ทฤษฎีแห่งทางเลือก: "เกมซัมซิโร่" (Sum Zero Game) และการต่อสู้ของปัญญาชน

ทฤษฎีแห่งทางเลือก: "เกมซัมซิโร่" (Sum Zero Game) และการต่อสู้ของปัญญาชน



หากเราพูดถึงการสร้างสรรค์งานศิลปะเราคงไม่อาจมองข้ามหลักคิดที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างของสังคมและพฤติกรรมมนุษย์ หนึ่งในแนวคิดที่เฉียบคมและสะท้อนธรรมชาติของการแข่งขันเชิงปัญญาได้ดีที่สุดคือ "เกมซัมซิโร่" หรือ ทฤษฎีผลรวมศูนย์ (Zero-Sum Game) ที่มีรากฐานจากคณิตศาสตร์และเศรษฐศาสตร์

ทฤษฎีนี้กล่าวว่าในสถานการณ์หนึ่ง เมื่อมีฝ่ายหนึ่งได้มากขึ้น อีกฝ่ายต้องสูญเสียไปเท่ากัน เปรียบได้กับเกมที่มีผู้เล่นสองฝ่าย เช่น หมากรุก โป๊กเกอร์ หรือแม้แต่การต่อรองทางการเมืองและเศรษฐกิจ ทฤษฎีนี้ช่วยให้เราเข้าใจว่าทุกการแลกเปลี่ยนมีผลกระทบแบบสมดุลกันอยู่เสมอ หากเราเข้าใจโครงสร้างนี้ เราจะสามารถสร้างยุทธศาสตร์ในการใช้ชีวิตที่มีประสิทธิภาพขึ้น และปรับตัวต่อโลกที่ไม่ได้เอื้อให้เราชนะเสมอไป

ในสังคมที่ปัญญาชนต้องเผชิญหน้ากับโลกแห่งการแข่งขันที่ไร้ความปราณี การเข้าใจเกมซัมซิโร่ช่วยให้เราตระหนักว่าเราจะต้องเลือกสนามรบให้ดี บางครั้ง การแพ้เกมเล็กอาจหมายถึงชัยชนะของเกมใหญ่ และบางครั้งการก้าวถอยหนึ่งก้าวเพื่อสร้างโอกาสใหม่ อาจสำคัญกว่าการยืนหยัดในจุดที่เสียเปรียบ

1. ทฤษฎีผลรวมศูนย์ (Zero-Sum Game) และบริบทของปัญญาชน
เกมซัมซิโร่ (Zero-Sum Game) คือแนวคิดในทฤษฎีเกมที่ระบุว่า "กำไรของฝ่ายหนึ่ง = ขาดทุนของอีกฝ่าย" นั่นคือ ทรัพยากร ผลประโยชน์ หรือชัยชนะในระบบนี้ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นเพิ่มเติม แต่เป็นการเปลี่ยนมือจากผู้หนึ่งไปสู่อีกผู้หนึ่ง เช่นเดียวกับในหมากรุกที่เมื่อฝ่ายหนึ่งเดินหมากเพื่อให้ตัวเองได้เปรียบ ก็หมายความว่าอีกฝ่ายเสียโอกาสไป

เมื่อมองในบริบทของปัญญาชน ทฤษฎีนี้สะท้อนถึงการแข่งขันทางความคิดและอำนาจในการครองพื้นที่ทางปัญญา ยกตัวอย่างเช่น การต่อสู้ทางอุดมการณ์ในวรรณกรรม บทเพลง หรือวงวิชาการที่นักคิด นักปรัชญา และนักวิจัยต่างต้องแย่งชิง "พื้นที่แห่งความจริง" หากแนวคิดหนึ่งได้รับการยอมรับ แนวคิดตรงข้ามอาจถูกลดทอนคุณค่าไปโดยปริยาย

2. บทเพลง การเมือง และยุทธศาสตร์ของเกมซัมซิโร่
ศิลปะและบทเพลงมักสะท้อนเกมซัมซิโร่ในระดับของการเคลื่อนไหวทางสังคม เช่น บทเพลงที่วิพากษ์วิจารณ์อำนาจหรือเรียกร้องเสรีภาพ ไม่ได้เป็นเพียงการแสดงออกทางอารมณ์เท่านั้น แต่เป็นการช่วงชิงพื้นที่ทางการเมือง วัฒนธรรม และอุดมการณ์ ถ้าบทเพลงหนึ่งสามารถสร้างอิทธิพลได้มากขึ้น เสียงของฝ่ายตรงข้ามอาจถูกลดทอนลง

นอกจากนี้ ปัญญาชนยังต้องเลือกสนามรบของตนเองให้ดี บางครั้งชัยชนะในเวทีเล็กอาจไม่คุ้มค่ากับการสูญเสียโอกาสในเวทีใหญ่ ยกตัวอย่างเช่น นักเขียนหรือศิลปินที่เลือกจะเซ็นเซอร์ตัวเองเพื่อให้สามารถเผยแพร่ผลงานในวงกว้าง แทนที่จะถูกปิดกั้นโดยสมบูรณ์ นี่คือการเข้าใจกลไกของเกมซัมซิโร่และใช้กลยุทธ์เพื่อสร้างโอกาสใหม่

3. ความเป็นไปได้ของเกมผลรวมไม่เป็นศูนย์ (Non-Zero-Sum Game)
แม้ว่าทฤษฎีเกมซัมซิโร่จะอธิบายโลกที่มีการแข่งขันสูงได้ดี แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าโลกทั้งใบต้องเป็นเกมผลรวมศูนย์เสมอไป ในบางกรณี เราสามารถสร้างสถานการณ์ที่ทุกฝ่ายได้ประโยชน์ร่วมกัน (win-win situation) เช่น ความร่วมมือในวงวิชาการ การพัฒนานวัตกรรม หรือการสร้างวัฒนธรรมใหม่ที่ส่งเสริมความหลากหลายทางความคิด

ดังนั้น ปัญญาชนที่เข้าใจเกมซัมซิโร่ไม่ควรเพียงแค่แข่งขันให้ชนะ แต่ต้องเรียนรู้ว่าเมื่อไหร่ควรแข่งขัน และเมื่อไหร่ควรร่วมมือเพื่อสร้างระบบที่มีผลรวมเป็นบวก


ถ้อยคำจากหนังสือที่สะท้อนแนวคิด



"Life is not a matter of holding good cards, but of playing a poor hand well." – Robert Louis Stevenson

นี่คือคำพูดที่สะท้อนถึงเกมชีวิตได้อย่างลึกซึ้ง เราอาจไม่ได้เกิดมาพร้อมไพ่ที่ดีที่สุด แต่เราสามารถเล่นไพ่ในมือของเราให้เกิดประโยชน์สูงสุดได้เสมอ

คำพูดนี้เปรียบเทียบชีวิตกับเกมไพ่ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของโอกาสและการตัดสินใจในชีวิตจริง

การถือไพ่ vs. การเล่นไพ่

  • การ "ถือไพ่ดี" หมายถึงการมีต้นทุนชีวิตที่ดี เช่น ฐานะดี การศึกษา โอกาส หรือพรสวรรค์
  • แต่สิ่งสำคัญกว่าคือ "การเล่นไพ่" หรือวิธีที่เราใช้สิ่งที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด

แม้เราจะได้รับไพ่ที่ไม่ดี หรือเผชิญอุปสรรค แต่หากมีปัญญา ความพยายาม และมุมมองที่ถูกต้อง ก็สามารถพลิกสถานการณ์ให้เป็นประโยชน์ได้

แนวคิดหลักที่สะท้อนจากคำพูดนี้

  1. การยอมรับความเป็นจริง – เราไม่สามารถเลือกไพ่ที่ได้รับ แต่เลือกวิธีเล่นมันได้
  2. การใช้ปัญญาและไหวพริบ – การเล่นไพ่ให้ดีต้องอาศัยการวางแผนและกลยุทธ์
  3. การปรับตัวและมองหาโอกาส – แม้ไพ่จะดูแย่ แต่ถ้าเล่นถูกจังหวะ ก็อาจพลิกเกมได้
  4. การไม่ย่อท้อต่อโชคชะตา – อย่าปล่อยให้ข้อจำกัดมาหยุดยั้งการเติบโตของตัวเอง

