เราเคยสงสัยกันไหมว่า ทำไมแผงลอยถึงดูมีชีวิตชีวากว่าห้างสรรพสินค้า

เราเคยสงสัยกันไหมว่า ทำไมแผงลอยถึงดูมีชีวิตชีวากว่าห้างสรรพสินค้า


ลองนึกภาพตาม ทุกคนเดินไปแถวตลาดนัด สายตาเรากวาดผ่านรถเข็นไก่ทอดที่คนขายยืนพลิกไก่ไปพลิกไก่มาอย่างตั้งใจ กลิ่นน้ำมันกับไก่กรอบๆ โชยมาแตะจมูกขณะที่เสียงคุยเจื้อยแจ้วของแม่ค้าเต้าหู้ทอดฝั่งตรงข้ามแว่วแทรกมาแบบไม่ต้องใช้ไมค์โครโฟน ตอนนั้นแหละ เรารู้สึกถึง "ชีวิต"





ในฐานะคนเคยสอนวิชาภูมิสถาปัตย์อยู่พักนึง เรามองแผงลอยแบบที่ศิลปินคนหนึ่งมองภาพเขียน ตลาดคือการจัดวางองค์ประกอบของชีวิตแบบไร้โครงสร้างแต่สมดุล เป็น chaos ที่สวยงามอย่างไม่น่าเชื่อ บางคนอาจมองว่ามันคือความระเกะระกะ แต่ถ้าลองตั้งใจมองดีๆ แต่ละร้านวางตัวเองตามหลักการเดียวกับคอมโพสิชั่นงานศิลปะเลย—ความไม่สมบูรณ์แบบที่ลงตัว คนขายผลไม้หั่นข้างๆ รถเข็นลูกชิ้นปิ้ง ทั้งสีสันของผลไม้ ความร้อนของเตาย่าง เสียงไฟสปาร์ก คือองค์ประกอบที่ทำให้พื้นที่นี้มี "จิตวิญญาณ"

แต่สิ่งที่ทำให้เราชอบแผงลอยมากที่สุดคือ มันไม่ได้แค่เป็น "ที่ขายของ" แต่มันคือ "พื้นที่สาธารณะ" ที่แท้จริง คนแปลกหน้ามาเจอกัน พูดคุยกัน หัวเราะกัน แลกเปลี่ยนกันในแบบที่ห้างหรูไม่มีทางให้ได้ ห้างมีพื้นที่สีขาวเรียบกริบ แอร์เย็นสบาย คนเดินผ่านกันอย่างเงียบๆ แต่แผงลอยนี่เหมือนจุดที่ทุกคนกลายเป็นคนธรรมดา ไม่มีชนชั้น ไม่มีกรอบ

มันทำให้เรานึกถึงฉากหนึ่งในหนัง Before Sunrise ที่พระเอกกับนางเอกเดินคุยกันในเวียนนา ฉากนั้นมีความเรียบง่ายมาก ทั้งคู่เดินผ่านศิลปินเปิดหมวก แผงขายหนังสือเก่า มันคือความสวยงามของ "พื้นที่ระหว่างทาง" พื้นที่เหล่านี้ไม่ได้ถูกออกแบบมาอย่างตั้งใจ แต่กลับมีเสน่ห์มากเพราะมันเต็มไปด้วยเรื่องราวของผู้คน

แล้วถ้าเราถามตัวเองว่า แผงลอยมีปัญหาไหม? โอ้โห มีแน่นอน ทั้งการกีดขวางทางเดิน ความสะอาด ความปลอดภัย แต่นั่นแหละ ชีวิตจริงมันไม่ได้สมบูรณ์แบบไง ทุกคนแก้ปัญหาได้ถ้าเรามองมันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ไม่ใช่สิ่งแปลกปลอม อย่างสมัยที่เราสอนหนังสือ เราชอบให้นักศึกษาลองออกแบบพื้นที่แบบ "แผงลอย" ในโปรเจกต์นึง เราไม่ได้ให้เขาทำห้าง แต่ให้สร้างพื้นที่ที่คนรู้สึกว่าเดินเข้าไปแล้วเป็นส่วนหนึ่งของมันได้จริงๆ มีความอบอุ่น ความเป็นธรรมชาติ

เราไม่เคยคิดว่าแผงลอยคือสิ่งที่ควรถูกกำจัดไปเพราะ "ระเบียบ" อย่างเดียว เราเชื่อว่า ถ้าภูมิสถาปัตย์สามารถออกแบบพื้นที่ที่ทำให้แผงลอยอยู่ร่วมกับเมืองได้อย่างลงตัว มันจะทำให้เมืองน่าอยู่ขึ้น ไม่ใช่เพราะความสวยงามเชิงกายภาพอย่างเดียว แต่เพราะมันมี "ชีวิต" อยู่ในนั้น

และสุดท้าย ทุกคนเคยคิดไหมว่า แผงลอยพวกนี้สอนอะไรเราหลายอย่างมาก อย่างน้อยคือการยืดหยุ่นและปรับตัว คนขายของข้างถนนนี่แหละคืออาจารย์แห่งความอดทน เวลาโดนเทศกิจไล่ก็ยังกลับมาตั้งใหม่ เวลาโดนฝนก็แค่หาผ้าใบมาคลุม นี่คือการเอาตัวรอดแบบพื้นฐานที่สุดที่ไม่มีในตำราภูมิสถาปัตย์เล่มไหนสอน

บางทีความยุ่งเหยิงของแผงลอย อาจจะเป็นบทเรียนเรื่องความงามของ "ความไม่สมบูรณ์แบบ" ที่สุดในชีวิตแล้วก็ได้


ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม