เราเคยสงสัยกันไหมว่าจังหวะชีวิตมันทำงานยังไง ทำไมบางทีเราถึงเหมือนขึ้นรถไฟเหาะ บางครั้งขึ้นสูงสุดฟ้า แล้วอีกไม่กี่วินาทีดิ่งลงสู่พื้นดิน

เราเคยสงสัยกันไหมว่าจังหวะชีวิตมันทำงานยังไง ทำไมบางทีเราถึงเหมือนขึ้นรถไฟเหาะ บางครั้งขึ้นสูงสุดฟ้า แล้วอีกไม่กี่วินาทีดิ่งลงสู่พื้นดินแบบไม่ให้ตั้งตัว เหมือนกับชีวิตของใครหลายคนที่เริ่มต้นไม่สวย แต่ไปโด่งดังตอนใกล้จะจบซีซัน อย่าง "กรรชัย กำเนิดพลอย" ที่ตอนเล่นละครแรกๆ ก็ไม่ได้เด่นดังอะไรนัก อาจจะพอมีชื่อเสียงแต่ไม่ได้เป็นที่กล่าวถึงมากมาย แต่พอมาทำรายการ "โหนกระแส" ชีวิตพุ่งทะยานเหมือนเจ็ตสกีติดไนตรัส ชื่อเสียงโด่งดังกลายเป็นตัวแทนของการเปิดโปงความจริง เห็นไหมว่าชีวิตมันแปลกและคาดเดาไม่ได้ขนาดไหน


มันเหมือนกับหนังเรื่อง The Pursuit of Happyness ที่นำแสดงโดยวิลล์ สมิธ ตัวเอกเป็นคนธรรมดาแต่ต้องเผชิญความลำบากทั้งในชีวิตและงาน แต่สุดท้ายเขาก็ผ่านมันมาได้ กลายเป็นเรื่องราวสร้างแรงบันดาลใจให้คนทั่วโลก เราว่าหนังเรื่องนี้สอนให้เราเห็นว่าความล้มเหลวหรือความลำบากไม่ใช่จุดจบ แต่มันคือบทเรียนที่ทำให้เราเติบโตและพร้อมรับมือกับสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่า

พูดถึงจังหวะชีวิต ทำให้นึกถึงปรัชญาเซ็น ที่สอนว่า “จังหวะที่ดูว่างเปล่าอาจเป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่สุด” บางคนพยายามวิ่งหาความสำเร็จ แต่บางครั้งสิ่งที่เราควรทำคือหยุด แล้วฟังเสียงของตัวเอง ว่าเราต้องการอะไรจริงๆ เหมือนงานศิลปะแบบมินิมอลที่ดูเหมือนไม่มีอะไรเลย แต่ความว่างเปล่านั่นแหละที่ทำให้มันมีความหมาย

ในกีฬาก็เช่นกัน ลองมองดูนักฟุตบอลอย่างเจมี่ วาร์ดี้ ที่เคยเล่นในลีกสมัครเล่นมาก่อน แต่จังหวะชีวิตของเขาพาให้กลายเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกกับเลสเตอร์ ซิตี้ นี่แหละที่เรียกว่า “Timing is everything” คนเราต้องพร้อมทั้งร่างกายและจิตใจ และเมื่อโอกาสมาถึง เราต้องคว้ามันไว้ให้มั่น

สรุปแล้วชีวิตเราก็เหมือนการเล่นเซิร์ฟ คุณต้องรอคลื่นที่เหมาะสม และเมื่อมันมาถึง ต้องกล้าที่จะพุ่งตัวขึ้นไป ถ้าพลาดก็แค่รอคลื่นลูกใหม่ ไม่มีใครกำหนดจังหวะชีวิตได้อย่างแน่นอน แต่เรากำหนดวิธีที่เราจะตอบสนองต่อจังหวะนั้นได้ บางทีเรื่องราวชีวิตของทุกคนอาจจะยังไม่ถึงจุดไคลแม็กซ์ อดทนไว้แล้วจังหวะของเราจะมา


ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม