เราเคยสงสัยกันไหมว่า ความสัมพันธ์ระหว่างคนเราทำไมถึงซับซ้อนจนบางทีก็กลายเป็นปริศนาชวนปวดหัว ที่เหมือนหลุดมาจากหนังอินเซ็ปชัน
เราเคยสงสัยกันไหมว่า ความสัมพันธ์ระหว่างคนเราทำไมถึงซับซ้อนจนบางทีก็กลายเป็นปริศนาชวนปวดหัว ที่เหมือนหลุดมาจากหนังอินเซ็ปชัน (Inception) ที่เราดูจบแล้วยังไม่แน่ใจว่าเราฝันอยู่หรือเปล่า เหตุการณ์ที่คนเคยสนิทกันโทรหากันไม่พูดอะไรยังรู้ใจกันดีจู่ๆ กลับกลายเป็นการบล็อกทุกช่องทางเหมือนโลกเราถูกฉีกขาดจากแรงดึงดูดของความไว้ใจกัน มันเกิดอะไรขึ้นนะ?
เราเริ่มคิดถึงภาพวาดของแวนโก๊ะที่ชื่อ Starry Night ท้องฟ้าที่เหมือนจะสงบแต่มองลึกลงไปแล้วเหมือนมีกระแสอะไรที่ปั่นป่วนอยู่ข้างใน มันเหมือนความสัมพันธ์เลยใช่ไหม? ภายนอกดูเหมือนทุกอย่างจะโอเค แต่พอมีบางสิ่งสะกิดใจ กลับเกิดคลื่นอารมณ์และความรู้สึกมากมายจนหาคำอธิบายไม่เจอ เหมือนเราไม่เข้าใจว่าในหัวเพื่อนที่บล็อกเรานั้นมีพายุแบบไหนหมุนอยู่ เราควรจะดีใจไหมที่ได้ออกจากโลกที่เขาอาจจะไม่ต้องการเราอีกต่อไป หรือควรจะน้อยใจที่เขาไม่เลือกพูดคุยกับเราก่อนที่จะแยกย้าย
ในนิยายเรื่อง The Little Prince เจ้าชายน้อยเคยพูดว่า “You become responsible, forever, for what you have tamed” เราเชื่องเขา หรือเขาเชื่องเรา มันไม่ใช่ประเด็นอีกต่อไป เพราะไม่ว่าจะเป็นอะไร มันก็ยังทิ้งร่องรอยไว้เสมอ เราอาจไม่ได้ต้องการให้เขาต้องช่วยเหลือเราเสมอไป แค่รับฟังสิ่งที่เราจะพูดบ้างในวันที่เราไม่ไหว เราไม่ได้ต้องการคำตอบของคำถามทั้งหมด แค่พื้นที่ที่ไม่บล็อกเราก็พอแล้ว
แต่เรากลับมานั่งถามตัวเองซ้ำอีกที—หรือจริงๆ แล้วเราไปเฝ้าประตูบ้านหลังเก่า ที่ไม่มีคนอาศัยแล้ว? ปรัชญาของนักกีฬาที่เคยเห็นในสารคดีว่าด้วยฟุตบอลระดับโลกเขาพูดกันว่า ทีมต้องไม่หยุดพัฒนาต่อให้นักเตะเก่าอำลาไป ทุกคนต้องฝึกซ้อมให้พร้อม แม้ไม่มีใครที่รักความพยายามเสมอ แต่ทีมไม่เคยหยุดเพราะใครคนใดคนหนึ่งจะลาออกจากเกม
เราคิดว่าคำตอบไม่ได้อยู่ที่เพื่อนบล็อกเราหรือเปล่า แต่อยู่ที่เราจะเล่นเกมชีวิตตัวเองยังไงต่างหาก บางทีคำว่า “การเคลียร์กัน” หรือ “หาเหตุผล” อาจไม่ใช่ของจำเป็นในทุกความสัมพันธ์ บางครั้งคนเราก็ต้องแยกจากกันเพื่อเรียนรู้ที่จะอยู่ต่อไปในสนามใหม่ของเราเอง
ถ้าเราต้องพูดอะไรผ่านช่องทางนี้จริงๆ คงไม่ใช่ประโยคโวยวายแบบ “เธอใจร้ายทำไมไม่ช่วยฉัน” แต่เป็นคำว่า “หวังว่าที่เธอบล็อกเรา จะช่วยให้ชีวิตเธอดีขึ้นจริงๆ” เราควรยอมรับว่าอะไรที่พังแล้วเราไม่ซ่อมก็ไม่เป็นไร แล้วสร้างอะไรใหม่ดีกว่าที่จะยืนถือเศษกระจกและตัดมือเล่น เพราะยังไงต่อให้บาดลึกแค่ไหน สุดท้ายมันก็แค่รอยแผลที่จางลง
ความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนที่ดูสนิทสนมเหมือนเข้าใจกันทุกอย่าง ทำงานร่วมกันได้อย่างลงตัว คุยกันได้ทุกเรื่อง โทรมาแค่หายใจก็รู้ว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่ แล้วอยู่ดีๆ ทุกอย่างมันพังลงไปได้ยังไง แค่ในพริบตาเดียว จากที่เคยเดินเคียงข้างกันเหมือนสองพระเอกในหนังของหว่อง กา ไว จู่ๆ อีกฝ่ายกลับบล็อกเราไม่เหลือช่องทางให้พูดอะไรอีกเลย ไม่ถาม ไม่ทัก ไม่สนใจเหมือนเรากลายเป็น NPC ที่ถูกลบออกจากระบบ
แล้วถ้ายิ่งซับซ้อนเพราะเราดันแอบชอบเพื่อนคนนี้ด้วย มันเหมือนหนังโรแมนติกที่จบเศร้า ไม่ใช่แบบ “ลา ลา แลนด์” แต่เป็นแบบ “Blue Valentine” ที่เรารู้ว่าอะไรพังแต่ดึงกลับมาไม่ได้ หรือถ้าดึงได้ ก็คงไม่เหมือนเดิม
บางทีเราต้องถามตัวเองก่อนว่าสิ่งที่เราโหยหานั้นคืออะไร เป็นความสัมพันธ์แบบเพื่อน หรือแอบคาดหวังลึกๆ ว่าเขาจะเข้าใจเราในมุมที่คนอื่นไม่เคยเข้าใจ มันเป็นความรักแบบไหน หรือเราแค่ไม่อยากสูญเสียความคุ้นเคยนั้นไป
การที่คนหนึ่งคนตัดสินใจบล็อกเรา มันอาจดูเหมือนไม่แฟร์ เหมือนพวกเขาหนีไปจากพื้นที่ที่เราเคยแชร์ร่วมกันโดยไม่ให้เราแก้ตัว แต่มันก็อาจสะท้อนว่าเขาอาจเจ็บปวดบางอย่างที่เราไม่รู้ หรือเขาแค่ไม่พร้อมจะเจอเราในตอนนี้ เราคิดถึงหนัง “The Lobster” ของ Yorgos Lanthimos ที่คนในเรื่องต้องหา “คู่” เพื่อความอยู่รอด แล้วถ้าหาคู่ไม่ได้ก็จะถูกเปลี่ยนเป็นสัตว์สักตัว ดูสิ การเชื่อมต่อกันในความสัมพันธ์มันสำคัญแค่ไหน คนถึงพยายามไปไกลขนาดนั้นเพื่อจะไม่ต้องอยู่คนเดียว
แต่คำถามคือ เราควรทำยังไงเมื่อถูกดีดออกมาจากความสัมพันธ์ที่เราเองก็ยังงงๆ อยู่
เรามีสองทางเลือก ทางแรกคือโทษตัวเองว่าเราพลาดตรงไหน แต่แบบนั้นมันมีประโยชน์จริงเหรอ หรือเราควรเลือกทางที่สอง คือมองความสัมพันธ์ที่ผ่านมาว่า “ก็สนุกดี” แต่ไม่ได้มีอะไรยึดโยงเราไว้ขนาดนั้น เราอาจเป็นแค่นักแสดงสมทบที่ต้องออกจากซีนตอนนี้ หรือเขาอาจต้องการพักพื้นที่ของตัวเองโดยไม่มีเราอยู่ในเฟรม ไม่ผิดหรอก
หนังสือ The Four Agreements ของ Don Miguel Ruiz บอกว่า หนึ่งในข้อตกลงที่สำคัญของชีวิตคือ “Don’t Take Anything Personally” เราไม่มีทางรู้จริงๆ ว่าพฤติกรรมคนอื่นเกิดจากอะไร มันอาจไม่ได้เกี่ยวกับเราเลยก็ได้ เขาอาจมีเหตุผลส่วนตัวที่ลึกจนเราไม่มีวันมองเห็น
การโดนบล็อกทุกช่องทางจากเพื่อนที่เราสนิทจนแทบจะเป็นเหมือน extension ของร่างกาย มันควรจะเจ็บปวดขนาดไหน? โอเค เจ็บชัวร์อยู่แล้ว แต่คำถามคือ เราควรโกรธหรือแค่ถอนหายใจแล้วบอกตัวเองว่า “ช่างเถอะ”? หรือควรจะเดินไปหน้ากระจก ตบแก้มตัวเองแล้วบอกว่า “หยุดคิดถึงมันสักที!”