สุดท้าย ชีวิตไม่ใช่เรื่องของ "สิ่งที่เราได้รับ" แต่เป็น "วิธีที่เราจัดการกับมัน" 🃏✨


ตัวอย่างจากกีฬา: เทคนิค "โรลวิธเดอะพันช์" (Roll with the Punch)



ในกีฬาชกมวย มีเทคนิคหนึ่งที่เรียกว่า "Roll with the Punch" หรือการเคลื่อนที่ตามแรงหมัดของคู่ต่อสู้แทนที่จะต่อต้านตรงๆ เทคนิคนี้ช่วยลดแรงปะทะและป้องกันไม่ให้ตัวเองได้รับบาดเจ็บหนัก

ชีวิตก็ไม่ต่างกัน บางครั้งแทนที่จะต่อต้านโลก เราต้องเรียนรู้ที่จะปรับตัวและเปลี่ยนแปลงตามจังหวะของมัน หลีกเลี่ยงการต่อต้านที่ไม่จำเป็นและเปลี่ยนแรงกระแทกให้เป็นพลังของตัวเอง

Roll with the Punch: ศิลปะแห่งการปรับตัวในชีวิต

ในกีฬาชกมวย เทคนิค "Roll with the Punch" คือการเคลื่อนตัวไปตามแรงหมัดของคู่ต่อสู้ แทนที่จะยืนรับแรงปะทะตรงๆ วิธีนี้ช่วยลดแรงกระแทกและป้องกันไม่ให้บาดเจ็บหนัก มันไม่ได้หมายถึงการยอมแพ้ แต่คือการใช้จังหวะและไหวพริบเพื่อลดผลกระทบจากสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

ชีวิตเองก็เป็นเวทีที่เต็มไปด้วย "หมัด" จากสิ่งที่ควบคุมไม่ได้—อุปสรรค การเปลี่ยนแปลง ความล้มเหลว หรือแม้แต่ความผิดหวังจากคนรอบตัว หากเราเลือกที่จะต่อต้านทุกสิ่งแบบแข็งกร้าว ผลที่ได้อาจเป็นความบอบช้ำ ทั้งทางร่างกายและจิตใจ แต่ถ้าเราเรียนรู้ที่จะปรับตัว ยืดหยุ่น และเคลื่อนไหวไปตามแรงปะทะ เราสามารถเปลี่ยนแรงกระแทกให้กลายเป็นพลังของเราเอง

เปลี่ยนหมัดให้เป็นจังหวะชีวิต

  • เมื่อเผชิญกับความล้มเหลว แทนที่จะจมอยู่กับความผิดหวัง ให้เรียนรู้จากมันและใช้เป็นแรงส่งไปข้างหน้า
  • เมื่อต้องเผชิญกับคำวิจารณ์หรือความไม่เข้าใจ อย่าปล่อยให้มันทำลายตัวตนของเรา แต่ให้ใช้มันเป็นโอกาสในการพัฒนา
  • ในความสัมพันธ์และการทำงาน บางครั้งการเผชิญหน้าตรงๆ อาจไม่ใช่ทางออกที่ดีที่สุด แต่การเข้าใจจังหวะของสถานการณ์และหาทางเคลื่อนไหวไปกับมัน อาจทำให้เราหลุดพ้นจากปัญหาได้ง่ายขึ้น

ยืดหยุ่น แต่ไม่ยอมแพ้
"Roll with the Punch" ไม่ได้หมายถึงการปล่อยให้ชีวิตพัดพาไปตามยถากรรม แต่มันคือการรู้จักเล่นกับจังหวะของโลก ไม่แข็งกระด้างจนหักพัง และไม่อ่อนแอจนสูญเสียตัวเองไป

สุดท้ายแล้ว ชีวิตก็เหมือนการชกมวย เราไม่สามารถควบคุมทุกหมัดที่พุ่งเข้ามาได้ แต่เราสามารถเลือกวิธีรับมือได้ อยู่ที่ว่าเราจะรับหมัดตรงๆ หรือจะหมุนตัว เปลี่ยนแรงกระแทกให้กลายเป็นพลังของตัวเอง


บุคคลที่เป็นแรงบันดาลใจ: นิกโกลา เทสลา (Nikola Tesla)

หากกล่าวถึงปัญญาชนที่ต่อสู้ในโลกแห่งเกมซัมซิโร่ คงไม่มีใครเหมาะไปกว่า นิกโกลา เทสลา ชายผู้ถูกทอดทิ้งจากระบบเศรษฐกิจที่เขาไม่ได้เข้าใจดีพอ เขาคิดค้นไฟฟ้ากระแสสลับ แต่ต้องพ่ายแพ้ต่ออำนาจทางธุรกิจของโธมัส เอดิสัน เทสลาเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่เต็มไปด้วยความอัจฉริยะ แต่เขาไม่ได้เล่นเกมทางธุรกิจอย่างชาญฉลาดพอ และสุดท้ายต้องจบชีวิตลงด้วยความโดดเดี่ยว

นี่เป็นตัวอย่างของปัญญาชนที่ไม่ได้เข้าใจว่าโลกของการแข่งขันต้องใช้กลยุทธ์อย่างไร หากเขามองเกมนี้เป็นเกมเชิงกลยุทธ์มากกว่าความมุ่งมั่นทางวิทยาศาสตร์เพียงอย่างเดียว บางทีโลกอาจจดจำเขาได้มากกว่านี้ในช่วงชีวิตของเขา

ปัญญาชนกับเกมแห่งการแข่งขัน: กรณีศึกษาของนิกโกลา เทสลา

หากกล่าวถึงบุคคลที่เป็นตัวแทนของความอัจฉริยะอันบริสุทธิ์แต่มิอาจเอาชนะในสนามแข่งขันแห่งโลกธุรกิจได้ คงไม่มีใครเหมาะสมไปกว่านิกโกลา เทสลา ชายผู้คิดค้นไฟฟ้ากระแสสลับ อุปกรณ์วิทยุ และแนวคิดการส่งพลังงานไร้สาย แต่กลับต้องพ่ายแพ้ต่ออำนาจทางธุรกิจและกลยุทธ์การตลาดของคู่แข่งอย่างโธมัส เอดิสัน และนักลงทุนในยุคนั้น นี่คือตัวอย่างของนักวิทยาศาสตร์ที่มุ่งมั่นในการสร้างนวัตกรรม แต่ไม่ได้เข้าใจว่าโลกของการแข่งขันต้องอาศัยมากกว่าเพียงแค่ความคิดสร้างสรรค์

เทสลา: ผู้สร้างสรรค์ที่พ่ายแพ้ต่อเกมธุรกิจ

แม้ว่าเทสลาจะเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่มีอัจฉริยภาพ แต่เขากลับไม่สามารถแปรเปลี่ยนความรู้และสิ่งประดิษฐ์ของเขาให้กลายเป็นความมั่งคั่งและความสำเร็จในระดับเดียวกับคู่แข่งของเขา นั่นเป็นเพราะเขาเชื่อในความบริสุทธิ์ของวิทยาศาสตร์มากกว่าการเล่นเกมทางธุรกิจ ซึ่งเป็นข้อแตกต่างสำคัญระหว่างเขากับเอดิสัน

โธมัส เอดิสัน ไม่เพียงแต่เป็นนักประดิษฐ์เท่านั้น แต่เขายังเป็นนักธุรกิจที่เข้าใจระบบทุนนิยมและการแข่งขันในตลาดเป็นอย่างดี เขาใช้กลยุทธ์ทางการตลาด การสร้างแบรนด์ และการเข้าถึงแหล่งเงินทุนเพื่อผลักดันผลิตภัณฑ์ของตนเองให้ได้รับการยอมรับ ขณะที่เทสลาในช่วงหนึ่งถึงกับยกเลิกสิทธิบัตรของตนเองเพื่อให้เทคโนโลยีของเขาถูกนำไปใช้ได้อย่างแพร่หลาย โดยไม่ได้คำนึงถึงผลกระทบต่อสถานะทางการเงินของตนเอง

บทเรียนจากเทสลา: อัจฉริยะอย่างเดียวไม่พอ

กรณีของเทสลาเป็นบทเรียนสำคัญว่าความสามารถทางปัญญาเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอในโลกของการแข่งขัน นักคิด นักวิทยาศาสตร์ และผู้ประกอบการที่มีไอเดียที่ยอดเยี่ยมจำเป็นต้องเข้าใจว่าการตลาด การสร้างเครือข่าย และการจัดการทรัพยากรมีความสำคัญไม่แพ้กัน

  1. การบริหารทรัพย์สินทางปัญญา – เทสลาไม่ได้ให้ความสำคัญกับสิทธิบัตรและการปกป้องผลงานของตนเองมากนัก ในโลกปัจจุบัน นักนวัตกรรมต้องเรียนรู้ที่จะรักษาสิทธิ์ในผลงานของตน เพื่อให้ได้รับประโยชน์จากสิ่งที่พวกเขาคิดค้น

  2. ความเข้าใจด้านธุรกิจและการตลาด – การเป็นอัจฉริยะทางวิทยาศาสตร์เพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอ เทสลาขาดกลยุทธ์การตลาดและความสามารถในการโน้มน้าวนักลงทุน ซึ่งเป็นสิ่งที่มีความสำคัญต่อความสำเร็จของแนวคิดใหม่ๆ

  3. การสร้างเครือข่ายและพันธมิตร – แม้ว่าเทสลาจะมีผู้สนับสนุนบางคน เช่น เจ.พี. มอร์แกน แต่เขากลับขาดเครือข่ายที่มั่นคงในการผลักดันสิ่งประดิษฐ์ของตนให้กลายเป็นกระแสหลัก ในขณะที่เอดิสันมีความสามารถในการสร้างพันธมิตรที่แข็งแกร่งในอุตสาหกรรม

ปัญญาชนกับเกมซัมซิโร่

ในเชิงกลยุทธ์ โลกของการแข่งขันไม่ได้มีเพียง "ผู้คิดค้น" แต่ยังรวมถึง "ผู้เล่นเกม" ที่เข้าใจว่าการอยู่รอดในสนามแข่งขันนั้นต้องการอะไรมากกว่าความอัจฉริยะ ปัญญาชนที่ต้องการเปลี่ยนแปลงโลกจำเป็นต้องเรียนรู้จากกรณีของเทสลา ไม่ใช่แค่ในแง่ของความอัจฉริยะ แต่ยังรวมถึงบทเรียนเกี่ยวกับการนำเสนอผลงาน การรักษาสิทธิ์ของตน และการนำพาตัวเองเข้าสู่สนามแข่งขันอย่างมีประสิทธิภาพ

หากเทสลามองโลกเป็น "เกมแห่งกลยุทธ์" มากกว่าการอุทิศตนเพื่อวิทยาศาสตร์เพียงอย่างเดียว บางทีเขาอาจได้รับการยอมรับและประสบความสำเร็จในช่วงชีวิตของเขามากกว่าที่เป็นอยู่ โลกอาจจดจำเขาได้มากกว่าคำว่า "อัจฉริยะผู้ถูกลืม" แต่เป็น "ผู้บุกเบิกที่ได้รับชัยชนะ"


ทำอย่างไรเมื่อให้ใจไปหมด แต่ถูกมองข้าม



บางครั้งเราทุ่มเทแรงกายแรงใจให้บางสิ่งบางคนจนหมดตัว แต่สุดท้ายเราไม่ได้รับสิ่งที่เราคิดว่าเราควรได้รับ วิธีที่ดีที่สุดที่จะมองเรื่องนี้อย่างแฟร์ต่อทั้งตัวเองและอีกฝ่ายคือ:

