เราเคยสงสัยกันไหมว่า ทำไมบางคนถึงรู้สึกว่าเจอ "คนที่ใช่" แล้ว แต่กลับไม่ได้อยู่ด้วยกัน? เรื่องของ Twin Flame หรือ "เปลวไฟคู่" นี่แหละ
เราเคยสงสัยกันไหมว่า ทำไมบางคนถึงรู้สึกว่าเจอ "คนที่ใช่" แล้ว แต่กลับไม่ได้อยู่ด้วยกัน? เรื่องของ Twin Flame หรือ "เปลวไฟคู่" นี่แหละที่ทำให้เราถกเถียงกันจนหัวแทบแตกว่ามันจริงหรือแค่เรื่องแต่งขึ้นมาเพื่อปลอบใจคนเหงา เราอยากให้ทุกคนลองคิดตามนะ การมี Twin Flame เปรียบเหมือนมีอีกคนที่สะท้อนตัวตนลึกๆ ของเราออกมา แต่บางครั้งมันไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องอยู่ด้วยกันเสมอไป เพราะมันอาจมีภารกิจบางอย่างที่ใหญ่กว่านั้น
พูดถึงภารกิจ ใครเคยดูหนัง Interstellar ของ Christopher Nolan บ้าง? ในเรื่องนี้ตัวละครของ Matthew McConaughey ต้องตัดสินใจทิ้งครอบครัวไว้เบื้องหลังเพื่อภารกิจสำคัญที่อาจช่วยมนุษยชาติ นั่นแหละ เหมือนกับ Twin Flame ที่ไม่ได้มาเพื่อแค่รักกันฟรุ้งฟริ้ง แต่เพื่อช่วยกันขัดเกลาจิตวิญญาณของกันและกันให้เติบโตและทำหน้าที่ในชีวิตให้สำเร็จ มันเจ็บนะ แต่ก็สวยงามในแบบของมัน
พูดถึงปรัชญา Carl Jung เองก็เคยพูดถึง individuation หรือการพัฒนาตัวตนที่สมบูรณ์ ซึ่งบางครั้งการเจอ Twin Flame ก็เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการนี้ ทุกคนอาจสงสัยว่า แล้วจะรู้ได้ยังไงว่าใครคือ Twin Flame ของเรา? ง่ายๆ เลย คนนี้จะทำให้เรารู้สึกเหมือนมองกระจก แล้วเห็นทั้งความสวยงามและความบกพร่องของตัวเองพร้อมกัน เปรียบเหมือนการเล่นกีฬา เช่น การตีแบด ที่เราไม่ได้แค่ฝึกฝีมือให้เก่งขึ้น แต่ยังฝึกใจให้ยอมรับจุดอ่อนของตัวเองผ่านการแข่งกับคู่ที่สูสี
แล้วถ้าเราเจอ Twin Flame แต่ไม่ได้อยู่ด้วยกันล่ะ? เราเชื่อว่ามันคือการสอนให้เรารู้จัก "การปล่อยวาง" และ "การอยู่กับปัจจุบัน" เหมือนที่ Eckhart Tolle เขียนไว้ใน The Power of Now ว่าเราจะมีความสุขได้ก็ต่อเมื่อเรายอมรับความจริงในตอนนี้ มันไม่ง่ายหรอกที่จะยอมรับว่าเราอาจไม่ได้จบแบบ happily ever after แต่เราสามารถรักและส่งพลังดีๆ ให้เขาได้จากระยะไกล
สุดท้าย ถ้าใครกำลังเจอเหตุการณ์แบบนี้ เราอยากบอกว่าคุณไม่ได้อยู่คนเดียว โลกนี้เต็มไปด้วยคนที่มีเรื่องราวคล้ายๆ กัน การที่คุณมี Twin Flame ไม่ได้หมายความว่าคุณต้องเสียสละความสุขของตัวเอง แต่หมายความว่าคุณได้เรียนรู้บทเรียนที่สำคัญที่สุดในชีวิต นั่นคือการรักโดยไม่ครอบครอง และการยอมรับว่าบางสิ่งที่สวยงามที่สุดในโลก อาจไม่ใช่สิ่งที่เราได้ถือไว้ แต่เป็นสิ่งที่เรายอมให้มันเป็น
เราเคยสงสัยกันไหมว่า ทำไมบางครั้งชีวิตมันเหมือนกับการดูหนังที่มีตัวละครหลักสองคน ที่ดูเหมือนจะคู่กันได้ดีมากๆ แต่ก็ต้องแยกจากกันไปเพื่อลงทางของตัวเองก่อน แล้วต้องใช้เวลานานแค่ไหนกันถึงจะกลับมาพบกันได้อีก? ประเด็นนี้จริงๆ ก็มีคนพูดถึงกันมาหลายทศวรรษแล้ว แต่ถ้าจะให้พูดในเชิงปรัชญาและศิลปะ ก็ต้องยอมรับว่า มันเป็นเรื่องที่ซับซ้อนมากๆ เพราะความสัมพันธ์ไม่ใช่แค่การไปถึงจุดหมายเดียวกัน แต่คือการเติบโตและเรียนรู้ระหว่างทาง
บางคนอาจจะบอกว่า "โอเค เมื่อไรจะได้เจอกันซักที?" แต่จริงๆ แล้ว การเจอกันครั้งที่สองหลังจากการแยกทาง คือสิ่งที่ไม่สามารถตั้งเวลาได้ เราคงเคยได้ยินคำว่า "twin flame" กันมาบ้าง แล้วมันหมายถึงอะไร? มันไม่ใช่แค่ความรักในเชิงโรแมนติกที่เราคุ้นเคย แต่หมายถึงคนที่เรารู้สึกเชื่อมโยงกันอย่างลึกซึ้งจนไม่สามารถปฏิเสธได้ และการที่ต้องแยกจากกันเพื่อไปเติบโตในแต่ละเส้นทางของตัวเอง ก็เหมือนการเดินทางที่ยาวนานแต่ละเส้นทางที่เราต้องเรียนรู้และเติบโตในแบบของเราเอง
เรากำลังพูดถึงสิ่งที่เหมือนกับการปล่อยให้ตัวเองไปในโลกที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่เชื่อมั่นว่าเมื่อถึงเวลาที่เราพร้อมจริงๆ เราก็จะกลับมาเจอกันอีกครั้งเหมือนที่เคยเป็นในอดีต เราเคยได้ยินคนบอกว่า ความรักที่แท้จริงไม่ใช่การจับมือกันตลอดเวลา แต่มันคือการเข้าใจความต้องการของตัวเองและยอมให้คนอื่นได้เติบโตในทางที่เขาเลือก
ลองคิดถึงหนังเรื่อง "The Before Trilogy" ของ Richard Linklater สิ เป็นหนังที่เล่าเรื่องของสองคนที่พบกันในช่วงเวลาหนึ่งแล้วแยกจากกันไป พบกันอีกในเวลาที่ต่างกัน แล้วแต่ละครั้งที่พบกันก็เหมือนกับการเติบโตใหม่ ความรู้สึกที่แต่ละคนมีต่อกันมันเปลี่ยนไปตามช่วงเวลาที่ผ่านไป สะท้อนให้เห็นถึงการเติบโตของตัวละครแต่ละคนอย่างชัดเจน หนังไม่ได้ให้คำตอบว่า เมื่อไรจะเจอกัน แต่ให้คำถามว่า "เราพร้อมที่จะเจอกันหรือยัง?" และคำถามนี้ก็เป็นสิ่งที่เราควรถามตัวเองบ่อยๆ ว่าเราพร้อมที่จะเจอคนที่ใช่ในช่วงเวลาที่เราพร้อมหรือยัง?
การแยกกันออกไปก็เหมือนกับการออกจากการเล่นกีฬา เราต้องออกจากสนามบ่อยๆ เพื่อที่จะกลับมาพร้อมกับพลังที่เต็มที่ เพราะการเจอกันไม่ได้หมายความว่าเราพร้อมสำหรับทุกอย่างในตอนนี้ การที่เราแยกจากกันเพื่อเติบโตเหมือนการฝึกซ้อมร่างกาย ถ้าไม่ออกไปฝึกก็ไม่สามารถกลับมาลงสนามได้อย่างเต็มที่ การเจอกันครั้งที่สองอาจไม่ใช่เรื่องของเวลา แต่เป็นเรื่องของการเติบโตและความเข้าใจในตัวเอง
แต่คำถามคือแล้วเมื่อไหร่ล่ะ? คำตอบก็คือ เราจะเจอกันเมื่อถึงเวลาที่เรามีความมั่นคงในตัวเองพอที่จะเข้าใจและยอมรับคนอื่นแบบที่เขาเป็น การแยกทางไม่ได้เป็นการสิ้นสุด แต่เป็นการเปิดโอกาสให้เรามีพื้นที่ในการเติบโต และเมื่อเราพร้อมจริงๆ คำตอบอาจจะเป็นว่า "เมื่อเราคิดว่าเราเป็นคนที่ดีที่สุดที่เราเคยเป็น" แล้วตอนนั้นแหละที่เราอาจจะพบกันอีกครั้ง
ในที่สุด ความสัมพันธ์ไม่ใช่การคาดหวัง แต่คือการให้โอกาสกันและกันในการเติบโตแบบที่ตัวเองต้องการ ความรักไม่ต้องตามหาเส้นทางเดียวกันเสมอไป แต่ความสำคัญอยู่ที่การที่เรารักตัวเองมากพอที่จะให้คนอื่นเดินไปตามทางของเขาแล้วเราก็จะได้พบกันในตอนที่เราพร้อม
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น