นี่คือชีวิตในยุคที่คนสามารถ delete ความสัมพันธ์เหมือนกด Shift + Delete ไฟล์ในคอมฯ ทิ้ง จะให้คนโทรมาถาม “เฮ้ เป็นไงบ้าง?” หรือ “โอเคไหม?” ก็ดูเหมือนจะเป็น effort ที่มากเกินไป แค่กดบล็อกจบๆ ก็ไม่ต้องเหนื่อยอธิบาย เรา
ทุกครั้งที่เขาให้เราทำอะไร เราไม่เคยถามว่า “ทำไมต้องเรา?” เราทำด้วยความเต็มใจเสมอ งานหนักงานเบาช่างมันเถอะ เพราะเรารู้สึกว่าอย่างน้อยเราได้ช่วยคนที่สำคัญต่อใจเรา ตอน
เราเริ่มคิดถึงหนังเรื่อง Gone Girl—ที่บางครั้งคนเราก็สร้างตัวตนที่สมบูรณ์แบบขึ้นมาเพื่อเอาชนะใจอีกคน แต่สุดท้ายแล้วมันอาจไม่ได้รักจากใจจริง แค่ต้องการควบคุมหรือได้ประโยชน์อะไรบางอย่าง เราเริ่มสับสนว่า ในเรื่องนี้เราเป็น "Amy" หรือ "Nick"?
อีกมุมหนึ่งคือเรายังรักเพื่อนคนนี้อยู่ ไม่ใช่รักในฐานะที่เราคาดหวังอะไรตอบแทน แค่รักในสิ่งที่เขาเคยทำให้เราเห็นว่าโลกใบนี้ยังมีคนที่เราอยากอยู่ด้วย แต่ความรักมันก็เหมือนเล่นแบดมินตัน ถ้าคนหนึ่งตีลูกข้ามเน็ตมา แต่ปลายสายดันไม่ถือไม้แล้วเดินออกสนามไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ เราจะเล่นกับเงาไปได้อีกนานแค่ไหน?
แล้วถามว่าถ้าเขากลับมาหา เราจะทำยังไง? เอาจริงๆ มันก็เหมือนที่ Marcus Aurelius เคยพูดไว้ใน Meditations: "มนุษย์มีหน้าที่ช่วยเหลือกัน แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะมองเห็นคุณค่าในการช่วยเหลือนั้น" ถ้าเขากลับมา แล้วเรายังอยากช่วย ก็ช่วยต่อไป แต่ครั้งนี้ต้องไม่ลืมช่วยตัวเองด้วย ถ้าเขาเอาแต่ด่า เราคงต้องถามตัวเองอีกทีว่าเราพร้อมจะทนเพื่ออะไรบางอย่างที่มันไม่สมเหตุสมผลแล้วหรือเปล่า
สิ่งที่ยากที่สุดในการปล่อยใครสักคนไป ไม่ใช่การลืมเรื่องราวที่ผ่านมา แต่เป็นการยอมรับว่าเราไม่มีอำนาจเปลี่ยนแปลงอดีตได้ แค่ทำให้อนาคตดีขึ้นแทน และบางที คนที่เราคิดว่าทำร้ายเรา อาจแค่ส่งเราไปเจอสิ่งที่ดีกว่าก็ได้ หรือถ้ายังไม่ดีกว่า อย่างน้อยก็ให้โอกาสเรารู้ว่ากินหมูกระทะคนเดียวก็อร่อยเหมือนกัน
ชีวิตมันซับซ้อนเหมือนบทภาพยนตร์ชั้นดี บางทีเราก็แค่ต้องมองหาจุดที่จะปรบมือให้ชีวิตเราบ้าง เหมือนหนังเรื่อง La La Land ที่ถึงจะจบแบบที่ไม่สมหวัง แต่ยังมีเพลงให้ฟังแล้วลุกเต้นเหมือนคนโง่ในห้องคนเดียว เราเริ่มทำอย่างนั้นแล้ว ทุกคนลองดูบ้างสิ
สุดท้าย ทุกอย่างจะเบาบางลงเมื่อเรายอมรับว่าคนทุกคนมีสิทธิ์ในพื้นที่ของตัวเอง เราไม่ต้องตามไปขอพื้นที่นั้นคืน แต่สร้างพื้นที่ของตัวเองที่กว้างพอจะทำให้เขากลับมาหรือไม่ก็ช่างมัน นี่ไม่ใช่การแพ้ แต่มันคือการปล่อย และถ้ามีโอกาสได้เจอกันอีก เราอาจพูดคุยกันได้ด้วยรอยยิ้ม แทนที่จะพูดแต่คำว่า “ทำไม”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น