  1. เข้าใจว่าโลกนี้ไม่ได้มีแต่เกมซัมซิโร่ – ไม่ใช่ทุกความสัมพันธ์ต้องมีผู้แพ้หรือผู้ชนะ

  2. รักษาคุณค่าของตัวเอง – การที่อีกฝ่ายไม่เห็นคุณค่าของเราไม่ได้แปลว่าเราจะไร้ค่า

  3. เรียนรู้จากมัน แล้วเดินหน้าต่อ – จงถือว่าความเจ็บปวดครั้งนี้เป็นบทเรียนและใช้มันเป็นพลังในการสร้างสิ่งใหม่

  4. เข้าใจว่าอารมณ์มนุษย์ซับซ้อน – บางครั้งเราอาจเข้าใจผิดว่าถูกหลอกใช้ ทั้งที่จริงแล้วอีกฝ่ายอาจไม่ได้มีเจตนาไม่ดี

  5. ปรับมุมมองต่อความสัมพันธ์ – บางสิ่งที่เราให้ไป อาจไม่ได้รับกลับมาในรูปแบบที่เราคาดหวัง และนั่นอาจไม่ใช่ความผิดของใครเลย

เราอาจทำสิ่งหนึ่งเพราะแรงขับเคลื่อนจากเสน่ห์หา แต่สุดท้ายสิ่งที่ได้รับกลับมาเป็นเพียงเศษเสี้ยวของความรู้สึก หรือเพียงแค่ความเห็นใจ นั่นไม่ได้หมายความว่าเราผิดหรือพลาด สิ่งสำคัญคือเราได้เรียนรู้ว่าใครเห็นคุณค่าในตัวเรา และใครที่ไม่ใช่


ทางเลือกของปัญญาชน

ซัมซีโร่ในมุมมองของมิตรภาพ: เมื่อการให้กลายเป็นการเสียเปรียบ

โดยปกติแล้ว "เกมซัมซีโร่" (Zero-Sum Game) มักถูกอธิบายในบริบทของการแข่งขัน การเมือง หรือเศรษฐศาสตร์ แต่หากนำมาใช้ในความสัมพันธ์ส่วนตัว เช่น มิตรภาพหรือความรัก มันสามารถสะท้อนถึงสถานการณ์ที่ฝ่ายหนึ่ง “ให้” โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน แต่สุดท้ายกลับกลายเป็นการสูญเสียฝ่ายเดียว

ลองจินตนาการว่า คุณให้โดยไม่มีเงื่อนไข — ทั้งความรัก ความหวังดี ความช่วยเหลือ หรือความจริงใจ แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือความเฉยชา การหลอกใช้ หรือแม้กระทั่งการถูกเอาเปรียบ ในแง่นี้ เกมอาจไม่ได้เป็นศูนย์เพราะทุกฝ่ายได้รับประโยชน์เท่ากัน แต่เป็นศูนย์เพราะฝ่ายหนึ่งเสียไปทั้งหมดโดยไม่มีโอกาสได้คืน


คิดยังไงให้ "แฟร์" ต่ออีกฝ่าย?

1. เปลี่ยนกรอบคิดจาก "ซัมซีโร่" เป็น "เกมผลรวมไม่เป็นศูนย์" (Non-Zero-Sum Game)

ในซัมซีโร่ดั้งเดิม ทุกการสูญเสียของคุณคือกำไรของอีกฝ่าย แต่หากลองมองในอีกมุมหนึ่ง คุณอาจพบว่าการให้ของคุณอาจไม่ได้ไร้ค่าเสมอไป บางทีสิ่งที่คุณให้ไปอาจไม่ได้เกิดประโยชน์ทันที หรืออาจเปลี่ยนแปลงรูปแบบของคุณค่าที่ส่งต่อไปสู่สิ่งอื่นในอนาคต

แม้บางครั้งคนอื่นจะหลอกใช้คุณ แต่คุณก็ยังได้เรียนรู้ เข้าใจตัวเอง และพัฒนาความสามารถในการเลือกคนที่จะให้พลังงานและความรู้สึกของคุณในอนาคต

2. เข้าใจว่า “ให้” ไม่จำเป็นต้องหมายถึง “เสีย”

ถ้าคุณมองว่าทุกสิ่งที่คุณให้ไปเป็นการลงทุนทางอารมณ์ที่ควรได้รับผลตอบแทน คุณจะรู้สึกขาดทุนเมื่อมันไม่เป็นไปตามคาด แต่ถ้าคุณมองว่าการให้คือกระบวนการหนึ่งของชีวิต คุณจะไม่ยึดติดกับผลลัพธ์ที่ได้รับกลับมา

แทนที่จะคิดว่า "ฉันเสียเวลาและความรู้สึกไปฟรีๆ", ลองเปลี่ยนเป็น "ฉันเลือกที่จะให้ เพราะฉันเป็นคนที่มีความรักและความจริงใจ" แม้ว่าจะไม่ถูกตอบแทนก็ตาม คุณค่าของคุณไม่ได้ลดลงเพียงเพราะอีกฝ่ายไม่ได้ตอบกลับมาอย่างที่คุณหวัง

3. ยอมรับว่า “คนบางคน” ไม่ได้เล่นเกมเดียวกับคุณ

บางครั้งเราหวังให้คนอื่นคิดแบบเดียวกับเรา เช่น ถ้าเราทุ่มเทให้ พวกเขาควรจะซาบซึ้งและให้กลับมาบ้าง แต่โลกไม่ได้ทำงานแบบนั้นเสมอไป บางคนอาจไม่ได้ให้ค่ากับสิ่งที่คุณให้ หรืออาจเล่นเกมที่ต่างออกไป เช่น พวกเขาอาจมองหาผลประโยชน์มากกว่าความจริงใจ

แทนที่จะโกรธหรือเสียใจ ลองพิจารณาว่า "พวกเขาแค่เป็นแบบนั้น" และคุณมีสิทธิ์เลือกที่จะไม่เล่นเกมนี้ต่อ

4. กำหนดขอบเขตเพื่อปกป้องตัวเอง

ความจริงใจและการให้เป็นสิ่งที่ดี แต่ก็ต้องมีขอบเขตเพื่อป้องกันตัวเองจากการถูกหลอกใช้ ถ้าคุณเริ่มรู้สึกว่า "ฉันให้โดยไม่มีวันได้รับอะไรกลับมาเลย" มันอาจถึงเวลาที่ต้องหยุดและตั้งคำถามกับตัวเองว่า "ฉันยังอยากให้ต่อไปไหม?"

การให้อย่างไม่มีเงื่อนไขไม่ผิด แต่คุณมีสิทธิ์เลือกว่าจะให้ใคร และในระดับไหน อย่าปล่อยให้ตัวเองถูกใช้จนหมดพลัง


สรุป: ความแฟร์ในมิตรภาพที่ไม่สมดุล

ความแฟร์ไม่ได้หมายถึงการที่อีกฝ่ายต้องให้กลับมาเท่ากับที่คุณให้เสมอไป แต่มันหมายถึงการที่คุณต้องแฟร์กับตัวเองก่อน ถ้าคุณเลือกที่จะให้ จงให้ด้วยความเต็มใจ ไม่ใช่เพราะหวังผลตอบแทน และถ้าคุณรู้สึกว่าอีกฝ่ายใช้คุณเป็นเครื่องมือโดยไม่ให้คุณค่าใดๆ มันก็แฟร์ที่คุณจะเลือกเดินออกมาเช่นกัน

เกมซัมซีโร่ในมิตรภาพมีอยู่จริง แต่สุดท้ายแล้ว คุณสามารถเปลี่ยนเกมนี้ให้เป็นเกมที่คุณยังคงมีคุณค่าอยู่เสมอ — โดยไม่ยอมให้ใครมากำหนดคุณค่าของคุณแทนตัวคุณเอง

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม