแล้วการรักกันแบบที่ไม่ต้องครอบครองมันไม่ได้เป็นความสวยงามที่สุดแล้วเหรอ? มันอาจจะเป็นความรักที่บริสุทธิ์ที่สุด ความรักที่ไม่ต้องการอะไรจากกันและกันนอกจากการได้เห็นอีกคนเติบโตขึ้นไปในทิศทางที่เขาต้องการ อย่าพูดถึงหนังที่สร้างภาพความรักระหว่างตัวละครพระเอกนางเอกแบบเป็นเจ้าข้าวเจ้าของกันเลยนะ เพราะถ้าเราใส่ใจสักนิดเราจะพบว่า ความรักแบบ “platonic” นี่แหละที่อาจจะทำให้เราเติบโตจริงๆ
ยกตัวอย่างง่ายๆ อย่างในภาพยนตร์เรื่อง Eternal Sunshine of the Spotless Mind ที่บอกเล่าถึงความรักที่หาทางออกไม่ได้และเต็มไปด้วยการเจ็บปวดกับการที่จะปล่อยวาง ใครๆ อาจจะมองว่าความรักในภาพยนตร์เรื่องนี้มันดูเศร้าและผิดหวังไปหน่อย แต่เอาเข้าจริงแล้วมันสะท้อนให้เห็นถึงความจริงที่ว่า บางทีเราแค่ต้องยอมรับว่า การรักใครสักคนไม่จำเป็นต้องมีจุดจบที่แฮปปี้เอ็นดิ้งเสมอไป และจริงๆ แล้วการรักใครสักคนแบบที่ไม่มีการครอบครอง อาจจะเป็นการรักที่สวยงามและจริงใจที่สุดแล้ว
แล้วก็อย่าลืมหนังเรื่อง 500 Days of Summer ที่สร้างแรงบันดาลใจให้เราตระหนักว่า บางทีความรักที่ดูเหมือนจะสมบูรณ์แบบมันก็แค่ความคิดในหัวของเราเอง คนสองคนอาจจะรักกันในวิธีที่แตกต่างออกไป แต่บางทีความรักแบบที่ไม่ต้องครอบครองก็สามารถสอนให้เราเห็นคุณค่าในตัวเองและคนอื่นมากยิ่งขึ้น อย่างในหนังที่ตัวละครหลักต้องเรียนรู้และยอมรับว่า บางครั้งความรักไม่จำเป็นต้องมีผลลัพธ์ที่เป็นสิ่งที่คาดหวัง
ที่พูดมานี้ไม่ใช่ว่าเราจะหลีกเลี่ยงความสัมพันธ์ที่จริงจังนะ แต่อยากให้มองว่าในบางครั้ง ความรักแบบ platonic ที่ไม่ต้องมีการจับจองหรือควบคุมมัน อาจจะเป็นการเรียนรู้ที่จะรักตัวเองและคนอื่นได้ลึกซึ้งที่สุด ความรักแบบนี้มันไม่ได้ลดค่าหรือความสำคัญของมันลงเลย แค่เราไม่ต้องไปคาดหวังว่าจะต้องได้เป็นเจ้าของหรือได้รับสิ่งตอบแทนจากมันก็พอ
ในทางปรัชญาแล้ว อาจารย์ของเราอย่าง Jean-Paul Sartre เคยพูดถึงความสำคัญของ “การเป็นอิสระ” ในการรักกัน ความรักที่แท้จริงไม่ได้เกิดจากการครอบครอง แต่เกิดจากการยอมรับและเคารพในเสรีภาพของกันและกัน แม้กระทั่งในสิ่งที่เรามองว่าเป็นการยอมแพ้ แต่จริงๆ แล้วมันคือการเปิดโอกาสให้ความรักนั้นเกิดขึ้นอย่างบริสุทธิ์และจริงใจที่สุด
นอกจากนั้น ถ้าเราพูดถึงงานศิลปะที่อาจจะสะท้อนแนวคิดนี้ได้ The Starry Night ของ Vincent van Gogh ก็อาจจะเป็นตัวอย่างที่ดี เพราะมันแสดงให้เห็นถึงความสวยงามของการมองเห็นสิ่งต่างๆ จากมุมมองที่เป็นส่วนตัว ความรักในแบบที่เราไม่สามารถจับต้องได้เหมือนดวงดาวบนฟ้า แต่มันกลับมีความงามในตัวของมันเอง เราก็แค่ยืนอยู่ที่จุดหนึ่งและชื่นชมมันอย่างเงียบๆ และในบางครั้งนั่นแหละคือความสุขที่สุด
ความรักแบบนี้มันอาจจะเป็นสิ่งที่หลายคนอาจจะไม่เข้าใจในตอนแรก เพราะเราเชื่อมั่นกันว่า ถ้าเราไม่ครอบครองบางสิ่งมันก็ไม่มีค่าอะไร แต่เราลืมไปว่า ความรักที่ไม่ต้องการอะไรตอบแทน มันสามารถทำให้เราเติบโตเป็นคนที่มีคุณค่าได้โดยไม่ต้องพึ่งพาอะไรภายนอกเลย ในที่สุดเราก็จะเห็นว่า สิ่งที่สวยงามที่สุดมักจะเป็นสิ่งที่เรามองไม่เห็นหรือต้องปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติ มันไม่จำเป็นต้องเป็นของเราเสมอไป
ชีวิตเราอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาและบางครั้งเราจะไม่สามารถหยุดเวลาได้ แต่การได้รักใครสักคนในแบบที่ไม่ต้องการครอบครอง มันอาจจะเป็นความรักที่แท้จริงที่สุดแล้ว
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น