วิเคราะห์แลนด์สเคป ในเกม zelda ภาค Breath of the wild
เราเคยสงสัยกันไหมว่า ทำไมเกม Zelda: Breath of the Wild ถึงทำให้เรารู้สึกเหมือนได้หลุดเข้าไปในโลกแฟนตาซีที่มีชีวิตจริงๆ จนบางทีแทบลืมไปเลยว่ากำลังนั่งถือจอยอยู่บนโซฟา? ถ้าจะพูดกันตรงๆ สิ่งที่ทำให้เกมนี้พิเศษจนติดใจเราไม่ใช่แค่เนื้อเรื่องหรือกลไกเกมเพลย์ แต่มันคือ landscape architecture หรือการออกแบบภูมิทัศน์ในเกมนี้ที่ลุ่มลึกและเต็มไปด้วยจิตวิญญาณ
ลองจินตนาการว่าโลกในเกมนี้เป็นเหมือนงานศิลปะชิ้นหนึ่ง ทุกตารางนิ้วของแผนที่เต็มไปด้วยรายละเอียดที่ได้รับการออกแบบอย่างพิถีพิถัน มีทั้งภูเขา หุบเหว ทุ่งหญ้า น้ำตก หมู่บ้าน ไปจนถึงซากปรักหักพังที่หลงเหลือจากยุคเก่า ทุกพื้นที่ในเกมนี้มีเรื่องเล่าของตัวเองโดยไม่ต้องใช้คำพูดเลย—มันเล่าเรื่องผ่านโครงสร้างภูมิทัศน์
ที่น่าสนใจคือ Breath of the Wild ไม่ได้ออกแบบให้ภูมิทัศน์ดูสวยงามอย่างเดียว แต่ยังใส่ "ฟังก์ชัน" ให้เราได้สำรวจและมีปฏิสัมพันธ์ เช่น ภูเขาสูงชันที่บังคับให้เราไต่ขึ้นไปหา "ความจริง" ที่ซ่อนอยู่ น้ำตกที่นำไปสู่ความลับ หรือป่าไม้ที่แฝงด้วยความลึกลับและอันตรายเหมือนในเทพนิยาย มันเหมือนพาเราเข้าไปอยู่ในโลกของภาพยนตร์ Princess Mononoke ที่ภูมิทัศน์ไม่ได้แค่เป็นฉากหลัง แต่เป็นตัวละครที่มีชีวิตจิตใจ
หากจะมองในเชิงปรัชญา Landscape ในเกมนี้สะท้อนถึงแนวคิด Shinrin-yoku หรือการบำบัดด้วยธรรมชาติของชาวญี่ปุ่น ซึ่งเน้นการใช้ธรรมชาติเป็นพื้นที่เยียวยาจิตใจ เราเดินเล่นในทุ่งหญ้าใต้แสงจันทร์ นั่งฟังเสียงน้ำตก หรือแค่เฝ้าดูพระอาทิตย์ขึ้นจากยอดเขา สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่แค่ "ฉาก" แต่มันทำให้เรารู้สึกเหมือนได้ใช้ชีวิตจริงในโลกแห่งความฝัน
ในด้านการออกแบบ ภูมิทัศน์ของเกมนี้ยังได้แรงบันดาลใจจากสถาปัตยกรรมพื้นบ้านญี่ปุ่น ตัวอย่างเช่น หมู่บ้าน Kakariko ที่มีสะพานไม้เล็กๆ และหลังคาบ้านทรงโค้งแบบดั้งเดิม ทุกองค์ประกอบเหล่านี้เชื่อมโยงกับประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม ทำให้โลกในเกมดูมีน้ำหนักและสมจริง
และเราคิดว่า นักออกแบบของเกมนี้คงได้รับอิทธิพลจากงานของ Frederick Law Olmsted บิดาแห่งภูมิสถาปัตยกรรมยุคใหม่ ที่เน้นการออกแบบพื้นที่ให้ผู้คนได้สัมผัสกับธรรมชาติอย่างลึกซึ้ง ถ้าลองเทียบดู Central Park กับโลกของ Hyrule จะเห็นว่ามันมีบางอย่างคล้ายกัน—ทั้งคู่เป็นพื้นที่ที่เปิดโอกาสให้เราได้สำรวจและค้นพบอะไรใหม่ๆ อยู่เสมอ
คำถามสำคัญที่ตามมาคือ เราจะนำแนวคิดการออกแบบภูมิทัศน์ในเกมมาประยุกต์ใช้ในชีวิตจริงได้ไหม? คำตอบคือได้แน่นอน ลองคิดดูว่า ถ้าหากเมืองของเรามีพื้นที่ที่ชวนให้สำรวจ มีจุดซ่อนเร้น มีความลึกลับและความสวยงามซ่อนอยู่ในทุกมุม จะทำให้ชีวิตของเรามีสีสันขึ้นแค่ไหน เราอาจไม่ต้องสร้างภูเขาไฟหรือปราสาทยักษ์เหมือนในเกม แต่แค่เพิ่มมุมมองใหม่ๆ ให้กับพื้นที่ในชีวิตประจำวันก็เพียงพอ
สุดท้ายนี้ เราคิดว่า Breath of the Wild สอนเราว่า โลกที่เรามองเห็นทุกวันก็เป็นงานศิลปะชิ้นหนึ่ง ถ้าเราลองมองให้ลึกลงไป คำถามคือ วันนี้เราพร้อมจะออกสำรวจโลกจริงๆ แบบที่เราเคยทำในเกมหรือยัง?
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น