เราเคยสงสัยกันไหมว่า ทำไมเราถึงติดอยู่ในรถ บนถนนที่ไม่ขยับเขยื้อน ทุกเช้า ทุกเย็นเหมือนฉากหนึ่งในภาพยนตร์ Falling Down



เราเคยสงสัยกันไหมว่า ทำไมเราถึงติดอยู่ในรถ บนถนนที่ไม่ขยับเขยื้อน ทุกเช้า ทุกเย็นเหมือนฉากหนึ่งในภาพยนตร์ Falling Down ที่ตัวเอกติดอยู่ในรถท่ามกลางคลื่นความร้อนและการจราจรที่หยุดนิ่ง จนกระทั่งเขา "หมดความอดทน" นั่นคืออารมณ์ของหลายคนที่อยู่ในเมืองใหญ่ ไม่ว่าจะกรุงเทพฯ นิวยอร์ก หรือจาการ์ตา การจราจรติดขัดกลายเป็นปัญหาเรื้อรังที่ดูเหมือนจะไม่มีวันหมดไป

ลองคิดดูสิ เมืองต่างๆ ถูกออกแบบมาเพื่อรถยนต์มากกว่าคน เมื่อเปรียบเทียบกับเมืองโบราณ เช่น เวนิส หรือฟลอเรนซ์ ที่เน้นพื้นที่สำหรับคนเดินเท้า ถนนแคบๆ กลับให้ความรู้สึกอบอุ่นและเต็มไปด้วยชีวิตชีวา แต่เมืองในศตวรรษที่ 20 กลับเลือกออกแบบโครงสร้างพื้นฐานโดยคำนึงถึงยานยนต์เป็นหลัก สะพาน ทางยกระดับ และทางด่วนกลายเป็นสัญลักษณ์ของความก้าวหน้า แต่ก็พาเรามาสู่ทางตัน

คำถามคือ เราจะแก้ไขปัญหานี้ได้อย่างไร? ที่นี่เราต้องพูดถึงศาสตร์ของ landscape architecture และ urban design ที่มีบทบาทสำคัญในการออกแบบเมืองให้ตอบโจทย์ทั้งคน รถ และธรรมชาติ ตัวอย่างเช่น เมืองโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก ที่ได้ชื่อว่าเป็น “เมืองจักรยาน” ไม่ใช่เพราะโชคช่วย แต่เป็นเพราะการออกแบบเมืองที่ให้ความสำคัญกับเส้นทางจักรยานและพื้นที่คนเดินเท้ามากกว่าถนนสำหรับรถยนต์ พวกเขาไม่เพียงสร้างเลนจักรยานที่ปลอดภัยและเชื่อมโยงทุกจุดในเมือง แต่ยังปรับภูมิทัศน์โดยรอบให้ร่มรื่น ชวนให้คนออกมาเดินหรือปั่น

แนวคิดของ “เมือง 15 นาที” (15-minute city) ที่เสนอโดยนักวางผังเมืองชาวฝรั่งเศส Carlos Moreno ก็เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของการแก้ปัญหา เมืองแบบนี้คือเมืองที่ทุกคนสามารถเข้าถึงสิ่งจำเป็นในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นที่ทำงาน โรงเรียน ร้านค้า หรือสวนสาธารณะ ภายในระยะทางที่เดินหรือปั่นจักรยานได้ใน 15 นาที แนวคิดนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่มันเน้นให้เมืองกลับมามีชีวิตชีวาและลดการพึ่งพารถยนต์อย่างสิ้นเชิง

พูดถึงระบบขนส่งมวลชน เมืองอย่างโตเกียวถือเป็นต้นแบบที่ประสบความสำเร็จ ระบบรถไฟใต้ดินและรถไฟบนดินที่ตรงเวลาและครอบคลุมทุกพื้นที่ช่วยลดการใช้รถยนต์ส่วนตัวได้อย่างมหาศาล โตเกียวยังมีแนวคิด “Vertical Cities” ที่ผนวกการใช้พื้นที่แนวตั้งอย่างมีประสิทธิภาพ อาคารหลายแห่งมีทั้งที่พักอาศัย ที่ทำงาน ร้านอาหาร และพื้นที่สาธารณะในที่เดียว ทำให้ผู้คนไม่ต้องเดินทางไกล

แต่ไม่ใช่แค่การออกแบบเมืองหรือระบบขนส่งเท่านั้นที่สำคัญ ปัญหารถติดยังเกี่ยวข้องกับจิตสำนึกของคนเมือง เรามักโทษระบบ โทษรัฐบาล แต่ลืมดูตัวเองว่าเราเลือกที่จะขับรถไปไหนมาไหนคนเดียวทุกวัน ทั้งที่อาจมีตัวเลือกอื่น เช่น การเดิน การปั่นจักรยาน หรือการแชร์รถ

ทางออกหนึ่งที่เราชอบมากคือ “Pocket Parks” หรือสวนจิ๋วในพื้นที่เมือง สวนเล็กๆ เหล่านี้ไม่เพียงช่วยลดความร้อนและเพิ่มพื้นที่สีเขียว แต่ยังช่วยลดการจราจรได้โดยตรง เพราะมันสร้างแรงจูงใจให้คนใช้ชีวิตในระยะเดินถึงแทนการขับรถไปที่ไกลๆ

ท้ายที่สุด การแก้ปัญหารถติดไม่ใช่แค่เรื่องของการสร้างถนนใหม่หรือเพิ่มเลน แต่มันคือการเปลี่ยนแนวคิดของเราเกี่ยวกับวิถีชีวิตในเมือง เราต้องถามตัวเองว่าเราจะสร้างเมืองที่เป็นมิตรกับคนได้อย่างไร เมืองที่เดินไปไหนมาไหนง่าย เมืองที่ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และที่สำคัญ เมืองที่ทำให้เราไม่ต้อง “หมดความอดทน” ขณะติดอยู่ในรถ

ถ้าทุกคนอยากได้เมืองแบบนั้น ก็ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องเปลี่ยนวิธีคิดและวิธีใช้ชีวิตในเมืองของเราเองเริ่มจากตรงไหนหันมาเดินได้ก็หันมาเดินก่อนแทนที่จะใช้รถถ้าหากไม่เปลืองเวลาเกินไปแถมได้ออกกำลังกายด้วย

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม