สังคมไทยกับกับดักของ "ความดี" ที่ต้องสร้างภาพ
สังคมไทยกับกับดักของ "ความดี" ที่ต้องสร้างภาพ
มึงเคยสังเกตไหมว่าในสังคมไทย ใครที่ "ดูดี" กว่ามักจะได้เปรียบเสมอ ไม่ว่ามันจะดีจริงหรือเปล่าไม่สำคัญ แต่ขอให้ "ดูดี" ไว้ก่อนเป็นพอ เพราะอะไร? เพราะสังคมนี้ไม่ได้ให้รางวัลกับ "ความถูกต้อง" หรือ "ความจริงใจ" แต่มันให้รางวัลกับ "ภาพลักษณ์" และ "ความถูกใจ" ของคนหมู่มาก
มึงเคยเห็นไหม คนที่พูดในสิ่งที่ตัวเองคิดจริงๆ อย่างตรงไปตรงมา กลับโดนหาว่า "แรงไป" หรือ "พูดไม่คิด" แต่พวกที่เสแสร้งแสร้งทำดีต่อหน้าคนอื่น แต่เบื้องหลังแม่งเหี้_กว่าที่คิด กลับได้รับการยอมรับจากสังคมมากกว่า เพราะอะไร? เพราะเราอยู่ในสังคมที่สนใจแค่ "เปลือก" และตัดสินกันจาก "ความคุ้นเคย" ไม่ใช่ "เหตุผล"
ถ้ามึงไม่เหมือนคนส่วนใหญ่ แปลว่ามึงผิด?
สังคมไทยเป็นสังคมที่รักความสามัคคีแบบผิดๆ คือถ้ามึงคิดต่างจากกรอบที่เขากำหนดไว้ มึงจะกลายเป็น "ตัวปัญหา" ไปเลยทันที ลองพูดอะไรที่ขัดใจคนหมู่มากสิ มึงจะโดนด่า โดนแบน โดนไล่ให้ไปอยู่ประเทศอื่น ทั้งๆ ที่การมีความคิดหลากหลายแม่งควรเป็นเรื่องปกติของสังคมที่เจริญแล้ว
ทำไมเราถึงต้องเห็นตรงกัน? คำตอบง่ายๆ คือ เพราะสังคมไทย "กลัวความขัดแย้ง" จนไม่กล้าเผชิญกับมัน เราถูกปลูกฝังให้คิดว่า "การขัดแย้ง = ความวุ่นวาย" ทั้งที่ความจริงแล้ว การขัดแย้งกันอย่างมีเหตุผลคือสิ่งที่ทำให้เกิดการพัฒนา มันทำให้เรามองเห็นมุมใหม่ๆ ที่เราไม่เคยนึกถึงมาก่อน
แต่สังคมนี้กลับเลือกทางลัดที่ง่ายกว่า นั่นคือ "ถ้ามึงคิดไม่เหมือนกู งั้นมึงผิด" ซึ่งนั่นแหละคือเหตุผลว่าทำไมคนที่พูดตรงๆ หรือเป็นตัวของตัวเองมากๆ มักจะถูกผลักออกจากวงสนทนา หรือแม้แต่ถูกตราหน้าว่า "ตัวปัญหา"
แล้วมึงจะทำยังไง?
-
อย่ากลัวการเป็นตัวเอง – เพราะสุดท้ายแล้ว ต่อให้มึงพยายามทำให้ทุกคนพอใจ มันก็ไม่มีทางเป็นไปได้อยู่ดี ถ้ามึงต้องเลือก ระหว่างถูกสังคมยอมรับแต่ต้องเฟคไปตลอดชีวิต กับเป็นตัวของตัวเองแล้วถูกคนบางกลุ่มไม่ชอบ กูว่าอย่างหลังแม่งโคตรคุ้ม
-
เลือกเถียงให้ถูกที่ถูกทาง – คนบางคนแม่งไม่ต้องการ "เหตุผล" แต่มันต้องการ "ความพอใจ" ของตัวเอง ถ้ามึงไปเถียงกับคนพวกนี้ มึงจะเสียเวลาเปล่า ใช้พลังกับคนที่พร้อมจะฟังดีกว่า
-
สร้างพื้นที่ของตัวเอง – ถ้าสังคมใหญ่แม่งโง่และไม่ยอมรับความจริง มึงก็สร้างกลุ่มของมึงเอง สร้างวงที่ให้คุณค่ากับความคิดที่หลากหลาย เพราะสุดท้ายแล้ว "คนที่ใช่" จะอยู่กับมึงเองโดยไม่ต้องไปวิ่งตามใคร
"พูดตรง" ไม่เท่ากับ "หยาบคาย" แต่ "พูดหยาบ" ก็ไม่ได้แปลว่า "จริงใจ"
กูมึง กูมึง แล้วไง? คนชอบคิดว่าพูดจาหยาบคายเท่ากับ "จริงใจ" เพราะมันฟังดูตรงไปตรงมา แต่จริงๆ แล้วความจริงใจไม่ได้อยู่ที่ "คำพูด" แต่มันอยู่ที่ "เจตนา" ที่มึงพูดต่างหาก
มึงเคยเห็นคนที่พูดหยาบแต่แทงข้างหลังไหม? หรือเคยเจอคนที่พูดจาสุภาพแต่โคตรจริงใจหรือเปล่า? คำหยาบเป็นแค่ "ภาษาหนึ่ง" ที่สื่อสารแบบตรงไปตรงมาได้เร็วขึ้น ไม่ได้แปลว่าใช้แล้วจะทำให้มึงเป็นคนจริงใจขึ้นมาแบบอัตโนมัติ
ภาษาคือเครื่องมือ ไม่ใช่ตัวตัดสินความจริงใจ
คนเราชอบตีค่าคำพูดมากกว่าความหมายที่อยู่ข้างใน เช่น ถ้ามึงพูดว่า "กูไม่โอเคเลยว่ะ มึงทำงี้มันเหี้ยเกินไป" คนจะมองว่ามึง "โคตรจริงใจ" เพราะมึงพูดตรงๆ ใช้คำแรง แต่ถ้ามึงพูดว่า "เราคิดว่าการทำแบบนี้มันไม่แฟร์เลยนะ" คนบางกลุ่มอาจมองว่ามึง "ดัดจริต" หรือ "โลกสวย" ทั้งที่ไอ้สองประโยคนั้นแม่งสื่อสารความหมายเดียวกัน
นั่นแปลว่าอะไร? นั่นแปลว่า "ภาษามีผลต่อการรับรู้ของคนฟัง" แต่ไม่ได้เป็นตัวชี้วัดความจริงใจของมึงเลยสักนิดเดียว
แล้วทำไมภาษาหยาบถึงสื่อถึงความตรงไปตรงมาได้ดี?
เพราะมันไม่มี "มารยาท" มาบัง ไม่ต้องอ้อมค้อม ไม่ต้องหาคำพูดให้ดูดี มันสื่อสารแบบดิบๆ ตรงๆ ทำให้ฟังดู "ของแท้" มากกว่าภาษาที่ต้องผ่านกระบวนการปรุงแต่ง แต่ถึงอย่างนั้น ภาษาหยาบคายก็ยังเป็นแค่ "รูปแบบการพูด" ไม่ใช่ "หลักฐานของความจริงใจ"
บางคนพูดจาหยาบโลนแต่แม่งเสแสร้งสุดๆ บางคนพูดจานุ่มนวลแต่จริงใจกว่าที่คิด ฉะนั้น ถ้ามึงคิดว่าคนที่พูดกูมึงแม่งโคตรจริงใจโดยอัตโนมัติ มึงกำลังตกหลุมพรางของ "รูปแบบ" มากกว่า "เนื้อหา"
สรุปง่ายๆ สั้นๆ:
- พูดหยาบไม่เท่ากับจริงใจ
- พูดสุภาพไม่เท่ากับเฟค
- ความจริงใจดูที่ "ความหมาย" และ "การกระทำ" ไม่ใช่แค่ "คำพูด"
ภาษามันเป็นแค่ "เครื่องมือ" เท่านั้น อย่าหลงใช้มันเป็น "ตัวตัดสิน" คน
สรุป: โลกไม่ได้ต้องการ "ความเหมือน" แต่มันต้องการ "ความคิด"
ถ้าใครพยายามให้มึง "เห็นตรงกัน" กับทุกคน มึงควรสงสัยก่อนว่า ทำไมวะ? ความเห็นต่างมันไม่น่ากลัวหรอก ที่น่ากลัวคือคนที่ไม่คิดอะไรเลยแต่แค่ทำตามๆ กันไป เพราะนั่นแหละที่ทำให้สังคมหยุดอยู่กับที่
มึงจะเลือกเป็นแบบไหน? ตัวเองหรือแค่เงาสะท้อนของความพอใจของคนอื่น?
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น