เรื่องยาว:มะรุมมะตุ้มเบลอรักหนุ่ม OCD (20 ตอนรวดเดียวจบ อีดิทแล้วอ่านได้ยาวๆทีเดียว)





### **คาแรคเตอร์: พีท (Piet)**

---

### **🛠 ข้อมูลพื้นฐาน**
- **ชื่อจริง:** ปริญญ์ วรากูล (Parin Warakul)
- **ชื่อเล่น:** พีท (Piet)
- **อายุ:** 21 ปี (ปี 3)
- **วันเกิด:** 5 มิถุนายน
- **คณะ/สาขา:** สถาปัตยกรรมศาสตร์ ภาควิชาผังเมือง
- **ส่วนสูง/น้ำหนัก:** 180 ซม. / 72 กก.
- **ลักษณะภายนอก:** ผิวสองสี ผมสีน้ำตาลเข้ม ตาตี่นิดๆ ดูเหมือนคนกวนประสาทตลอดเวลา หุ่นดีเพราะเล่นบาส
- **กรุ๊ปเลือด:** O
- **นิสัยหลัก:** ขี้เล่น กวนประสาท ใจดี อดทนแต่ไม่แสดงออกว่าซีเรียส
- **งานอดิเรก:** เล่นบาส ถ่ายวิดีโอ Vlog แกะของเล่นกลไก
- **สีที่ชอบ:** สีฟ้าน้ำทะเล

---

### **🎭 บุคลิกและลักษณะนิสัย**
✅ **ขี้เล่น กวน แต่รู้ขอบเขต**
- พีทเป็นคนที่ชอบแหย่คนอื่น โดยเฉพาะมินท์ เพราะชอบเห็นเวลามินท์ทำหน้าหงุดหงิด
- ถึงจะกวนแต่ก็ไม่เคยก้าวล้ำเส้น ไม่เคยทำให้ใครรู้สึกแย่จริงๆ
- เวลามินท์มีโมเมนต์เผลอหลุด น่ารักๆ พีทจะจดจำไว้แล้วแซวทีหลัง

✅ **อบอุ่น ใจดี และปกป้องคนที่ตัวเองรัก**
- ถึงจะทำเป็นเล่นๆ แต่พีทเป็นคนที่ใส่ใจคนรอบข้างมาก
- เวลามินท์เผลอลืมพกแอลกอฮอล์ล้างมือ พีทจะยื่นให้แบบเนียนๆ
- ถ้ามีใครพูดจาไม่ดีเกี่ยวกับมินท์ พีทจะหาเรื่องเบี่ยงเบนให้ทันที

✅ **อดทนและพยายามเพื่อคนที่ชอบ**
- พีทรู้ว่ามินท์มี OCD และเข้าใจว่าการปรับตัวต้องใช้เวลา
- พีทเรียนรู้ว่าต้องปรับตัวอย่างไรเพื่อให้มินท์สบายใจ เช่น เวลาจะแตะตัวต้องล้างมือก่อน
- แม้มินท์จะเย็นชาใส่ แต่พีทก็ไม่ถอย

✅ **ดูเหมือนไม่แคร์อะไร แต่จริงๆ ซีเรียสมาก**
- คนอื่นมองว่าพีทเป็นคนเรื่อยๆ ชิลๆ ไม่มีอะไรซีเรียส
- แต่จริงๆ พีทเป็นคนคิดเยอะ โดยเฉพาะเรื่องความรู้สึกของมินท์

---

### **💡 พื้นเพและครอบครัว**
- พีทเป็นลูกคนกลาง มีพี่ชาย 1 คน และน้องสาว 1 คน
- ครอบครัวทำธุรกิจเครื่องกล พ่ออยากให้พีทรับช่วงต่อ แต่พีทยังไม่แน่ใจ
- โตมาในครอบครัวที่ไม่ค่อยพูดหวาน แต่แสดงความรักผ่านการกระทำ
- เลยติดนิสัยแสดงความรู้สึกผ่านการดูแลมากกว่าพูดตรงๆ

---

### **❤️ มุมมองความรัก**
- พีทเป็นพวกชอบแกล้งคนที่ชอบ
- แอบชอบมินท์มานาน แต่ไม่กล้าบอก เพราะรู้ว่ามินท์เป็นคนที่เข้าถึงยาก
- ไม่ได้ต้องการให้มินท์เปลี่ยน แต่แค่อยากเป็น "ข้อยกเว้น" ของมินท์
- เชื่อว่าความรักไม่ต้องหวือหวา แค่ได้อยู่ด้วยกันไปเรื่อยๆ ก็พอ


---

### **สรุปจุดเด่นของพีท**
✅ **ขี้เล่น กวนประสาท แต่รู้จังหวะ**
✅ **อบอุ่นและใส่ใจ โดยไม่ต้องพูดเยอะ**
✅ **อดทนและพยายามเพื่อคนที่ชอบ**
✅ **แสดงออกผ่านการกระทำ มากกว่าคำพูด**

---

💙 **"พีทไม่ต้องการให้มินท์เปลี่ยน แค่อยากเป็นข้อยกเว้นของมินท์"**

### **คาแรคเตอร์: มินท์ (Mint)**

---

### **📌 ข้อมูลพื้นฐาน**
- **ชื่อจริง:** นราวิชญ์ ภูริณัฐ (Narawit Phurinat)
- **ชื่อเล่น:** มินท์ (Mint)
- **อายุ:** 21 ปี (ปี 3)
- **วันเกิด:** 2 ธันวาคม
- **คณะ/สาขา:** คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ ภาควิชาสถาปัตยกรรมภายใน (หลักสูตรอินเตอร์)
- **ส่วนสูง/น้ำหนัก:** 176 ซม. / 64 กก.
- **ลักษณะภายนอก:** ผิวขาวจัด ผมสีดำสนิท ตัดสั้นเรียบร้อย ใส่แว่นบางครั้ง เวลาจริงจังหน้าจะดูดุมาก
- **กรุ๊ปเลือด:** A
- **นิสัยหลัก:** เจ้าระเบียบ รักสะอาด พูดน้อยแต่พูดจริง ไม่ชอบความวุ่นวาย
- **งานอดิเรก:** วาดภาพสเก็ตช์ อ่านหนังสือ ดูสารคดีเกี่ยวกับเมืองและสถาปัตยกรรม
- **สีที่ชอบ:** สีเทาอ่อน

---

### **🎭 บุคลิกและลักษณะนิสัย**
✅ **เจ้าระเบียบ และมี OCD เรื่องความสะอาด**
- ทุกอย่างรอบตัวต้องเป็นระเบียบ ของต้องอยู่ในที่ของมัน
- โต๊ะทำงานสะอาดสุดๆ ใครมายุ่งแล้ววางของผิดที่คือหงุดหงิด
- ชอบใช้แอลกอฮอล์เช็ดมือ เช็ดโทรศัพท์ เช็ดโต๊ะก่อนใช้งาน
- ไม่ชอบให้ใครแตะต้องตัว ถ้าไม่ได้สนิทกันจริงๆ

✅ **พูดน้อย แต่ถ้าพูดคือจริงจัง**
- ไม่ใช่คนชอบพูดมาก และไม่พูดเล่นพร่ำเพรื่อ
- แต่เวลาพูดอะไรจะชัดเจน ไม่เวิ่นเว้อ
- ถ้ารำคาญใครจะใช้สายตามองนิ่งๆ มากกว่าพูดไล่

✅ **รักสงบ ไม่ชอบความวุ่นวาย**
- ไม่ชอบที่คนเยอะๆ และเสียงดัง ถ้าต้องไปก็จะหลบมุมเงียบๆ
- เวลาทำงานต้องมีสมาธิ ไม่ชอบให้ใครรบกวน
- ถ้าเจอคนที่เสียงดังมากๆ จะเบือนหน้าหนี

✅ **แอบใส่ใจ แต่ไม่พูดออกมาตรงๆ**
- ถึงจะไม่พูดหวาน ไม่แสดงออกชัดเจน แต่เป็นคนที่สังเกตและจำรายละเอียดของคนใกล้ตัวได้ดี
- ถ้ารู้ว่าพีทไม่ชอบกินเผ็ด ก็จะเผื่อเมนูที่ไม่เผ็ดไว้ แต่ทำเป็นบังเอิญสั่งมาเฉยๆ
- ถ้าเห็นพีทลืมของอะไร ก็จะเก็บไว้ให้ แล้วโยนให้แบบเนียนๆ

✅ **ปากแข็ง แต่จริงๆ ก็มีมุมอ่อนโยน**
- เวลาถูกแซวจะทำเป็นเมิน หรือเถียงกลับสั้นๆ
- ถ้ามีคนมาขอความช่วยเหลือ จะทำเป็นบ่นว่า "ยุ่งยาก" แต่สุดท้ายก็ช่วยอยู่ดี
- แม้จะดูเป็นคนเย็นชา แต่ถ้าเห็นคนเดือดร้อนจะเข้าไปช่วยเสมอ

---

### **💡 พื้นเพและครอบครัว**
- เป็นลูกชายคนเดียวของครอบครัวที่ค่อนข้างเคร่งครัด
- พ่อแม่เป็นนักธุรกิจ ต้องการให้มินท์เป็นคนสมบูรณ์แบบ
- โตมาแบบถูกคาดหวังสูง เลยชินกับการทำทุกอย่างให้เป๊ะ
- แทบไม่เคยมีเพื่อนสนิทจริงๆ เพราะคนรอบตัวมองว่าเข้าถึงยาก

---

### **❤️ มุมมองความรัก**
- ไม่เคยมีแฟน และไม่เคยคิดเรื่องความรักจริงจัง
- มองว่าความสัมพันธ์ต้องมีพื้นที่ส่วนตัว ไม่ชอบคนที่เข้ามาวุ่นวายกับชีวิตมากเกินไป
- ถึงจะขี้รำคาญ แต่ถ้ามีใครเข้ามาอยู่ในชีวิตโดยไม่ทำให้รู้สึกอึดอัด มินท์จะเริ่มเปิดใจ
- แม้จะไม่พูดคำหวาน แต่แสดงความรู้สึกผ่านการกระทำ

---

### **สรุปจุดเด่นของมินท์**
✅ **เจ้าระเบียบ รักสะอาดขั้นสุด**
✅ **พูดน้อย แต่แสดงออกผ่านการกระทำ**
✅ **รักสงบ ไม่ชอบความวุ่นวาย**
✅ **แอบใส่ใจ แต่ไม่พูดออกมาตรงๆ**
✅ **ปากแข็ง แต่ใจอ่อนกับคนที่สนิท**

---

🖤 **"มินท์อาจไม่พูดว่าห่วง แต่จะทำให้รู้เองว่าห่วง"**

ตอนที่ 1: ลูกบิดประตูกับแบคทีเรีย 200,000 ตัว

สายลมยามบ่ายพัดผ่านหน้าต่างห้องเรียนสตูดิโอของคณะสถาปัตย์ กลิ่นของกระดาษร่างแบบและหมึกจาง ๆ ลอยอ้อยอิ่งในอากาศ แสงแดดทอดตัวเป็นแนวเฉียงส่องกระทบโต๊ะไม้สีเข้มที่ถูกจัดไว้อย่างเป็นระเบียบ ทุกสิ่งถูกวางเป็นมุม 90 องศาเป๊ะราวกับผ่านการคำนวณมาแล้ว มินท์กำลังตั้งใจเช็ดโต๊ะและของใช้ส่วนตัวด้วยแอลกอฮอล์ ผ้าเช็ดในมือของเขาถูกพับอย่างเรียบร้อย และทุกการเคลื่อนไหวดูเป็นระบบระเบียบจนแทบจะกลายเป็นศิลปะ

พีทยืนพิงกรอบประตู จ้องมองภาพตรงหน้าด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ รู้สึกถูกกระตุ้นให้อยากทดสอบความอดทนของเพื่อนร่วมชั้นที่รักความสะอาดราวกับเป็นนักบวชถือศีลเรื่องสุขอนามัย

“โห นี่มึงจะเช็ดให้โต๊ะมันสะอาดระดับผ่าตัดไตได้เลยปะ?” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงกึ่งล้อเลียน

มินท์ชะงักมือไปเสี้ยววินาที ก่อนจะเหลือบตามองคนพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย “มึงรู้ไหมว่าพื้นผิวโต๊ะทำงานมีแบคทีเรียเฉลี่ยสิบล้านตัวต่อตารางนิ้ว?”

พีททำหน้าเหวอไปเล็กน้อย ราวกับคำพูดนั้นกระแทกเขาเข้าเต็มแรง “ห๊ะ จริงดิ?”

มินท์พยักหน้าช้า ๆ อย่างหนักแน่น “จริง แล้วก็โทรศัพท์มึงนั่นแหละ มีแบคทีเรียเยอะกว่าฝารองนั่งชักโครกสิบเท่า”

พีทเบิกตากว้าง รีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมามองราวกับเพิ่งค้นพบว่าเขาพกแหล่งเพาะเชื้อโรคติดตัวมาทั้งชีวิต “เห้ย แล้วกูจะใช้มันยังไงให้รอดวะ?”

มินท์ถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะหยิบทิชชู่แอลกอฮอล์แล้วยื่นให้ “ล้างมือบ่อย ๆ”

พีทยอมรับมาแบบงง ๆ ก่อนจะยิ้มบาง ๆ “โอเค กูยอมแพ้… มึงนี่มันจริงจังกับความสะอาดชิบหาย”


วันต่อมา ที่โรงอาหารกลางวัน มินท์นั่งอยู่ที่โต๊ะอย่างเป็นระเบียบ เขาหยิบขวดแอลกอฮอล์พกพาขึ้นมาพ่นลงบนมือก่อนจะหยิบช้อนส้อมขึ้นมาใช้อย่างระมัดระวัง ทุกการเคลื่อนไหวเต็มไปด้วยความใส่ใจ และไม่ยอมให้มีช่องว่างสำหรับสิ่งสกปรกใด ๆ

พีทที่นั่งตรงข้ามมองอย่างสนใจ ก่อนจะเอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงหยอกล้อ “มึงเคยลองนั่งกินข้าวแบบไม่ต้องล้างมือก่อนไหม?”

มินท์เงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยสายตาเรียบนิ่ง “ไม่” คำตอบนั้นสั้นและชัดเจนราวกับคำสาบานต่อหลักการแห่งสุขอนามัย

พีทหัวเราะ “แล้วถ้าเกิดมึงต้องกินข้าวกลางป่า ไม่มีน้ำ ไม่มีแอลกอฮอล์ล่ะ?”

มินท์หยุดชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะตอบเรียบ ๆ “กูจะหาวิธีอื่น”

พีทจ้องมองคนตรงหน้าอย่างสนุกสนานมากขึ้นไปอีก การที่มินท์จริงจังกับอะไรขนาดนี้ทำให้เขาอยากแกล้งอีกเล็กน้อย


เย็นวันนั้น ขณะที่พีทกับมินท์เดินกลับหอพัก พีทลองเอื้อมมือไปแตะไหล่มินท์ แต่ทันใดนั้น มินท์กลับเบี่ยงตัวหลบอย่างรวดเร็วและมองเขาด้วยสายตาตำหนิ

“โห ไวจริงนะมึง” พีทหัวเราะเบา ๆ

“มึงไม่ได้ล้างมือ” มินท์กล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง

พีทกระพริบตาสองสามครั้ง “เห้ย กูอาบน้ำแล้วเว้ย มือกูสะอาด”

มินท์เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “มึงจับลูกบิดประตูก่อนออกจากห้อง”

พีทนิ่งไปชั่วอึดใจ ก่อนจะหลุดหัวเราะออกมาเสียงดัง “...มึงแม่ง แพ้เลยว่ะ”


วันต่อมา พีทยื่นขวดน้ำให้มินท์ตอนที่อีกฝ่ายกำลังยุ่งกับการสเก็ตช์งาน เขายิ้มเจ้าเล่ห์เมื่อเห็นว่ามินท์ลังเลจะรับ

“มึงจะกินไหม?”

มินท์เหลือบตามองขวดน้ำก่อนจะถามเสียงเรียบ “มึงจับฝาหรือเปล่า?”

พีทยิ้มกว้าง “ไม่ กูใช้แขนดันมาให้”

มินท์ชะงักไปชั่วครู่ก่อนจะรับขวดไปอย่างเสียไม่ได้ ขณะที่พีทแอบยิ้มให้กับชัยชนะเล็ก ๆ น้อย ๆ ของตัวเอง


ค่ำวันหนึ่ง ฝนตกหนัก พีทกับมินท์ติดอยู่ใต้ชายคาตึก เสียงฝนกระทบพื้นดังก้องไปทั่วบริเวณ มินท์กอดอกมองพื้นถนนที่เปียกแฉะด้วยสีหน้าไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด

“มึงโอเคไหม?” พีทถาม

“กูไม่อยากเดินลุยน้ำ” มินท์ตอบสั้น ๆ

พีทมองไปรอบ ๆ ก่อนจะยิ้มออกมา “งั้นมึงขี่หลังกูไป”

มินท์หันมามองเขาด้วยสายตาสงสัย “…มึงก็เปียกเหมือนกัน”

“แต่มึงจะไม่ต้องเหยียบพื้นไง” พีทยักไหล่ก่อนจะยื่นมือให้

มินท์ลังเลไปชั่วขณะ สุดท้ายก็ถอนหายใจเบา ๆ และยอมขึ้นหลังพีทไปอย่างเสียไม่ได้ พีทยิ้มเล็ก ๆ ขณะที่อุ้มเพื่อนร่วมทางไว้แน่น


เมื่อถึงหน้าหอ พีทค่อย ๆ ปล่อยมินท์ลงอย่างระมัดระวัง แต่ก่อนที่เขาจะพูดอะไร มินท์ก็หยิบทิชชู่แอลกอฮอล์ขึ้นมาเช็ดมือพีททันที

พีทหัวเราะ “กูไม่ป่วยขนาดนั้นมั้ง?”

มินท์พูดเรียบ ๆ “กันไว้ก่อน”

พีทยิ้มกว้าง “เออๆ ตามใจมึง”

มินท์ไม่พูดอะไรอีก เพียงแค่เดินเข้าหอไป แต่ในดวงตาของเขามีแววอ่อนโยนบางเบาที่ไม่เคยมีมาก่อน อาจจะเป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกว่า…พีทอยู่ด้วยแล้วก็ไม่ได้แย่

ตอนที่ 2: ข้อยกเว้นของมึง

มินท์เป็นคนเจ้าระเบียบ รักสะอาด และมีขอบเขตที่ชัดเจนกับคนรอบข้าง ทุกอย่างในชีวิตของเขาถูกจัดวางอย่างมีระบบ โต๊ะทำงานเรียบร้อย เสื้อผ้าถูกพับเก็บในตู้ตามสีและประเภท แม้แต่หนังสือบนชั้นก็เรียงตามลำดับตัวอักษร

เขาไม่ชอบให้ใครแตะต้องของของตัวเอง หรือบุกรุกพื้นที่ส่วนตัวโดยไม่จำเป็น แม้แต่เพื่อนสนิทก็ยังต้องมีระยะห่างที่เหมาะสม ไม่มีข้อยกเว้น—หรืออย่างน้อยก็เคยเป็นเช่นนั้น จนกระทั่งพีทก้าวเข้ามาในชีวิตของเขา

พีทเป็นข้อยกเว้นที่ยังไม่แน่ใจว่าตัวเองได้รับอนุญาตให้เข้าไปในพื้นที่ของมินท์มากแค่ไหน

วันนี้ ทั้งคู่ต้องทำงานกลุ่มด้วยกัน และเป็นครั้งแรกที่พีทได้เข้ามาในอาณาเขตส่วนตัวของมินท์ ห้องพักของคนเจ้าระเบียบที่ดูเหมือนหลุดออกมาจากนิตยสารแต่งบ้าน ทุกอย่างสะอาดไร้ที่ติจนพีทอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว

มินท์นั่งไขว่ห้างอยู่บนโซฟา โต๊ะกระจกตรงหน้าเต็มไปด้วยเอกสารและอุปกรณ์สถาปัตย์ที่ถูกจัดเรียงไว้อย่างพิถีพิถัน เส้นดินสอที่ลากบนแบบร่างสะท้อนถึงความละเอียดและความเป็นระเบียบของเจ้าของห้อง

พีทกวาดตามองรอบๆ ก่อนจะยิ้มออกมาอย่างอดไม่อยู่ “โห ห้องมึงสะอาดกว่าห้องแล็บกูอีก” เขาพึมพำ พลางยกมือไหว้ห้องแบบติดตลก

มินท์ปรายตามองเขา ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆ “มึงอย่าแตะของกูมั่วซั่ว”

พีทยักไหล่ ก่อนจะเดินไปทิ้งตัวนั่งบนพื้นหน้ามินท์ “เอ้า นี่กูแค่หายใจ”

เขาหยิบกระดาษแบบร่างขึ้นมาดู แต่ยังไม่ทันที่ปลายนิ้วจะแตะกระดาษดี มือนิ่งๆ ของมินท์ก็เอื้อมมาหยิบกลับไปก่อน รวดเร็วและแม่นยำเหมือนจับผิดอาชญากร

“กูให้มึงดู ไม่ได้ให้จับ”

ตอนที่ 3: ระหว่างบรรทัดแห่งความเข้าใจ

เช้าตรู่ แสงแดดสีทองอ่อนรอดผ่านม่านหน้าต่างเข้ามากระทบผนังห้องนอนของพีท เสียงนกที่เกาะอยู่บนสายไฟส่งเสียงเจื้อยแจ้ว แต่กลับถูกกลบด้วยเสียงตวาดอันคุ้นเคยจากหน้าห้อง

“พีท! รองเท้ามึง!”

เสียงของมินท์ดังก้องราวกับเสียงระฆังเตือนภัย พีทที่กำลังซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่มกระพริบตางัวเงีย ก่อนจะหรี่ตามองผ่านช่องประตูที่เปิดค้างไว้ เขาเห็นร่างสูงโปร่งของรูมเมทตัวเองยืนกอดอก ใบหน้าฉายชัดถึงความไม่พอใจ ดวงตาคู่คมจ้องไปยังรองเท้าผ้าใบที่ถูกถอดวางระเกะระกะอยู่ตรงหน้าห้องของเขาเอง

พีทถอนหายใจเบาๆ พลางยกมือขยี้ผมยุ่งเหยิง “อะไรของมึงแต่เช้าวะ...”

“รองเท้าต้องวางชิดกำแพง ไม่ใช่วางเกะกะให้ห้องดูรก” มินท์พูดเสียงเรียบ แต่แววตาชัดเจนว่าไม่พอใจเอาเสียเลย

พีทหลุดหัวเราะเบาๆ ก่อนจะลุกจากเตียง หยิบรองเท้าขึ้นมาวางเข้าที่ตามระเบียบที่รูมเมทเจ้าระเบียบต้องการ “จัดให้ครับพ่อคุณ เดี๋ยวห้องรกแล้วนอนไม่หลับอีก”

มินท์ไม่ตอบอะไร เพียงแค่พ่นลมหายใจออกมาเบาๆ แล้วหมุนตัวกลับเข้าห้องไป ทิ้งให้พีทยืนอมยิ้มอยู่คนเดียว

‘คนอะไรระเบียบเป๊ะชะมัด’


ช่วงบ่ายวันนั้น หลังจากการบรรยายอันยืดยาวในห้องเรียน ทั้งสองคนเดินออกจากตึกเรียนด้วยกัน มินท์ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงโดยอัตโนมัติ แต่เพียงเสี้ยววินาทีหลังจากนั้น มือของเขาก็ชะงัก

พีทเหลือบมอง เห็นสีหน้าของมินท์แปรเปลี่ยนเป็นตึงเครียด ริมฝีปากเม้มเข้าหากันแน่นราวกับพยายามกลั้นอารมณ์บางอย่าง

“อะไร?” พีทถาม

“กูลืมเอาแอลกอฮอล์มา” มินท์พูดเสียงต่ำ สีหน้าผิดหวังกับตัวเองอย่างเห็นได้ชัด นิ้วเรียวของเขากำแน่นโดยไม่รู้ตัว

พีทชะงัก ก่อนที่เขาจะเอื้อมมือไปหยิบขวดแอลกอฮอล์ขนาดพกพาออกจากกระเป๋า แล้วยื่นให้ตรงหน้า “เอ้า เอาของกูไป”

มินท์หันมามองเขานิ่ง ๆ “มึงพกแอลกอฮอล์ด้วย?”

พีทยักไหล่ ไม่ได้บอกว่าเขาเริ่มพกมันตั้งแต่สังเกตเห็นว่ามินท์หงุดหงิดทุกครั้งที่ลืมนำติดตัวมา เขาเพียงแค่ยิ้มบาง ๆ และพยักหน้า

มินท์รับขวดไป กดเจลออกมาแล้วลูบมือเงียบ ๆ จากนั้นคืนขวดกลับมา “...ขอบคุณ”

พีทอมยิ้ม มินท์พูดคำว่าขอบคุณกับเขานี่ถือเป็นเรื่องหายาก

“กูจะพกไว้ให้มึงตลอดเลยเอาปะ?” พีทแกล้งแซว “เวลาไม่พกก็แค่หันมาเรียก ‘พีทจ๋า ขอแอลกอฮอล์หน่อย’”

มินท์ส่งสายตาเหี้ยมใส่ทันที “ฝันไปเถอะ”


จากวันนั้นเป็นต้นมา พีทเริ่มสังเกตพฤติกรรมของมินท์มากขึ้น เขาเริ่มเข้าใจว่ามินท์ไม่ได้แค่รักสะอาด แต่มันเป็นบางสิ่งที่อยู่ในหัวของเขา เป็นสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ และหากอะไรไม่เป็นไปตามระเบียบที่มินท์วางไว้ เจ้าตัวจะหงุดหงิดและกระวนกระวายอย่างเห็นได้ชัด

มันไม่ใช่ความจุกจิก แต่มันคือการต่อสู้ของมินท์กับตัวเอง

พีทไม่ได้รำคาญ—เขาแค่รู้สึกอยากเข้าใจให้มากขึ้น

วันหนึ่ง ขณะที่พีทนั่งเล่นโทรศัพท์อยู่บนเตียง มินท์เดินมาหยุดอยู่หน้าประตูห้องเขา

“พีท”

“หือ?”

“มึงล้างมือรึยัง?”

พีทกะพริบตาปริบ ๆ ก่อนจะมองมือตัวเอง “ก็ไม่นะ”

“...” มินท์ขมวดคิ้วแน่น เหมือนกำลังกลั้นใจอะไรบางอย่าง

พีทหัวเราะ ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปล้างมือโดยไม่เถียงสักคำ

“โอเคยังครับคุณชาย?”

มินท์พยักหน้าก่อนจะเดินเข้ามาในห้อง วางสมุดโน้ตสรุปเลคเชอร์ลงบนโต๊ะพีท

“กูเอาสรุปเลคเชอร์มาให้”

พีทเลิกคิ้ว “แล้วทำไมต้องล้างมือก่อนด้วย?”

“กูไม่อยากให้สมุดเปื้อน” มินท์ตอบเรียบๆ

พีทหัวเราะเบาๆ “โอเค กูเข้าใจแล้ว”


เย็นวันนั้น พีทแวะร้านสะดวกซื้อก่อนกลับหอ เขาเดินไปเคาะประตูห้องมินท์เบา ๆ

“อะไร” มินท์เปิดประตูมาอย่างไร้อารมณ์

พีทยกขวดแอลกอฮอล์ใหม่แกะกล่องขึ้นมาตรงหน้า “ให้”

มินท์มองขวดแล้วเงยหน้ามองพีท “อะไรของมึง”

“กูเห็นมึงใกล้หมดแล้ว เลยซื้อมาเผื่อ”

มินท์นิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะรับไป “...ขอบใจ”

พีทยิ้มบาง ๆ “ไม่เป็นไร ว่าแต่มึงจะไม่พูดว่า ‘พีทจ๋า ขอบคุณนะ’ หน่อยเหรอ?”

มินท์ปิดประตูใส่หน้าเขาทันที

พีทหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะเดินกลับเข้าห้องตัวเอง


ตั้งแต่นั้นมา พีทก็พกแอลกอฮอล์เผื่อมินท์เสมอโดยไม่พูดอะไร

และมินท์ก็ดูเหมือนจะพกแอลกอฮอล์ติดตัวน้อยลง...

เพราะรู้ว่า ไม่ว่าเมื่อไหร่ ถ้าเขาลืม พีทจะมีให้เสมอ

พีทหัวเราะ “นี่มึงเป็นมนุษย์ที่ไม่ให้ใครแตะต้องของเลยเหรอ”

“ของของใคร ก็ของคนนั้น” มินท์ตอบเรียบง่ายแต่หนักแน่น

พีทยกคิ้วขึ้น ก่อนจะโน้มตัวเข้าไปใกล้อีกนิด “แล้วถ้าสมมติ…กูจะเป็นข้อยกเว้นของมึงได้ปะ?”

มินท์ชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะขมวดคิ้วมุ่น “พูดอะไรของมึง”

“ก็เผื่อกูพิเศษกว่าคนอื่นไง” พีทยักไหล่ “ให้กูแตะได้บ้าง”

มินท์จ้องเขานิ่ง ก่อนจะถอนหายใจ “ฝันไปเถอะ”

พีทยังไม่ยอมแพ้ เขาพยายามทดสอบขอบเขตของมินท์เล็กๆ น้อยๆ ราวกับเด็กที่พยายามดูว่าเส้นที่พ่อแม่ขีดไว้มันเลื่อนออกไปได้แค่ไหน

เขาเริ่มจากวางกระเป๋าลงบนโซฟา มินท์หรี่ตา ก่อนจะเอื้อมมือไปเลื่อนกระเป๋านั้นไปไว้ที่อื่น

พีทยกขาขึ้นพาดโต๊ะ มินท์ถลึงตาใส่ จนพีทต้องรีบเอาลง

สุดท้าย พีทแกล้งขยับเข้ามาใกล้ ทำเป็นโน้มตัวไปดูงานในมือมินท์ ศีรษะของทั้งคู่ห่างกันไม่ถึงคืบ

“มึงจะใกล้ขนาดนี้ทำไม” มินท์พูดเสียงขุ่น

“ก็จะดูให้ชัดๆ ไง”

มินท์เม้มปากแน่น ก่อนจะถอนหายใจหนักๆ “มึงมันน่ารำคาญ”

“แต่มึงก็ยังไม่ไล่กูไปนะ” พีทยิ้มกว้าง

มินท์เงียบไปอึดใจ ก่อนจะพูดเสียงเรียบ “ถ้ากูไม่อนุญาต มึงคงไม่อยู่ตรงนี้ตั้งแต่แรก”

พีทชะงักไปกับคำพูดนั้น

“…สรุปกูเป็นข้อยกเว้นของมึงปะ?”

มินท์ไม่ตอบ แต่เบือนหน้าหนีไปทางอื่น

แต่พีทกลับเข้าใจคำตอบนั้นดีอยู่แล้ว

เมื่อถึงเวลากลับ พีทสะพายกระเป๋าขึ้นบ่า ก่อนจะหันมายิ้มให้มินท์

“คราวหน้ามึงให้กูมาทำงานที่นี่อีกปะ?”

“แล้วแต่”

“แปลว่าได้” พีทยิ้มอย่างรู้ทัน ก่อนจะเดินไปที่ประตู

ทว่า ยังไม่ทันได้ก้าวออกไป เสียงของมินท์ก็ดังขึ้นจากข้างหลัง

“พีท”

พีทหยุดเท้า หันกลับมา “หืม?”

มินท์มองไปทางอื่น แต่พูดขึ้นมาเบาๆ

“…มึงลืมโทรศัพท์”

พีทกะพริบตา ก่อนจะหัวเราะ “มึงจำได้เร็วกว่ากูอีก”

“เพราะกูรู้ว่ามึงชอบลืม”

พีทรับโทรศัพท์มาถือไว้ ยืนมองมินท์อยู่นาน ก่อนจะพูดขึ้นมาเบาๆ

“ขอบคุณนะ”

มินท์ไม่ได้ตอบ แต่เพียงแค่ที่เขาไม่ได้บ่นหรือด่ากลับ นั่นก็เป็นคำตอบที่ชัดเจนที่สุดแล้ว

พีทอาจยังไม่ได้เป็นข้อยกเว้นแบบที่เขาคิด แต่แค่ได้เข้าไปอยู่ในพื้นที่ของมินท์ โดยที่อีกฝ่ายไม่ไล่ไปไหน เท่านี้ก็คงเพียงพอแล้ว


ตอนที่ 4: แรงกระตุ้นแห่งใจ

สายลมเย็นในช่วงบ่ายต้นฤดูหนาวพัดผ่านหน้าต่างเปิดของห้องเรียน แสงแดดจาง ๆ ลอดผ่านม่านโปร่งบางทอดเงาเป็นลวดลายจาง ๆ บนพื้นห้อง มินท์เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ ปลายนิ้วเคาะโต๊ะเป็นจังหวะช้า ๆ พลางทอดสายตามองไปยังขวดแอลกอฮอล์ขนาดพกพาที่วางอยู่ตรงหน้า

เขาจำไม่ได้ว่าตัวเองเผลอทำขวดเก่าหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ทุกครั้งที่รู้ตัวอีกที ก็จะมีขวดใหม่ถูกวางอยู่ตรงนั้นเสมอ โดยฝีมือของใครบางคน

พีท

เด็กหนุ่มเจ้าของรอยยิ้มกวนประสาทที่มักจะโยนขวดแอลกอฮอล์มาให้เขาอย่างไม่ใส่ใจ แต่ทุกครั้งกลับเป็นขนาดและยี่ห้อเดียวกับที่มินท์ใช้ประจำไม่เคยพลาดสักครั้ง

วันนี้ก็เช่นกัน... ขวดใหม่ถูกวางลงตรงหน้าอย่างเคย พีทเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ดวงตาคมกริบทอดมองออกไปนอกหน้าต่าง แต่ริมฝีปากกลับยกยิ้มมุมหนึ่งเหมือนกำลังรอคอยบางอย่าง

"ของมึงหมดแล้วใช่ปะ?" เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นอย่างลอย ๆ

มินท์เหลือบตามองอีกฝ่าย ก่อนจะใช้ปลายนิ้วดันขวดเล็ก ๆ นั่นหมุนเล่นไปมา สายตาจับจ้องคนตรงหน้าอย่างพินิจพิเคราะห์

“มึงแอบสังเกตกูเหรอ?” เขาถามขึ้นมาเสียงเรียบแต่เต็มไปด้วยความสงสัย

พีทกระพริบตาเร็ว ๆ ก่อนจะยักไหล่แบบไม่ใส่ใจ “ก็เห็นมึงใช้บ่อยไง”

“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับมึง?”

“ก็...” พีทเบือนสายตาหนีไปทางอื่น มือข้างหนึ่งยกขึ้นเกาท้ายทอยเล็กน้อยท่าทางเหมือนคนไม่รู้จะตอบยังไงดี “แค่เตรียมไว้ให้”

มินท์จ้องอีกฝ่ายนิ่ง ๆ ปลายนิ้วหยุดหมุนขวดแอลกอฮอล์ เขาไม่ใช่คนเซนซิทีฟกับเรื่องแบบนี้นัก แต่บางอย่างในท่าทางของพีทกลับทำให้เขาต้องฉุกคิด

“สรุป มึงแอบมองกูอยู่ตลอดเลยใช่ไหม?” คำถามถูกเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์เล็ก ๆ ที่มุมปาก

“เฮ้ย เดี๋ยวก่อน! มันไม่ใช่อย่างนั้น—” พีทรีบเถียงกลับ แต่หูกลับขึ้นสีแดงจาง ๆ อย่างน่าประหลาด

มินท์ถอนหายใจแผ่ว ๆ ก่อนจะหยิบขวดขึ้นมาหมุนดูอย่างพิจารณา เนื้อพลาสติกเรียบลื่น และสติ๊กเกอร์ที่ยังดูใหม่เอี่ยมบอกชัดว่ามันเพิ่งถูกซื้อมาไม่นาน

“มึงซื้อมาเอง?”

“เออดิ” พีทตอบพลางเบือนสายตาหลบไปทางอื่น “กูเห็นมึงต้องใช้ประจำ ถ้าไม่ได้พกจะรำคาญไม่ใช่เหรอ?”

มินท์เผลอยิ้มบาง ๆ อย่างไม่รู้ตัว “แล้วทำไมมึงต้องแคร์ว่ากูรำคาญหรือเปล่า?”

พีทอ้าปากเหมือนจะตอบ แต่แล้วก็เงียบไป คิ้วขมวดเข้าหากันเล็กน้อยเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่ สุดท้ายเขาก็เปลี่ยนเรื่องพูดหน้าตาเฉย “เออ แล้วนี่จะไปกินข้าวที่ไหน?”

แต่ถึงจะเปลี่ยนเรื่องไปแล้ว มินท์ก็ยังสังเกตเห็นว่าหูของพีทมันแดงขึ้นมาอีกนิด

...แปลกคนแฮะ

เขาก้มมองขวดแอลกอฮอล์ในมือ รอยยิ้มที่ซ่อนเร้นปรากฏขึ้นบาง ๆ ก่อนที่เขาจะเปิดฝา ฉีดของเหลวใสลงบนมือ แล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ

“เฮ้ย พีท”

“หืม?”

“ขอบคุณนะ”

พีทชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะหัวเราะออกมาเบา ๆ “เออ ๆ ยินดีด้วยว่ะ”

แม้คำตอบจะดูเหมือนไม่ใส่ใจ แต่หูของเจ้าตัวกลับแดงกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด


วันต่อมา มินท์เดินเข้าห้องเรียนพร้อมกับขวดแอลกอฮอล์ขวดใหม่—ขวดที่พีทให้มา

เขาหมุนฝา ฉีดแอลกอฮอล์ลงบนมืออย่างเป็นนิสัย ก่อนจะเงยหน้ามองไปยังอีกฝั่งของห้อง พีทนั่งเอนตัวอยู่บนเก้าอี้ มือข้างหนึ่งวางพาดพนัก ท่าทางผ่อนคลายเหมือนเช่นทุกวัน รอยยิ้มกวน ๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าในขณะที่เขาหัวเราะกับเพื่อนกลุ่มเดิม

มินท์ส่ายหัวเบา ๆ ให้กับตัวเอง ก่อนจะหลุดหัวเราะออกมาเบา ๆ

...ก็น่ารำคาญอยู่หรอก แต่แบบนี้มันก็น่ารักดีเหมือนกัน

ตอนที่ 5: “มึงรู้ใช่มั้ย?”

บรรยากาศในห้องเรียนยามบ่ายสงบเงียบ มีเพียงเสียงกระซิบของลมที่ลอดผ่านหน้าต่างและเสียงขีดเขียนจากปากกาที่ลากผ่านกระดาษ พีทนั่งอยู่ที่โต๊ะประจำของเขา ดวงตาจับจ้องสมุดโน้ตเบื้องหน้า ราวกับกำลังจดจ่อกับเนื้อหาในนั้น ทว่าความเป็นจริงแล้ว ใจของเขากลับล่องลอยไปไกลแสนไกล

ตั้งแต่วันนั้น วันที่มินท์รับรู้ถึงความรู้สึกที่พีทเก็บซ่อนไว้ ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป พีทเลือกจะหลบหน้า หลีกเลี่ยงการสบตา และพยายามทำตัวให้เป็นปกติที่สุดเมื่อมินท์เดินมาใกล้ แม้กระนั้น ไม่ว่าเขาจะพยายามแค่ไหน มินท์ก็ยังคงอยู่ตรงนั้น... เสมอ

เขาไม่แน่ใจเลยว่ามินท์คิดอะไรอยู่ เพราะตั้งแต่วันนั้นอีกฝ่ายก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องนั้นแม้แต่คำเดียว ไม่มีคำถาม ไม่มีคำตอบ มีเพียงการกระทำที่ทำให้พีทยิ่งสับสน ยกตัวอย่างเช่น เมื่อเช้าตอนที่พีทพยายามเปิดขวดน้ำแต่ฝาแน่นเกินไป มินท์ก็เพียงแค่เลื่อนขวดน้ำของตัวเองมาให้เงียบ ๆ แล้วหันไปสนใจหนังสือต่อ ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ราวกับมันเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่ไม่ต้องการคำอธิบายใด ๆ ทั้งสิ้น

สายตานิ่ง ๆ กับการกระทำเล็ก ๆ น้อย ๆ

มินท์ยังคงเป็นมินท์ คนเดิมที่พูดน้อย รักสะอาด และแสดงออกด้วยการกระทำมากกว่าคำพูด ระหว่างที่พีทกำลังกินขนมอยู่ มินท์เดินเข้ามานั่งข้าง ๆ เปิดขวดแอลกอฮอล์ล้างมือ แล้วหยดลงบนมือของพีทเองโดยไม่พูดอะไร

พีทชะงักเงยหน้าขึ้นมอง ดวงตาสะท้อนแววตกใจ “เฮ้ย! มึงทำอะไรของมึงเนี่ย!?”

มินท์เงยหน้าขึ้น สบตาเขาด้วยสีหน้าราบเรียบ

“มือมึงเลอะน้ำมันขนม”

คำตอบที่เรียบง่าย ทว่ากลับทำให้พีทรู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนในใจ มันไม่ใช่เพียงแค่การดูแลตามมารยาท แต่เป็นสิ่งที่มากกว่านั้น เป็นรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่บอกอะไรได้มากมายโดยไม่ต้องใช้คำพูด

สับสน

พีทรู้สึกได้ว่ามินท์รู้ บางทีอาจจะรู้มาตลอด แต่ไม่เคยพูดออกมา และการที่อีกฝ่ายไม่ได้พูดอะไรนี่แหละ ที่ทำให้เขาสับสนที่สุด เวลาที่พีททำเป็นไม่สนใจ มินท์จะยิ่งเข้ามาใกล้ เวลาที่พีททำเป็นมองไปทางอื่น มินท์ก็จะนั่งนิ่ง ๆ แต่ปล่อยให้พีทรู้ว่าเขากำลังถูกจับตามองอยู่ตลอด

และที่ทำให้พีทรู้สึกบ้าคลั่งที่สุดก็คือ…

มินท์กำลังเล่นเกมบางอย่างกับเขา

แต่เป็นเกมที่พีทไม่รู้กติกาเลย

จุดระเบิด

ในที่สุด พีทก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป เขาปิดสมุดโน้ตของตัวเองเสียงดังแล้วหันไปสบตากับมินท์ตรง ๆ หัวใจเต้นแรงจนแทบจะระเบิดออกมา

“มึงรู้ใช่มั้ย?”

มินท์กระพริบตาช้า ๆ ก่อนจะวางปากกาลง เหมือนกำลังชั่งใจว่าจะตอบอย่างไรดี

“กูถามว่ามึงรู้ใช่มั้ย ว่ากู...ชอบมึง”

มินท์เงียบไปชั่วอึดใจ ก่อนจะพยักหน้าสั้น ๆ เพียงครั้งเดียว

พีทหัวเราะเบา ๆ อย่างอ่อนใจ ไม่รู้ว่าเพราะโล่งอกหรือเพราะสับสนมากขึ้นกันแน่ “โอเค…แล้ว? มึงคิดไง?”

มินท์จ้องเขานิ่ง ก่อนจะพูดเสียงเรียบ “มึงอยากให้กูตอบยังไง?”

พีทถอนหายใจแรง ๆ อย่างเหนื่อยหน่าย “โว้ยยย! มึงนี่มัน! ตอบให้ชัด ๆ ได้มั้ยวะ!?”

มินท์นิ่งไปชั่วขณะ ก่อนจะพูดขึ้นมาเบา ๆ “กูไม่คิดว่าความรู้สึกต้องพูดทุกอย่าง”

พีทนิ่งไป หัวใจเต้นแรงจนแทบจะได้ยินเสียงสะท้อนของมันเอง

คำตอบที่ไม่ใช่คำพูด

หลังจากวันนั้น พีทยังคงสับสนเหมือนเดิม แต่มีสิ่งหนึ่งที่เขามั่นใจแล้ว

มินท์ไม่เคยปฏิเสธ

และเมื่อพีทนั่งอยู่ที่โต๊ะตัวเดิม มินท์ก็ยังคงเดินมาเงียบ ๆ วางขวดน้ำให้ หยดแอลกอฮอล์ใส่มือให้เช่นเคย

ไม่มีคำว่า "ชอบ" หลุดออกจากปากของมินท์

แต่พีทรู้แล้วว่า… มินท์เองก็ไม่ได้คิดจะเดินหนีเหมือนกัน

ตอนที่ 6:  "ดีล!"

แสงแดดยามบ่ายทอดตัวเป็นสายยาวผ่านกระจกใสของสตูดิโอออกแบบ เส้นสีทองสาดกระทบโต๊ะไม้เนื้อดีที่เต็มไปด้วยกระดาษไขและดินสอร่างแบบ พีทนั่งเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ ดวงตาคมทอดมองไปยังร่างของมินท์ที่กำลังตั้งอกตั้งใจลากเส้นลงบนกระดาษ เสียงฝนปรอยเบาๆ เคล้าคลออยู่ไกลๆ ทำให้บรรยากาศยิ่งดูสงบเงียบ

มินท์ยังคงไม่ละสายตาจากแบบร่างของเขา เส้นสายคมชัดและเป็นระเบียบเรียบร้อยอย่างที่พีทเคยเห็นมาตลอด คนคนนี้เป็นระเบียบทั้งในงานและในนิสัย ทุกอย่างต้องเป๊ะ ต้องสะอาด และต้องสมบูรณ์แบบ พีทอมยิ้มบางๆ กับตัวเอง ก่อนจะพึมพำแผ่วเบา ราวกับเป็นคำสาบานที่ให้กับตัวเอง

"กูต้องทำให้มินท์เปิดใจให้ได้..."


ฝนหยุดตกแล้ว พีทยืนรอมินท์อยู่หน้าสตูดิโอ ขณะที่อีกฝ่ายเก็บของใส่กระเป๋าอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยตามนิสัย พีทพิงไหล่กับผนัง ดวงตาเป็นประกายขี้เล่น

"พีท กูยุ่ง" มินท์พูดโดยไม่แม้แต่จะเงยหน้ามอง

"ยุ่งขนาดไหนก็ต้องกินข้าวปะวะ?" พีทยื่นหน้าเข้าไปใกล้ ดวงตาเต็มไปด้วยแววเจ้าเล่ห์ "กูจะเลี้ยงเองเลยนะ ให้เกียรติหน่อย"

มินท์เงยหน้าขึ้นมา หรี่ตานิดๆ ก่อนจะถอนหายใจยาว "ร้านไหน?"

พีทยิ้มกว้าง "อ่ะ กูเลือกร้านที่สะอาดระดับมึงพอใจเลย กินได้แน่นอน"

มินท์จ้องหน้าพีทอย่างจับผิด "ถ้าสกปรก มึงเลิกยุ่งกับกู"

พีทหัวเราะเสียงดัง "ดีล!"


ร้านอาหารญี่ปุ่นที่พีทพามินท์มาเป็นร้านที่ขึ้นชื่อเรื่องความสะอาด ทุกโต๊ะมีเครื่องฆ่าเชื้อ โต๊ะกระจกใสสะอาดสะท้อนเงา พื้นหินอ่อนวาววับสะอาดไร้ฝุ่น มินท์เดินสำรวจรอบร้าน สีหน้าแสดงความพึงพอใจอย่างชัดเจน

"โอเค ร้านนี้รอดตัวไป" มินท์พึมพำกับตัวเอง

พีทยิ้มเจ้าเล่ห์ "แปลว่าไอ้ดีลที่มึงพูดเมื่อกี้ก็ไม่ต้องเกิดขึ้นนะ? กูจะยุ่งกับมึงต่อไปได้"

มินท์เหลือบตามองเขา "มึงนี่มันจริงๆ เลยนะ..."

อาหารมาเสิร์ฟอย่างสวยงาม ซาชิมิสีสันสดใสถูกจัดเรียงมาอย่างประณีต พีทคีบปลาชิ้นหนึ่งขึ้นมา ก่อนจะยื่นไปจ่อปากมินท์

"อ้ามมม"

มินท์ขมวดคิ้วทันที "มึงคิดว่ากูจะกินจากตะเกียบมึงรึไง?"

พีทหัวเราะเสียงใส "ลืมไป มึงต้องสะอาดขั้นสุดนี่หว่า เอ้าๆ เอาตะเกียบมึงมา เดี๋ยวกูคีบให้ใหม่"

มินท์ชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะรับชิ้นซาชิมิไปจากตะเกียบของพีทแล้วกินเงียบๆ

พีทกระพริบตาปริบๆ "เดี๋ยว กินไปแล้วเหรอ?!"

มินท์ทำหน้าเฉย "อะไร?"

พีทยิ้มกว้าง "แปลว่ามึงเริ่มเชื่อใจกูขึ้นมาบ้างแล้วอ่ะดิ"

มินท์เบือนหน้าหนี ไม่ตอบ


หลังจากกินเสร็จ ทั้งสองเดินออกมาหน้าร้าน ลมเย็นพัดเอื่อยๆ พาเอากลิ่นฝนจางๆ มาด้วย มินท์หยิบขวดแอลกอฮอล์ขึ้นมาฉีดมือแล้วเงยหน้ามองพีท "ขอบใจที่พามา"

พีทยิ้ม "ขอบใจที่มากับกูมากกว่า"

มินท์พยักหน้าเล็กๆ กำลังจะเดินจากไป แต่พีทเอื้อมมือไปจับแขนเบาๆ

"เดี๋ยว..."

มินท์หยุดนิ่ง "อะไรอีก?"

พีทเกาหัว "เออ... กูอยากบอกว่ามึงโอเคมากเลยว่ะ เวลามึงยิ้ม มัน...ดูดีนะ"

มินท์ชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหลบตา "พูดอะไรของมึงวะ"

พีทยักไหล่ "กูก็พูดในสิ่งที่กูคิดจริงๆ"


มินท์นิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดเบาๆ "มึงไม่ต้องทำดีกับกูก็ได้ กูไม่ได้ต้องการอะไรแบบนั้น"

พีทขมวดคิ้ว "ทำไมวะ? กูแค่อยากเป็นคนที่มึงไว้ใจนะ"

มินท์ถอนหายใจ "เพราะสุดท้ายแล้ว... คนเราก็แค่ผ่านเข้ามาแล้วก็ไป"

พีทเงียบไป ก่อนจะยิ้มบางๆ "งั้นถ้ากูบอกว่ากูไม่ได้คิดจะไปล่ะ?"


มินท์จ้องหน้าพีทนิ่งๆ ก่อนจะพูดช้าๆ "งั้นก็ลองพิสูจน์ดูดิ ว่ามึงจะอยู่ได้นานแค่ไหน"

พีทยิ้มกว้าง "ดีล!"

พีทยื่นมือไปข้างหน้า มินท์เหลือบมอง ก่อนจะถอนหายใจแล้วจับมือพีทเบาๆ

"มือสะอาดนะ?" มินท์ถาม

พีทหัวเราะ "สำหรับมึง กูพกเจลล้างมือทุกวันเลยเว้ย!"

มินท์กลั้นยิ้ม ก่อนจะปล่อยมือแล้วเดินนำไป พีทยิ้มกว้าง เดินตามไปอย่างสบายใจ

วันนี้เขาอาจยังไม่ได้ทำให้มินท์เปิดใจทั้งหมด

แต่เขาก็ได้เข้ามาอยู่ในหัวใจของมินท์อีกก้าวแล้ว


ตอนที่ 7: ความสัมพันธ์ที่เปลี่ยนไป

เริ่มต้นวันด้วยความวุ่นวาย

แสงแดดยามเช้าสาดส่องผ่านบานหน้าต่างของห้องเรียน กระทบลงบนพื้นไม้ขัดมันเป็นประกายระยิบระยับ เสียงพูดคุยจอแจของเหล่านักศึกษาดังก้องไปทั่วบริเวณ แต่ภายในมุมหนึ่งของห้องนั้นกลับเป็นสถานที่ที่มีความคุ้นเคยสำหรับสองคน

พีทก้าวเข้ามาพร้อมกับขนมปังชิ้นโตในมือ เคี้ยวกรุบ ๆ อย่างสบายใจ รอยยิ้มเจ้าเล่ห์แต้มอยู่บนใบหน้าขณะที่เขาเดินไปนั่งข้าง ๆ มินท์เหมือนเช่นทุกวัน แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้เอนตัวพิงโต๊ะ เสียงทุ้มต่ำของมินท์ก็ดังขึ้นมาก่อน

“พีท! อย่าพิงโต๊ะกูด้วยมือเปล่า!”

มินท์ขมวดคิ้วทันที สายตาของเขาหรี่ลงอย่างจับผิด พลางมองเศษขนมปังที่หล่นอยู่ใกล้มือของพีทด้วยความรังเกียจอย่างเห็นได้ชัด

พีทยิ้มแหย ๆ ถอนมือกลับแทบไม่ทันก่อนจะรีบลุกไปที่อ่างล้างมือ “เออ ๆ ล้างแล้ว ๆ มึงนี่ระเบียบจัดจริง”

มินท์ถอนหายใจบางเบา ก่อนจะหยิบขวดแอลกอฮอล์ขึ้นมาเช็ดโต๊ะตัวเองอีกครั้ง ถึงแม้พีทจะล้างมือแล้วก็ตาม ความเคร่งครัดในเรื่องความสะอาดของเขาไม่มีวันลดลงเลยสักนิด

พีทที่กลับมานั่งลงอีกครั้ง แอบมองการกระทำของอีกฝ่ายด้วยแววตาขบขัน “กูว่าถ้ามึงจับกูได้ มึงคงเอาแอลกอฮอล์ราดตัวกูเลยเนอะ”

“กูไม่เสียของขนาดนั้น” มินท์ตอบเสียงเรียบ แต่พีทสังเกตเห็นหางคิ้วของอีกฝ่ายกระตุกเล็กน้อย ราวกับพยายามซ่อนอารมณ์ขันบางอย่างเอาไว้


แกล้งกันได้แต่ต้องมีขอบเขต

ช่วงพักกลางวัน ลมเย็นพัดโชยเบา ๆ ผ่านระเบียงทางเดินของคณะ พีทกับมินท์เดินเคียงข้างกันมุ่งหน้าไปยังโรงอาหารเหมือนทุกวัน เสียงฝีเท้าของทั้งสองก้องกังวานในจังหวะที่สม่ำเสมอ

พีทเดินถือขนมปังไส้ครีมอยู่ในมือ ดวงตาของเขาเป็นประกายซุกซนก่อนจะยกมือขึ้น ทำท่าทางเหมือนกำลังโชว์มายากล

“เฮ้ย ๆ มึงดูดิ ขนมปังลอยได้!” พีทพูดด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจ พลางขยับขนมปังเข้าใกล้มือของมินท์ขึ้นเรื่อย ๆ

มินท์หยุดเดิน สายตาจับจ้องไปที่พีทอย่างนิ่งสงบ ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบขวดแอลกอฮอล์จากกระเป๋าเสื้อออกมา ชูขึ้นสูงเป็นเชิงขู่

“มึงแน่ใจนะว่าจะเล่นกับกูเรื่องนี้?”

“โอเค๊! กูขอโทษ!” พีทร้องเสียงหลง รีบกระโดดถอยหลังออกไปอย่างรวดเร็ว หัวเราะออกมาเบา ๆ ก่อนจะเหลือบตามองเพื่อนตัวเอง “แต่กูสงสัยจริง ๆ นะ มึงไม่เคยเผลอแบบไม่ระวังเลยเหรอ?”

มินท์นิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะถอนหายใจ “มันก็มีบ้าง… แต่กูพยายามควบคุมตัวเอง เพราะถ้ากูเริ่มหลุดเมื่อไหร่ กูจะรู้สึกแย่กับตัวเองมากกว่าเดิม”

พีทเงียบไปชั่วขณะ สายตาสอดส่องไปยังใบหน้าของมินท์ที่ดูจริงจังกว่าปกติ ก่อนจะพยักหน้าช้า ๆ อย่างเข้าใจ “โอเค ๆ กูจะพยายามไม่แกล้งมึงเรื่องนี้มากเกินไปนะ”

มินท์มองเขาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าเบา ๆ “พูดแล้วจำไว้ด้วย”


 ปรับตัวเข้าหากันทีละนิด

ช่วงบ่าย ห้องสมุดเต็มไปด้วยเสียงกระซิบเบา ๆ และกลิ่นกระดาษเก่าที่อบอวลอยู่ในอากาศ พีทกับมินท์นั่งอยู่ที่โต๊ะไม้ขัดมัน มินท์ตั้งใจจดโน้ตในสมุดเล่มเล็กของตัวเอง ส่วนพีทเองก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นฆ่าเวลา

เมื่อเขาต้องการหยิบปากกาของมินท์โดยอัตโนมัติ เขากลับชะงักไปนิดหนึ่ง สุดท้ายจึงลุกขึ้นไปล้างมือก่อนจะกลับมาหยิบปากกาขึ้นมาใช้

มินท์เงยหน้าขึ้นมามองเล็กน้อย คิ้วของเขาขมวดเข้าหากันก่อนจะถามเบา ๆ “ทำไมอยู่ดี ๆ ก็นึกจะล้างมือวะ?”

พีทยักไหล่ ทำหน้าตาเหมือนไม่ใส่ใจนัก “ก็… ไม่อยากให้มึงต้องเช็ดแอลกอฮอล์ใส่ปากกากูอีกรอบไง เปลืองของ”

มินท์นิ่งไปก่อนจะพยักหน้าช้า ๆ “ดี อย่างน้อยมึงก็มีพัฒนาการ”

พีทหัวเราะเบา ๆ “แน่นอน กูเป็นเด็กดีของมึงแล้วนะมินท์”

มินท์มองพีทนิ่ง ๆ ไม่พูดอะไร แต่พีทสังเกตเห็นปลายหูของอีกฝ่ายที่ขึ้นสีจาง ๆ แล้วก็แอบอมยิ้ม


ระยะห่างที่ลดลง

คืนนั้น แสงไฟสีส้มอ่อนจากโคมไฟหัวเตียงส่องกระทบหน้าจอโทรศัพท์ของมินท์ เขานั่งทำงานอยู่ที่โต๊ะ แต่แล้วข้อความแจ้งเตือนก็เด้งขึ้นมา

พีท: [มึงทำอะไรอยู่?]

มินท์: [งาน]

พีท: [งั้นดีเลย กูก็ทำงานอยู่เหมือนกัน]

มินท์: [แล้วไง?]

พีท: [กูกะว่าจะวิดีโอคอลมึง มึงจะได้จับตามองว่าโต๊ะกูสะอาดจริง ๆ]

มินท์ชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะหลุดยิ้มบาง ๆ เขาส่ายหน้าเบา ๆ ก่อนจะพิมพ์ตอบกลับไป

มินท์: [ถ้าโต๊ะมึงรก กูจะกดวาง]

ไม่ถึงห้าวินาที สายวิดีโอคอลจากพีทก็เด้งขึ้นมา มินท์กดรับ และภาพแรกที่เห็นคือโต๊ะของพีทที่สะอาดสะอ้านผิดปกติ

“เห็นไหม? กูเป็นเด็กดีจริง ๆ” พีทพูดพร้อมกับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์

มินท์พยักหน้า “ดี อย่างน้อยก็มาถูกทางละ”

พีทยิ้มกว้าง “กูว่าเหมือนกูเริ่มเข้าใจมึงมากขึ้นแล้วว่ะ”

มินท์เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดออกมาเบา ๆ “อืม… กูก็คิดว่าอย่างนั้น”

ตอนที่ 8: คำตอบที่ไม่ต้องมีคำพูด

แสงนีออนเย็นเฉียบสะท้อนบนพื้นกระเบื้องมันวาวของซูเปอร์มาร์เก็ต กลิ่นหอมจางๆ ของขนมปังอบใหม่ลอยมาตามสายลมจากมุมหนึ่ง ขณะที่เสียงล้อรถเข็นกระทบพื้นดังก้องอยู่ไกลๆ ท่ามกลางบรรยากาศที่เต็มไปด้วยผู้คนจับจ่ายซื้อของกันอย่างขวักไขว่ มินท์เดินตรงไปยังชั้นวางของใช้ส่วนตัวอย่างคุ้นเคย กระดาษลิสต์สินค้าในมือกำแน่นราวกับเป็นอาวุธสำคัญของภารกิจครั้งนี้

พีทเดินทอดน่องตามหลังในท่าทีสบายๆ มือข้างหนึ่งไถโทรศัพท์อย่างไร้จุดหมาย อีกข้างซุกอยู่ในกระเป๋ากางเกงราวกับการมาที่นี่เป็นเรื่องสุดแสนจะธรรมดา หากไม่ติดว่าเขาต้องมาทำหน้าที่ “ผู้ช่วยถือของ” ตามคำสั่งกลายๆ ของเพื่อนตัวดี

"มึงรีบเดินหน่อยได้ปะ กูไม่ได้มีเวลาว่างทั้งวันนะ" มินท์เอ่ยโดยไม่หันมามอง น้ำเสียงราบเรียบแต่แฝงแววรำคาญนิดๆ

พีทเหลือบมองเพื่อนตัวสูงกว่าแล้วยักไหล่ "โห ใจเย็นดิอาจารย์ กูแค่มาช่วยถือของนะ ไม่ได้มาสอบสัมภาษณ์งาน"

ริมฝีปากของมินท์ขยับน้อยๆ คล้ายจะเอ่ยบางอย่าง แต่สุดท้ายเขาก็เลือกที่จะเงียบแล้วเดินตรงไปยังชั้นวางแอลกอฮอล์ล้างมือ ดวงตาคมกริบไล่ไปตามขวดเรียงรายเป็นระเบียบก่อนจะหยิบขึ้นมาขวดหนึ่งอย่างตั้งใจ

พีทมองตาม แล้วอยู่ๆ แววเจ้าเล่ห์ก็ฉายวาบในดวงตา เขาเหลือบไปเห็นสติกเกอร์ “ลดราคา 50%” บนชั้นข้างๆ และไอเดียบางอย่างก็แล่นเข้ามาในหัวทันที มือแกร่งคว้าสติกเกอร์ออกมาอย่างแนบเนียน ก่อนจะเอื้อมไปแปะลงบนขวดแอลกอฮอล์ของมินท์ด้วยความคล่องแคล่ว

"มึงทำอะไร?" มินท์หันมาเห็นพอดี คิ้วขมวดเล็กน้อยก่อนจะมองพีทด้วยสายตาจับผิด

พีทกลั้นขำสุดชีวิต "ก็ช่วยมึงไง ของถูกมันก็ดีกว่าแพงปะวะ"

มินท์หรี่ตาลงเล็กน้อย ก่อนจะถอนหายใจหนักๆ "เอาสติกเกอร์ออก"

"อะไรรรร มึงจะซื้อละครึ่งราคามันไม่ดีตรงไหนอะ?"

"กูไม่ใช่คนงก แต่กูไม่อยากใช้ของที่มีสติกเกอร์ลดราคาติดอยู่โว้ย เอาออกเดี๋ยวนี้!"

พีทระเบิดหัวเราะออกมา แต่สุดท้ายก็ยอมแกะสติกเกอร์ออกให้โดยดี "โอเคๆ เดี๋ยวกูเอาออกให้ มึงนี่มันพวกเจ้าระเบียบขั้นสุดจริงๆ"

มินท์ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะหยิบขวดใหม่ที่ไม่มีสติกเกอร์ติดอยู่ขึ้นมาแทน แล้วเดินไปคิดเงิน ทิ้งพีทไว้กับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของเขา



หลังจากเสร็จภารกิจจับจ่ายซื้อของ ทั้งคู่เดินออกจากซูเปอร์มาร์เก็ต เสียงใบเสร็จขยับกรอบแกรบในมือของมินท์ขณะที่เขาค่อยๆ จัดของลงถุงอย่างเป็นระเบียบ ส่วนพีทยืนกอดอกพิงเสาอยู่ข้างๆ สายตาจับจ้องการกระทำของอีกฝ่ายอย่างเพลิดเพลิน

"มึงจะช่วยมั้ย?" มินท์ถามเสียงเรียบโดยไม่เงยหน้าขึ้นมามอง

"ไม่อะ กูอยากเห็นมึงจัดของแบบเป๊ะๆ อะ โคตร satisfying เลย" พีทยิ้มกวนๆ

มินท์ชะงักเล็กน้อย ก่อนจะถอนหายใจ "ไอ้เวร..." แต่ถึงปากจะพูดแบบนั้น มือของเขาก็ยังคงจัดของอย่างตั้งใจเหมือนเดิม

พีทมองตามแผ่นหลังของมินท์ พลางยิ้มบางๆ คำพูดของมินท์อาจจะดูแข็งกระด้าง แต่พีทรู้ดีว่าเพื่อนของเขาไม่ได้รำคาญเขาจริงๆ แถมยังมีบางจังหวะที่มินท์เผลอแสดงออกถึงความใส่ใจ เช่น ตอนที่หยิบขนมที่พีทชอบมาใส่ตะกร้าโดยไม่ต้องถาม หรือแม้กระทั่งตอนที่ทำเป็นบ่นว่าเขากวนประสาท แต่ก็ยังเดินรอให้พีทเดินทันเสมอ

พีทยกมือขึ้นเกาหลังคอเบาๆ รู้สึกว่าใจตัวเองเต้นแรงขึ้นมาโดยไม่มีเหตุผล

...บางที เขาอาจจะไม่ได้คิดไปเองก็ได้


หลังจากกลับถึงหอพัก มินท์กำลังจัดของเข้าที่ตามระเบียบของเขา ขณะที่พีททิ้งตัวลงนั่งบนเตียงของตัวเอง มองอีกฝ่ายอย่างสนอกสนใจ

"กูช่วยมั้ย?" พีทถามขึ้นมา

"มึงอย่ามายุ่งกับของของกูเลย กูรู้ว่ามึงจะทำเละ" มินท์ตอบโดยไม่เงยหน้าขึ้นมา

พีทเบ้ปาก "เอ้า ใจร้ายอะ"

มินท์เหลือบตาขึ้นมามองแวบหนึ่ง ก่อนจะหยิบขวดน้ำขึ้นมาแล้วยื่นให้พีท "ดื่มซะ จะได้เลิกพูดมาก"

พีทยิ้มกว้างทันที "มึงแม่ง...ปากแข็งว่ะ"

มินท์ไม่ตอบอะไร แค่ยกมุมปากขึ้นนิดๆ ก่อนจะหันไปจัดของต่อ

พีทมองภาพนั้นแล้วยิ้มกับตัวเอง นี่แหละมินท์ เวลาที่ใส่ใจอะไรบางอย่าง เขาไม่พูดออกมาตรงๆ แต่การกระทำของเขามันชัดเจนกว่าคำพูดเป็นร้อยเท่า

และพีทก็คิดว่า...เขาเริ่มชอบแบบนี้มากขึ้นเรื่อยๆ แล้วสิ

ตอนที่ 9: พื้นที่ของเรา

จุดเริ่มต้นของคำถาม

บรรยากาศในห้องสมุดเงียบสงัด ราวกับเวลาถูกหยุดนิ่ง เสียงแอร์ทำงานดังแผ่วเบา แทรกด้วยเสียงกระดาษถูกพลิกเป็นระยะ แสงไฟสีขาวนวลทอดลงมากระทบโต๊ะไม้ เรียงรายเป็นระเบียบ สร้างมุมสงบสำหรับผู้ที่แสวงหาความรู้

พีทนั่งเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ เท้าคางมองคนที่นั่งฝั่งตรงข้ามอย่างเหม่อลอย มินท์ก้มหน้าก้มตาจดเลคเชอร์ลงสมุดอย่างเป็นระเบียบ ปลายปากกาขยับไปตามตัวอักษรด้วยความมั่นคง ลายมือเรียบร้อยราวกับพิมพ์ออกจากเครื่อง แต่พีทสังเกตเห็นว่าอีกฝ่ายขมวดคิ้วอยู่เป็นระยะ ลบแล้วเขียนใหม่ซ้ำไปซ้ำมาอย่างจดจ่อ

“มินท์” พีทกระซิบเสียงเบา ราวกับเกรงว่าจะรบกวนความเงียบสงบในห้องสมุด

ไม่มีเสียงตอบกลับจากอีกฝ่าย มีเพียงปลายปากกาที่หยุดชะงักเพียงเสี้ยววินาที ก่อนจะเคลื่อนไหวต่อไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

พีทยิ้มขำ ยื่นหน้าไปใกล้กว่าเดิมจนปลายจมูกเกือบแตะสมุดของมินท์ “กูถามอะไรหน่อยดิ”

มินท์ถอนหายใจนิดๆ เบือนหน้าหนีเล็กน้อย แต่ยังไม่เงยขึ้นจากสมุด “อะไร”

“ทำไมมึงต้องเขียนซ้ำๆ แบบนั้นด้วยวะ”

ปลายปากกาหยุดนิ่ง มินท์ไม่ได้ตอบกลับทันที เขาเว้นระยะหายใจ ก่อนเอ่ยเสียงเรียบ “มันยังไม่เรียบร้อย”

พีทขมวดคิ้วมองตัวหนังสือที่เรียบร้อยจนแทบไร้ที่ติ “แต่มึงก็อ่านออกแล้วนี่”

มินท์เม้มปากแน่น ราวกับลังเลว่าจะพูดอะไรต่อดี ก่อนจะตอบสั้นๆ “มึงไม่เข้าใจหรอก”

พีทรู้ว่ามันไม่ใช่แค่เรื่อง ‘ความเรียบร้อย’ ธรรมดาแน่ๆ


ความลับที่ถูกเปิดเผย

ค่ำคืนนั้น แสงไฟริมทางทอดเงาลงบนพื้นถนน พีทและมินท์เดินกลับหอด้วยกันตามปกติ ลมเย็นพัดผ่านแผ่วเบา นำพากลิ่นหอมของต้นไม้ข้างทางมาปะปนกับอากาศ

“กูเป็น OCD”

เสียงของมินท์ดังขึ้นลอยๆ ท่ามกลางความเงียบ ไม่มีปี่มีขลุ่ย ไม่มีบทเกริ่นนำ พีทชะงักฝีเท้าไปเสี้ยววินาที ก่อนจะเหลือบตามองเพื่อนสนิทข้างกาย

“หืม?”

“กูเป็นโรคย้ำคิดย้ำทำ มาตั้งแต่เด็ก”

พีทเงียบไปครู่หนึ่ง กะพริบตาปริบๆ ก่อนจะพยักหน้าเบาๆ “อ๋อ...”

“อ๋อแค่นั้น?” มินท์หันมามองเขาด้วยสายตาครุ่นคิด

“แล้วกูต้องพูดว่าอะไรอีกอะ?” พีทหัวเราะเบาๆ “ให้กูทำหน้าตกใจปะ?”

มินท์ถอนหายใจ เหมือนกับไม่รู้จะอธิบายยังไง “มึงไม่อยากรู้อะไรหน่อยเหรอ”

พีทเกาหัวแกรกๆ “อืม... กูเคยอ่านเจอว่าคนที่เป็น OCD บางคนต้องทำอะไรซ้ำๆ ไม่งั้นจะรู้สึกไม่สบายใจ... แบบนั้นปะ?”

มินท์พยักหน้า “ใช่ กูต้องเช็กของในกระเป๋าว่าครบไหม เช็ดโต๊ะก่อนกินข้าว เขียนตัวหนังสือให้มันตรงเป๊ะ ไม่งั้นมันจะรู้สึกเหมือน... โลกมันไม่ถูกต้อง”

พีทพยักหน้าอย่างเข้าใจ “แล้วมันทำให้มึงลำบากใจมากไหม?”

มินท์เงียบไปสักพัก ก่อนจะตอบเสียงเบา “บางที”


ความเข้าใจโดยไม่ต้องพูดเยอะ

วันต่อมา พีทเดินมาหามินท์ที่โต๊ะประจำในโรงอาหาร พร้อมกับยื่นขวดน้ำให้แบบไม่ได้พูดอะไร

มินท์เลิกคิ้วอย่างแปลกใจ ก่อนจะรับขวดมาแล้วพลิกดู เมื่อเห็นว่าฉลากมันเรียบไม่มีรอยพับสักนิด สีหน้าเขาก็เปลี่ยนไปทันที

“มึงตั้งใจเลือกขวดที่สมบูรณ์มาให้กู?”

พีทยักไหล่ ยิ้มกวนๆ “ก็... กูแค่คิดว่ามึงคงอยากได้แบบนี้”

มินท์มองหน้าเขานิ่งๆ ก่อนจะหลุดหัวเราะเบาๆ “มึงมันโคตรกวนประสาท”

“หืม? อะไรของมึงเนี่ย? กูอุตส่าห์ใส่ใจนะ” พีทแกล้งทำหน้างอ

มินท์ส่ายหัวพลางเปิดขวดน้ำขึ้นดื่ม ยกยิ้มมุมปากเล็กๆ “ก็เพราะมึงใส่ใจนี่แหละ... กวนตีน”


พื้นที่ของเรา

วันหนึ่ง ขณะที่พีทกำลังง่วนอยู่กับกองเอกสารโปรเจกต์ เสียงขวดน้ำถูกวางลงบนโต๊ะเบาๆ ดึงความสนใจของเขาให้เงยหน้าขึ้น

มินท์นั่งลงตรงข้าม วางขวดน้ำตรงหน้าพีท มันคือขวดที่ไม่มีรอยพับเหมือนเดิมเป๊ะ ราวกับได้รับการคัดสรรมาอย่างดี

พีทกระพริบตา มองสลับไปมาระหว่างมินท์กับขวดน้ำ “หืม?”

“มึงก็มีสิทธิ์ได้ของที่มันสมบูรณ์เหมือนกัน” มินท์พูดแค่นั้น แล้วเปิดหนังสือขึ้นอ่านต่อ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

พีทมองเพื่อนสนิทตรงหน้า รอยยิ้มบางๆ แต้มขึ้นบนริมฝีปาก เขาหยิบขวดน้ำขึ้น เปิดฝา และจิบมันอย่างเงียบๆ


ตอนที่ 10 : มือที่เอื้อมถึง

แสงแดดยามบ่ายทอดผ่านกระจกใสร้านกาแฟ กระทบลงบนโต๊ะไม้สีเข้ม เสียงเครื่องบดกาแฟทำงานเบาๆ คลอไปกับเสียงพูดคุยจางๆ ของผู้คนที่มานั่งพักผ่อน ที่มุมหนึ่งของร้าน มินท์นั่งตรงข้ามกับพีท ดวงตาคู่คมก้มลงมองแก้วกาแฟของตัวเอง ก่อนจะหยิบทิชชู่มาเช็ดขอบแก้วด้วยความเคยชิน

พีทมองภาพนั้นเงียบๆ ดวงตาเป็นประกายบางอย่าง ก่อนจะเอ่ยถามเสียงเรียบ แต่แฝงด้วยความสนใจ

"มึงเป็นแบบนี้ตั้งแต่เด็กเลยเหรอ?"

มินท์เงยหน้าขึ้นสบตาชั่วครู่ ก่อนจะพยักหน้ารับเบาๆ "อืม เคยโดนล้อด้วย บางคนบอกว่าเรื่องมาก"

พีทพยักหน้าเล็กน้อย ไม่ได้แสดงท่าทีตัดสินใดๆ เขาเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ หลุบตามองมินท์ที่กำแก้วกาแฟแน่นราวกับเป็นสิ่งเดียวที่ยึดเหนี่ยว

"มึงก็เลยพยายามไม่แสดงออก?"

มินท์เม้มปากเล็กน้อย ก่อนจะส่ายหน้า "เปล่า... กูแค่เลือกจะอยู่เงียบๆ มากกว่า"

พีทมองใบหน้าด้านข้างของอีกฝ่าย แสงจากหน้าต่างทอดลงบนเสี้ยวหน้าคม ดวงตาที่ทอดต่ำสะท้อนอะไรบางอย่างที่พีทไม่แน่ใจว่าคืออะไร แต่เขารู้เพียงว่ามันเป็นสิ่งที่มินท์เฝ้าปิดบังมาตลอด

"มึงไม่ต้องเปลี่ยนตัวเองเพื่อใครหรอก"

มินท์ชะงัก ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาสบตาอีกครั้ง

พีทยิ้มบาง เอื้อมมือไปวางบนโต๊ะใกล้ๆ "แต่ถ้ามึงอยากลองจับมือกู... กูจะรอ"

มินท์นิ่งไปอีกครั้ง ก่อนจะเบือนหน้าหนีไปมองทางอื่น ปล่อยให้บรรยากาศรอบตัวแปรเปลี่ยนเป็นความเงียบที่เต็มไปด้วยคำพูดที่ไม่ได้เอื้อนเอ่ย


มือที่ค่อยๆ ยื่นมา

บ่ายวันต่อมา ที่เดิม... หน้าตึกเรียนมหาวิทยาลัย นักศึกษาจำนวนหนึ่งเดินสวนกันไปมา พีทก้าวออกจากอาคารเรียนด้วยท่าทางเหนื่อยล้า มือหนึ่งยกขึ้นขยี้ตา ก่อนจะหาวออกมาเฮือกใหญ่

"วันนี้เรียนเหนื่อยสัส"

มินท์ที่เดินเคียงข้างกันพยักหน้ารับเบาๆ "อืม"

พีทยิ้มก่อนจะยื่นมือไปข้างหน้า ล้อเล่นอย่างเคย "จับมั้ย?"

มินท์มองมื้อนั้น นิ่งไปชั่วอึดใจ ก่อนจะเบือนหน้าหนี ถอนหายใจเงียบๆ "อย่ามาเล่น"

พีทไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่ลดมือลงพร้อมรอยยิ้มบางที่ยังคงอยู่ "กูไม่ได้เล่นนะ"

มินท์ไม่ได้ตอบ แต่ในดวงตานั้นเหมือนมีอะไรบางอย่างกำลังหมุนวนอยู่ภายใน


สัมผัสแรก

วันต่อมา ลมเย็นๆ พัดผ่านหน้าตึกเรียน แสงแดดอ่อนของช่วงบ่ายคล้อยทอดเงายาวไปตามพื้นซีเมนต์ พีทเดินออกมาจากตึกตามปกติ ดวงตาคู่คมเหลือบเห็นใครบางคนยืนพิงกำแพงอยู่ข้างๆ พร้อมกับสะพายกระเป๋าไว้แน่น

"เฮ้ย มึงรอใครอะ?" พีทถามพร้อมรอยยิ้มเจือเสียงล้อเลียน

มินท์เหลือบตาขึ้นมองเขาเงียบๆ ไม่ได้ตอบอะไร

พีทยักไหล่ กำลังจะก้าวลงบันได แต่แล้วกลับรู้สึกถึงแรงดึงแผ่วเบาที่ชายแขนเสื้อ

เขาก้มลงมอง... เห็นมินท์ยื่นมือออกมา มือนั้นสั่นไหวเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ดึงกลับ

พีทชะงัก ดวงตาฉายแววประหลาดใจเล็กน้อย ก่อนจะค่อยๆ ยกมือขึ้นทาบลงบนมืออีกฝ่าย

สัมผัสแรก... แผ่วเบา อุ่น และเต็มไปด้วยความหมายที่ไม่ต้องการคำอธิบายใดๆ

พีทยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน "กูก็รอมึงเหมือนกัน"

มินท์หลุบตาลง ไม่พูดอะไร แต่ครั้งนี้... เขาไม่ได้ปล่อยมือ


มือที่ไม่ปล่อย

หน้าตึกเรียน ลมเย็นพัดแผ่ว มินท์และพีทยืนเคียงข้างกัน มือยังคงกุมกันไว้อย่างหลวมๆ ไม่มีคำพูดใดเอื้อนเอ่ยออกมา แต่ทุกอย่างล้วนชัดเจนในความเงียบ

รอยยิ้มบางคลี่ขึ้นบนริมฝีปากของมินท์...

และพีทรับรู้ว่ามือนั้น คงไม่มีวันปล่อยอีกแล้ว

ตอนที่ 11: แสงไฟแห่งค่ำคืน

อากาศเย็นสบายของเดือนธันวาคมโอบล้อมไปด้วยไอหนาวจาง ๆ สายลมพัดเอื่อยไล้ผ่านแก้มและปลายนิ้ว ให้สัมผัสที่ทั้งเย็นและอบอุ่นในคราวเดียวกัน ภายในร้านคาเฟ่เล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่มุมถนน แสงไฟสีส้มจากโคมระย้าแขวนต่ำกระทบลงบนโต๊ะไม้ บรรยากาศอบอวลไปด้วยกลิ่นกาแฟและเสียงพูดคุยเบา ๆ ของผู้คนที่มานั่งพักผ่อนในยามเย็น

มินท์นั่งตัวตรง ฝักใฝ่กับสมุดสเก็ตช์ตรงหน้า ลากเส้นอย่างมั่นคงและต่อเนื่อง ทุกเส้นสายเต็มไปด้วยสมาธิและความตั้งใจ ขณะที่ปลายนิ้วของเขาจับดินสอไว้แน่น แววตาสะท้อนถึงความจริงจังราวกับทุกสิ่งรอบตัวถูกตัดขาดออกไป

ตรงข้ามกัน พีทเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ เท้าคางมองอีกฝ่ายเงียบ ๆ ด้วยรอยยิ้มเจือความขบขัน เขาชอบเวลาที่มินท์อยู่ในโลกของตัวเอง มันเป็นช่วงเวลาที่ดูสงบ ลึกลับ แต่ก็มีเสน่ห์ในแบบของมัน

“มึงวาดโคตรจริงจังเลยอะ” พีทเอ่ยขึ้นขำ ๆ

มินท์ละสายตาจากสมุดสเก็ตช์เพียงเสี้ยววินาที ก่อนจะเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “แล้วมึงอยากให้กูวาดเล่น ๆ หรือไง”

“กูหมายถึง...มึงดูโฟกัสสุด ๆ แบบหายใจเป็นเส้นตรงเลย”

“ไร้สาระ” มินท์ตอบกลับเรียบ ๆ ก่อนจะก้มลงวาดต่อ แต่พีทเห็นชัดว่าเจ้าตัวแอบอมยิ้มบาง ๆ ที่มุมปาก

เขาหัวเราะเบา ๆ เอียงคอมองอีกฝ่ายนิ่ง ๆ เหมือนครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ก่อนจะพูดขึ้นเสียงนุ่ม “มึงรู้ปะ...กูน่ะ”

มินท์ยังไม่เงยหน้า แต่ปลายดินสอหยุดไปชั่วขณะ ก่อนจะขยับวาดต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น “...”

พีทยกยิ้ม “...กูว่ามึงแม่งน่ารักว่ะ”

มินท์ชะงักไปเล็กน้อย ลมหายใจสะดุดไปชั่วขณะหนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจแล้วเงยหน้าขึ้นมาจ้องพีทด้วยดวงตานิ่งเฉย “มึงพูดอะไรของมึง”

“พูดความจริงไง”

พีทยักไหล่เอนตัวพิงเก้าอี้ ดวงตาเรียวรีเป็นประกายกวน ๆ แบบที่มินท์เจอบ่อยจนเริ่มชิน

“ว่าแต่มึงจะไปดูไฟที่ลานกลางเมืองกับกูปะ?”

“ไม่อะ คนเยอะ”

“เถอะน่า ปีละครั้งเองนะ”

มินท์ถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย เขากำลังจะปฏิเสธอีกครั้ง แต่สายตาของพีทที่จ้องมาราวกับจะพูดว่า ‘ถ้ามึงไม่ไป กูงอน’ ทำให้เขาอดกลอกตาใส่ไม่ได้ สุดท้ายก็ยอมพยักหน้ารับแบบเสียไม่ได้

“เออ ๆ ก็ได้”

พีทยิ้มกว้าง “ดีมากมินท์จ๋า~”

“อย่ามาจ๋า” มินท์เอ่ยเสียงต่ำ แต่ปลายหูที่แดงเรื่อของเขาก็ไม่ได้หลุดรอดสายตาพีทไปได้เลย


ลานกลางเมืองเต็มไปด้วยแสงไฟหลากสีที่ส่องสว่างประดับประดา ท่ามกลางเสียงหัวเราะและความคึกคักของผู้คนมากมาย ต้นคริสต์มาสขนาดมหึมาโดดเด่นเป็นสง่ากลางจัตุรัส เสริมให้บรรยากาศของค่ำคืนดูโรแมนติกและอบอุ่นขึ้นเป็นเท่าตัว

พีทกับมินท์เดินเคียงกันไปเงียบ ๆ ไหล่ชนกันเป็นระยะโดยที่ไม่มีใครถอยออก ต่างฝ่ายต่างรู้ว่าอีกคนอยู่ข้าง ๆ โดยไม่ต้องเอื้อนเอ่ยคำพูดใด ๆ

“เฮ้ย มึงดูดิ ต้นคริสต์มาสสูงชิบหาย” พีทเปรยขึ้นตื่นเต้น

“กูก็มองอยู่” มินท์ตอบกลับเรียบ ๆ

ขณะที่ทั้งคู่กำลังชื่นชมแสงไฟกันอยู่นั้น เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นจากด้านหลัง ทำให้มินท์หยุดชะงักไปทันที

“นราวิชญ์?”

มินท์ตัวแข็งทื่อ พีทหันไปมองตามเสียง เห็นผู้ชายคนหนึ่งเดินเข้ามา ใบหน้าของมินท์ดูแข็งกระด้างขึ้นมาในทันที

พีทขมวดคิ้ว กระซิบเบา ๆ “ใครวะ?”

ผู้ชายคนนั้นแสยะยิ้มก้าวเข้ามาใกล้ “ไม่เจอกันนานเลยนะ”

มินท์กำหมัดแน่น ดวงตาหลุบต่ำลงเล็กน้อยก่อนจะตอบกลับเสียงเย็นชา “กูไม่คิดว่าจะต้องเจอ”

พีทรู้สึกถึงความตึงเครียดที่แผ่ออกมาจากตัวมินท์ แม้ว่าเจ้าตัวจะพยายามทำเป็นไม่สนใจ แต่ดวงตาที่แข็งกระด้างนั่นบอกชัดว่าความรู้สึกของเขาถูกกวนให้ขุ่นมัว

“ยังเป็นเหมือนเดิมเลยนะ พวก ‘ตัวประหลาด’ เนี่ย”

พีทนิ่งไปทันที ดวงตาเปลี่ยนเป็นเย็นชา มันไม่ชอบน้ำเสียงนั้นเลย ไม่ต้องให้มินท์อธิบายก็พอเดาได้ว่าผู้ชายตรงหน้าคือใคร—แฟนเก่า

พีทก้าวขึ้นมายืนข้างมินท์ ก่อนจะพูดเสียงเรียบแต่กดต่ำ “มึงว่าอะไรนะ?”

“ก็แค่ทักทายคนรู้จักเก่า ๆ มันผิดตรงไหนล่ะ?”

“ผิดตรงที่มึงใช้คำพูดโง่ ๆ ไง” พีทตอบกลับทันที ดวงตาไม่แสดงความยินดีเลยแม้แต่น้อย

มินท์เงยหน้าขึ้นมามองพีท นี่เป็นครั้งแรกที่มีใครยืนข้างเขาแบบนี้

“เหอะ ทีนี้คบกับผู้ชายด้วยกันจริง ๆ อีกแล้วเหรอวะ?”

มินท์กัดฟันแน่น “มันไม่ใช่เรื่องของมึง”

พีทตบไหล่มินท์เบา ๆ แล้วหันไปจ้องอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มที่ไร้ความเป็นมิตร “มึงรู้ไหม มึงแม่งเป็นขยะที่ไม่มีค่าพอให้พูดด้วยเลยอะ”

คำพูดนั้นทำให้บรรยากาศเงียบลงชั่วขณะ ก่อนที่ชายคนนั้นจะกระตุกยิ้มเยาะแล้วเดินจากไป

มินท์มองพีทเงียบ ๆ รู้สึกอุ่นวาบในใจ

“ขอบคุณ”

พีทยักคิ้ว “หืม? เมื่อกี้มึงว่าไงนะ?”

มินท์ถอนหายใจ “กูบอกว่าขอบคุณ”

พีทยิ้มกว้าง “ฟังแล้วรู้สึกเป็นเกียรติสุด ๆ”

มินท์เบือนหน้าหนี แต่ปลายหูของเขาแดงอีกครั้ง

แสงไฟแห่งค่ำคืนยังคงส่องสว่าง ท่ามกลางสองเงาที่เดินเคียงกันไปอย่างเงียบงัน...

ตอนที่ 12 : เงาของคำพูด กับแสงของใครบางคน 

ยามบ่ายคล้อยสู่เย็น เมืองเก่าที่แวดล้อมด้วยตึกโบราณและถนนปูอิฐสีน้ำตาลหม่นเริ่มถูกไล้ด้วยสีทองอ่อนจากแสงสุดท้ายของวัน ลมเย็นปลายฤดูหนาวพัดผ่านซอกตึกและซอกใจใครบางคนอย่างแผ่วเบา ทว่าแฝงความเยียบเย็นเกินกว่าจะเรียกว่าสบาย ภายใต้เงาทอดยาวลงบนทางเดิน แผ่นหลังสองแผ่นก้าวเคียงกันไปช้า ๆ ราวกับต่างคนต่างแบกโลกหนัก ๆ ของตัวเองไว้คนละใบ

มินท์เดินนำไปเล็กน้อย ฝีเท้าไม่เร็วนักแต่หนักแน่นผิดปกติ... หรือบางทีอาจจะพยายามทำให้ดูหนักแน่น ทั้งที่ข้างในใจปั่นป่วนเหมือนคลื่นกระแทกโขดหินซ้ำแล้วซ้ำเล่า

"แม่งเอ๊ย..."
เขาพึมพำกับตัวเองในใจ ไม่ได้สบถออกมาเต็มเสียง แค่ปล่อยให้มันก้องอยู่ในอกแค่นั้น
"...พูดออกมาได้เนอะ ว่ากูเป็นตัวประหลาดอีกแล้ว"

ทั้งที่คิดว่าเรื่องพวกนั้นผ่านไปนานแล้วแท้ ๆ ทั้งที่คิดว่าตัวเองเข้มแข็งขึ้นมาบ้างแล้วแท้ ๆ
แต่แค่ประโยคเดียวจากคนเก่า ๆ
มันก็ยังกระแทกหัวใจได้เหมือนเดิม

และเขาก็รู้... รู้ดีเลยด้วยซ้ำ ว่าคนข้างหลังที่เดินเงียบมาตลอดทางน่ะ สัมผัสได้หมด

ตั้งแต่เดินออกจากร้านหนังสือมา เสียงหัวเราะ เสียงคุยจุกจิกที่ปกติควรจะเต็มทางเดิน กลับเงียบกริบ เหลือแค่เสียงรองเท้ากระทบอิฐดังแผ่ว ๆ กับลมเย็นที่ตีแผ่นหลัง

ไม่ใช่ว่าพีทไม่พูด เพราะไม่รู้จะพูดอะไร
แต่อาจเป็นเพราะ... กำลังคิดสิ่งเดียวกันอยู่หรือเปล่า

มินท์เม้มปากแน่น คำถามมันวนอยู่ในหัวแบบนั้นจนใจเหนื่อยล้า
"หรือมึงก็คิดเหมือนเขา... ว่ากูแปลก ว่ากูน่าขำ ว่ากูมันตัวประหลาด"

เงียบเกินไป มันเงียบเกินไปจริง ๆ จนในที่สุดมินท์ก็ทนไม่ได้

"มึงคิดอะไรอยู่?"
น้ำเสียงของเขาเบา แต่เต็มไปด้วยความระแวง ไม่ได้หันไปมองด้วยซ้ำ กลัวว่าจะต้องเห็นอะไรบางอย่างในดวงตาพีทที่ไม่อยากเจอ

พีทชะลอฝีเท้าลงเล็กน้อยก่อนจะเดินมาเทียบข้าง ดวงตาคมมองแผ่นหลังบาง ๆ นั้นอย่างใช้ความคิด สายลมโบกปลายผมสีอ่อน ๆ ของมินท์พัดปลิวไปข้างแก้ม

"ก็กำลังคิดว่า..." พีทหยุดไปครู่หนึ่งแล้วหัวเราะเบา ๆ ก่อนเอ่ยต่อ "...แฟนเก่ามึงแม่งปากหมาชิบหาย"

มินท์ชะงักเท้าไปครึ่งก้าว

"แล้วก็กำลังคิดต่ออีกว่า..." พีทยกมือเกาหลังคอ ท่าทีสบาย ๆ เหมือนคนที่ไม่ได้แบกอะไรในใจเลยสักอย่าง "...แม่งโคตรโง่เลยว่ะ ที่ทิ้งของดี ๆ แบบมึงไป"

มินท์ก้มหน้าซ่อนยิ้มแทบไม่ทัน ความอุ่นจากคำพูดนั้นมันเหมือนแสงแดดยามเย็นที่ค่อย ๆ ไหลซึมเข้าสู่ผิวหนังทีละนิดจนทั่วร่าง

"...บ้าจริง"
เสียงในใจของเขาพึมพำเหมือนเด็กชายคนหนึ่งที่ถูกชมครั้งแรกในชีวิต
"ทำไมพูดง่าย ๆ แต่แม่ง... ตรงใจขนาดนี้วะ"

"แล้วมึงไม่คิดเหรอ..." มินท์ยังดื้อด้านถามต่อ แม้จะรู้ว่าไม่ควรลากตัวเองกลับไปจมในคำพูดพวกนั้น แต่ก็อดไม่ได้อยู่ดี "...ว่ากูมันแปลก ว่ากูมันไม่เหมือนคนอื่นเขา"

พีทหันมามอง ก่อนจะแกล้งทำหน้ายุ่งใส่แบบขำ ๆ
"มึงก็แปลกอะดิ"
คำตอบนั้นทำมินท์หันขวับไปมอง แต่พีทกลับยักไหล่เหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่

"แปลกดี แปลกน่ารัก แปลกน่าเอ็นดู แปลกแบบโคตรจะเป็นมึงอะ... แล้วกูแม่งก็ชอบแบบนั้น"

มินท์ถอนหายใจออกมายาวเหยียด รู้สึกเหมือนลมหนาวที่เคยเกาะตามผิวกำลังหลุดลอยออกไปทีละชั้นจนหมด

"พูดงี้กูเขินนะเว้ย"
เขาบ่นพึมพำเสียงเบา

"ก็เขินไปดิ กูตั้งใจให้เขินอยู่แล้ว"
พีทยักคิ้วให้ก่อนจะหัวเราะออกมาเบา ๆ

แล้วบทสนทนาก็เปลี่ยนจากความหนักอึ้งเป็นความเบาสบายอย่างน่าเหลือเชื่อ กลายเป็นมุกตลกจุกจิกที่โยนใส่กันระหว่างทางเดินสายเก่า เต็มไปด้วยกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของดอกไม้ข้างทางที่ร่วงหล่นตามฤดูกาล

แสงสุดท้ายของวันที่ลับขอบฟ้าไปแล้ว ทิ้งเพียงความอบอุ่นจาง ๆ ไว้ในใจใครบางคน

มินท์ยิ้มออกมาในที่สุด รอยยิ้มบางเบาที่อาจไม่มีใครสังเกตเห็นได้ง่าย ๆ
แต่สำหรับพีท มันคือรางวัลที่ดีที่สุดจากการยืนข้างกันในวันที่เงาของความคิดมากเกือบจะกลืนกินทุกอย่าง

เสียงหัวเราะเบา ๆ ของเขาจึงดังตามหลังมินท์ไปจนสุดทาง พร้อมความรู้สึกอุ่นวาบที่หลงเหลืออยู่ในประโยคสุดท้าย

"...อยู่แบบนี้ไปเรื่อย ๆ ก็พอแล้วมั้ง"
เสียงในใจของพีทพึมพำกับตัวเองเงียบ ๆ ราวกับคำอธิษฐานเบา ๆ ที่ปล่อยให้ลอยไปกับลมเย็นปลายวันนั้น

และบางที...
โลกอาจไม่ต้องการอะไรพิเศษมากไปกว่าการมีใครสักคนที่มองเห็นในสิ่งที่คนอื่นไม่เคยเห็น ว่าความแปลกของเรา... มันงดงามมากแค่ไหน

ตอนที่ 13 – เงาในใจและแสงข้างกัน

ในค่ำคืนอันสงบเงียบของห้องพักชั้นสี่ที่อบอวลไปด้วยกลิ่นน้ำยาปรับอากาศจางๆ เสียงเครื่องปรับอากาศครางแผ่วราวกับกำลังกล่อมให้ทุกอย่างรอบตัวหลับใหล ทว่าไม่ใช่กับความคิดของมินท์ที่ยังคงเวียนวนไม่รู้จบ เขานั่งอยู่หน้าตู้หนังสือจัดเรียงปากกาในกล่องไม้สีเข้มอย่างละเอียดละออ ไล่ตั้งแต่เรียงสี ไล่ระดับความยาว ไล้ปลายให้ตรงจนไร้ที่ติ ราวกับหวังว่าความเป็นระเบียบตรงหน้าจะช่วยกลบความวุ่นวายในใจได้บ้าง

ท่ามกลางความเงียบที่แทบจะได้ยินเสียงลมหายใจของกันและกัน พีทนอนคว่ำอยู่ปลายเตียง มือหนึ่งเลื่อนหน้าจอมือถือไปเรื่อยเปื่อย แต่อีกใจก็เฝ้ามองเงาหลังตรงแน่วที่แฝงไปด้วยความแข็งขืนของมินท์ด้วยความรู้สึกบางอย่างที่อธิบายยากนัก จวบจนในที่สุด เสียงทุ้มต่ำของมินท์ก็ดังขึ้นแทรกความสงบเย็นของค่ำคืนนี้

คำถามที่ว่า "มึงว่ากูประหลาดปะวะ" มันลอยมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย แต่มันหนักหนาเสียจนทำให้พีทต้องเงยหน้าขึ้นจากมือถือ ริมฝีปากคลี่ยิ้มจาง แต่ในใจกลับเต้นแรงอย่างประหลาด เพราะไม่บ่อยนักที่มินท์จะพูดอะไรแบบนี้ออกมา ยิ่งเป็นคำถามที่ฟังดูเหมือนกำลังไม่มั่นใจในตัวเอง มันยิ่งทำให้พีทรู้สึกว่าคืนนี้คงไม่ใช่คืนธรรมดา

พีทเฝ้าจับตามองมินท์ที่ยังคงตั้งใจเรียงปากกาไม่ละสายตาไปไหน แม้จะไม่มีคำตอบจากเขาในทันที แต่มันกลับเต็มไปด้วยความเข้าใจที่ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นในความเงียบ ทั้งคู่ปล่อยให้เวลาผ่านไปช้าๆ จนในที่สุด มินท์ก็พูดออกมาอีกครั้ง แม้จะสั้นและห้วน แต่น้ำเสียงกลับเต็มไปด้วยความลังเลที่ไม่อาจปิดบังได้

พีทเดาได้ไม่ยากนักว่าเงาแห่งความไม่มั่นใจนั้นมีต้นทางจากใคร อดีตที่เพิ่งกลับมาปรากฏตัวเมื่อวันก่อนอย่างไร้เยื่อใย คำพูดแหลมคมที่เจาะเข้าไปในจุดที่มินท์ไม่อยากรับรู้ซ้ำ มันทิ้งรอยไว้มากกว่าที่อีกฝ่ายยอมแสดงออก สีหน้าตอนนั้นแม้จะทำเป็นเฉยชาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่แววตากลับหลบสายตาไปชั่วขณะ ราวกับต้องการหลีกหนีจากความจริงอันขมขื่น

เมื่อความอึดอัดค่อยๆ คลี่คลายลงด้วยความเงียบ พีทก็ลุกจากเตียงไปหามินท์อย่างเชื่องช้า ทิ้งตัวพิงขอบโต๊ะทำงาน มือหนึ่งเอื้อมหยิบปากกาด้ามโปรดจากมือมินท์อย่างหน้าด้านในแบบที่เขาถนัดเสมอ มินท์หันขวับมา ริมฝีปากเม้มแน่น สีหน้าเคร่งเครียดที่ทำให้บรรยากาศในห้องเย็นลงไปอีกองศา

แต่พีทกลับหัวเราะเบาๆ พร้อมยกยิ้มกวนประสาทใส่อย่างไม่คิดจะถอย “กูจะถามอีกที ใครบอกมึงว่ามึงประหลาด”

และในความเงียบนั้นเอง พีทก็เอ่ยถ้อยคำที่กลั่นจากใจจริงออกมา คำพูดง่ายๆ ที่ไม่ต้องการให้มินท์เข้าใจอะไรซับซ้อนนัก เพียงอยากให้รู้ว่าตลอดเวลานี้เขาอยู่ตรงนี้เพื่อมินท์เสมอ ไม่ว่าจะในวันที่อีกฝ่ายมั่นใจ หรือในวันที่กำลังจมอยู่ในเงาของความสงสัยในตัวเอง

สายตาของมินท์ดูจะลังเลและพร่าเลือน ราวกับกำลังต่อสู้กับความคิดตัวเองอยู่เงียบๆ แต่สุดท้ายก็ปล่อยให้พีทพาออกจากห้องไปง่ายๆ อย่างน่าแปลกใจ เสื้อยืดตัวใหญ่ที่พีทโยนให้ถูกสวมใส่แทนเสื้อตัวเดิมอย่างเชื่องช้า แล้วทั้งคู่ก็เดินเคียงข้างกันออกจากหอพักสู่ถนนด้านนอกที่ทอดยาวใต้แสงไฟสีส้มอ่อน

"มึงว่ากูประหลาดปะวะ"

เสียงทุ้มต่ำเปื้อนความลังเลแทรกขึ้นกลางห้อง พีทที่นอนคว่ำเล่นมือถืออยู่ปลายเตียงถึงกับต้องหยุดนิ้วกลางอากาศ เงยหน้าขึ้นอย่างแปลกใจ

"ประหลาด? มึงเนี่ยนะ?" เขาขมวดคิ้วนิดๆ แต่ริมฝีปากดันเผลอยิ้ม "แค่ไหนวะถึงเรียกว่าประหลาด? ระดับจัดปากกาตามเฉดสี Pantone หรือยัง?"

มินท์ถอนหายใจเบาๆ แต่ยังไม่หันมา

"อือ..."

พีทมองแผ่นหลังตรงเป๊ะกับไหล่ที่แข็งขึ้นราวกับถูกตรึงไว้ มันเป็นท่าทางที่เขาเริ่มจำได้ดีทุกครั้งที่มินท์เริ่มเก็บอะไรไว้ในใจ

"ใครบอก?" พีทถามเสียงเรียบ แต่หางเสียงติดหยันนิดๆ

"ไม่มี"

"เอาดีๆ นะมึง... ไม่มีนี่แม่งคือมี แต่ไม่อยากพูดใช่ปะ"

มินท์ไม่ได้ตอบอะไร มีเพียงเสียงปลายนิ้วเคาะขอบโต๊ะเบาๆ เป็นจังหวะสม่ำเสมอเหมือนกลไกนาฬิกา พีทไม่ต้องเดาให้เหนื่อย ใครกันจะพูดคำแบบนี้ได้ ถ้าไม่ใช่ใครบางคนจากอดีตที่พึ่งโผล่มาเมื่อวาน

"ก็ยังเป็นตัวประหลาดเหมือนเดิมเลยเนอะ"

คำพูดโง่ๆ นั่นยังสะท้อนอยู่ในหัวพีทชัดเจน มินท์ทำเป็นเฉย แต่พีทดันจำสีหน้าเจ็บนิดๆ นั้นได้จนขึ้นใจ

เขาลุกขึ้นจากเตียง เดินไปพิงขอบโต๊ะทำงานก่อนจะฉวยปากกาด้ามหนึ่งจากมือมินท์หน้าตาเฉย

"เอาคืน กูยังจัดไม่เสร็จ"

"เหรอวะ?" พีททำเสียงลากยาวแบบกวนประสาท "เสร็จไม่เสร็จมึงก็ตอบกูก่อนดิ ใครบอกว่ามึงประหลาด?"

"มึงไม่เข้าใจหรอก..."

"ไม่เข้าใจเพราะมึงไม่พูด หรือเพราะกูโง่?"

มินท์เหลือบตามองเขาแวบหนึ่ง ก่อนจะเม้มปากแน่นเหมือนกำลังสู้กับความคิดตัวเอง

"มินท์" พีทเรียกชื่ออีกครั้ง คราวนี้น้ำเสียงจริงจังกว่าเดิม "กูอยู่ข้างมึงนะเว้ย จะสะอาด จะ OCD จะรักระเบียบ จะอะไรก็เถอะ กูก็อยู่ข้างมึงได้หมดอะ"

"..."

"แต่มึงไม่รำคาญเหรอ พอเจอคนปกติๆ มึงก็จะได้รู้ว่ากูมัน...น่ารำคาญขนาดไหน"

"สัด มึงฟังกูนะ" พีทหัวเราะเบาๆ พลางเขยิบเข้าไปใกล้อีกนิด "กูเจอมึงทุกวันตั้งนาน ถ้ามึงน่ารำคาญ กูไปหาอย่างอื่นทำละปะวะ นี่กูตามแดกข้าวกับมึงทุกมื้อ ขึ้นหอมึงทุกเย็น นี่มันโคตรเข้าข่ายโรคจิตเลยนะเว้ย"

"ไม่ต้องพูดเว่อร์"

"จริงเหอะ แล้วอีกอย่างนะ มึงเคยคิดมั้ย ว่าบางทีสิ่งที่มึงกลัวแม่งไม่ได้อยู่ที่ตัวมึงเลย แต่แม่งอยู่ที่สายตาคนอื่นมากกว่าอะ"

พีทว่าแล้วก็หยิบเสื้อยืดตัวเองจากตู้มาโยนใส่มินท์

"ใส่"

"ใส่ทำไม"

"ไปข้างนอกกับกู"

"กูไม่พร้อม"

"พร้อมเหี้ยไร ใส่เสื้อก็พร้อมละ"

"กวนตีน"

"แล้วมึงชอบปะ ร้านน้ำปั่นหน้ามออ่ะ"

"..."

"ไปดิ ช่วงนี้อากาศดีนะเว้ย"

สุดท้ายมินท์ก็ยอมเปลี่ยนเสื้อ พอเดินออกจากหอ พีทก็คว้ามืออีกคนมากุมไว้แน่นจนมินท์เงยมอง

"ล้างมือยัง"

"ล้างแล้วเว้ย"

"โอเค"

"ถ้าไม่ล้าง มึงจะทำไง"

"ก็ปล่อยมือมึงดิ"

"เหรอ?"

"เออ แล้วก็กลับห้อง"

"โห ไม่น่าถาม"

อากาศยามค่ำคลุ้งกลิ่นดินหลังฝนใหม่ๆ เย็นสบายจนทำให้หัวใจที่ว้าวุ่นของมินท์คลายตัวลงบ้าง พีทเดินข้างๆ พร้อมกับจับมือมินท์เอาไว้แน่น เหมือนเป็นสัญญาณเตือนใจว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ตราบใดที่เดินข้างกัน เขาจะไม่มีวันปล่อยมือ

ตลอดทางเดินไปร้านน้ำปั่นหน้ามหาลัย เสียงพูดคุยของผู้คนแว่วมาเป็นระยะ ทว่าทั้งสองคนกลับมีเพียงความเงียบระหว่างกัน มันไม่ใช่ความอึดอัด หากแต่เป็นความสบายใจที่ไม่ต้องเร่งรีบพูดอะไร เพียงแค่รู้ว่ามีอีกคนอยู่ข้างๆ ก็พอ

เมื่อได้นั่งลงที่โต๊ะม้าหินอ่อนหน้าร้านใต้ร่มไม้ใหญ่ มินท์ก้มหน้าดูดน้ำปั่นในมือไปเรื่อยๆ ส่วนพีทเองก็แกล้งพูดแหย่แบบเดิมๆ เพื่อให้บรรยากาศคลายความตึงเครียด เสียงหัวเราะเบาๆ ของมินท์ในบางครั้งเป็นสิ่งที่พีทเฝ้ารอ แม้จะเล็กน้อยแต่ก็เพียงพอจะทำให้หัวใจเต้นแรงกว่าเดิม

พอถึงร้านน้ำปั่น มินท์ก็นั่งเงียบๆ ดูดน้ำปั่นรสโปรด ส่วนพีทก็นั่งเท้าคางมองแล้วหัวเราะเบาๆ

"นี่ ถ้ามึงเป็นตัวประหลาด กูก็ต้องเป็นโรคจิตดิ ที่ตามตัวประหลาดทุกวันเนี่ย"

"กูไม่ได้ตัวประหลาด"

"นั่นไง มึงพูดเองนะ" พีทหัวเราะขำแล้วเอานิ้วจิ้มแก้มมินท์เบาๆ

"หยุด"

"หยุดไร หยุดรักมึงเหรอ ก็ไม่ได้ดิ"

"..."

"มึงนี่แม่ง โคตรจะทำให้คนหลงเลยว่ะ"

"มึงก็พูดไปเรื่อย"

"แต่กูพูดจริง"

พีทเงียบไปชั่วอึดใจ ก่อนจะพูดขึ้นมาเสียงเบากว่าเดิม แต่กลับดังในใจมินท์ยิ่งกว่าเสียงลมรอบข้าง

"คนแม่งไม่ได้สมบูรณ์แบบหรอก ไม่ว่ามึงจะเป็นยังไง คนที่รักมึงจริงๆ มันอยู่ข้างมึงได้หมดอ่ะ"

มินท์มองหน้าพีทนิ่งๆ รู้สึกเหมือนมีก้อนอะไรจุกอยู่ที่คอจนพูดไม่ออก เขาเลยยื่นแก้วน้ำปั่นไปชนกับของพีทเบาๆ

"ขอบใจ"

"แค่นี้?"

"มากกว่านี้ก็เขินดิ ไอ้เหี้ย"

เสียงหัวเราะของพีทดังก้องในหัวของมินท์ ก่อนจะเผลอหัวเราะตามแบบเบาๆ อย่างไม่รู้ตัว

บางที... การที่มีใครสักคนที่ไม่คิดว่าเราแปลก ไม่เห็นว่าเราเป็นปัญหา และยังยืนยันจะอยู่ข้างกันเสมอแบบนี้... แค่นี้แม่งก็พอแล้วจริงๆ ว่ะ

ใต้แสงไฟสลัว พีทมองคนตรงหน้าอย่างคนที่รู้ว่าตัวเองกำลังตกหลุมรักซ้ำแล้วซ้ำเล่าในทุกวันที่ได้อยู่ข้างกัน และในจังหวะหนึ่ง เขาก็พูดสิ่งที่อยากให้มินท์ได้ยินออกมา

สิ่งที่สะท้อนความจริงเรียบง่ายของโลกใบนี้ ว่าไม่มีใครสมบูรณ์แบบ ไม่มีใครที่ไม่แปลกในมุมใดมุมหนึ่ง และที่สำคัญ คนที่รักเรา... ไม่เคยมองว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นปัญหาเลยแม้แต่น้อย

มินท์เงยหน้าขึ้นมองพีท เพียงเสี้ยววินาที ก่อนจะส่งแก้วน้ำปั่นในมือไปชนแก้วอีกฝ่ายเบาๆ แล้วเอ่ยคำขอบคุณด้วยน้ำเสียงราบเรียบเช่นเคย ทว่าในแววตากลับมีความอบอุ่นซ่อนอยู่มากกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา

และในค่ำคืนที่เหมือนจะธรรมดา กลับกลายเป็นคืนที่ทำให้มินท์รู้ว่า... บางทีสิ่งที่ทำให้คนเราพิเศษ ไม่ใช่การเป็นคนสมบูรณ์แบบ แต่เป็นการมีใครสักคนที่ยอมรับในสิ่งที่เราเป็นได้ทั้งหมดโดยไม่ลังเล

และคนนั้น... ก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากพีท คนที่ยังคงยิ้มอยู่ข้างๆ ในทุกวันที่เขาเงยหน้าขึ้นมองเสมอ

ในค่ำคืนอันสงบเงียบของห้องพักชั้นสี่ที่อบอวลไปด้วยกลิ่นน้ำยาปรับอากาศจางๆ เสียงเครื่องปรับอากาศครางแผ่วราวกับกำลังกล่อมให้ทุกอย่างรอบตัวหลับใหล ทว่าไม่ใช่กับความคิดของมินท์ที่ยังคงเวียนวนไม่รู้จบ เขานั่งอยู่หน้าตู้หนังสือจัดเรียงปากกาในกล่องไม้สีเข้มอย่างละเอียดละออ ไล่ตั้งแต่เรียงสี ไล่ระดับความยาว ไล้ปลายให้ตรงจนไร้ที่ติ ราวกับหวังว่าความเป็นระเบียบตรงหน้าจะช่วยกลบความวุ่นวายในใจได้บ้าง


ตอนที่ 14: (All Is Lost)

"มึงกลัว กูเข้าใจ แต่ไม่ปล่อยให้มึงหายไปเฉยๆ หรอก"


Beat 1: Setup — วันที่เงียบเกินไป

เสียงนาฬิกาบนผนังดัง “ติ๊ก... ติ๊ก...” อย่างเย็นชา และในห้องก็มีเพียงเสียงนั้น

พีทนั่งมองประตูห้องมินท์ที่ปิดสนิท รอยยิ้มกวนประสาทหายไปนานแล้ว เหลือแค่ความเงียบที่ไม่น่าไว้ใจ กับข้อความล่าสุดจากไลน์

“กูว่า…มึงกลับไปเหอะพีท”

“วันนี้กูขออยู่คนเดียว”

เขาไม่ได้โกรธ แต่ใจแม่งหน่วงแบบอธิบายไม่ถูก เมื่อวานยังนั่งหัวเราะด้วยกันอยู่เลย อยู่ดีๆ มินท์ก็ทำหน้าตึง แล้วก็บอกให้เขากลับ ทั้งที่แค่กอดไหล่เบาๆ ตอนดูหนังด้วยกัน

พีทถอนหายใจแล้วลูบหน้าตัวเองเบาๆ

“โอเค…มึงกลัวกูรู้”

แต่กูไม่ปล่อยมึงไว้เฉยๆ หรอกนะ


Beat 2: Catalyst — เสียงเคาะประตูที่ไม่มา

หนึ่งวันผ่านไป...
สองวันผ่านไป...

ไม่มีข้อความจากมินท์
ไม่มีการเดินมาหา
ไม่มีการโยนขวดแอลกอฮอล์มาให้แบบทุกที

พีทเริ่มรู้สึกเหมือนถูกตัดออกจากโลกของมินท์เฉยๆ

จนเช้าวันที่สาม เขาตัดสินใจมารอหน้าห้องตั้งแต่เจ็ดโมงตรง ท่ามกลางสายตาคนเดินผ่านที่มองอย่างสงสัย

แล้วสิ่งที่ได้จากมินท์...

“มึงมาทำไรหน้าห้องกูพีท กลับไปเหอะ กูไม่อยากให้มึงเข้าใกล้”

“ทำไมวะ กูไปแตะต้องอะไรที่มึงไม่โอเคหรือไง กูไม่ได้ล้ำเส้นขนาดนั้นปะวะ”

มินท์ถอนหายใจอย่างเห็นได้ชัดจากหลังบานประตู

“กู...กูไม่อยากให้มึงต้องมาอยู่กับคนที่แม่ง...กลัวจนประหลาดแบบกู”

“มึงไม่ได้ประหลาด” พีทว่าเสียงจริงจัง “มึงคือมินท์ที่กูรู้จัก...คนที่กูชอบด้วยซ้ำ”

เงียบ...ไม่มีคำตอบจากมินท์ มีแค่ประตูที่ยังคงปิดสนิท


Beat 3: Debate — หรือกูควรถอย?

พีทเดินกลับหอแบบหัวเสียๆ

“หรือกูควรเว้นระยะวะ ให้มึงได้หายใจเอง”
“แต่แม่ง...แล้วถ้ามึงยิ่งหายไปวะ...”

พีทนั่งมองข้อความแชตตัวเองที่ส่งหามินท์ไปแต่ไม่มีคำตอบ

“กูรออยู่นะมึง”

“อย่าหายไปแบบนี้ดิ”

แต่สุดท้ายก็ไม่มีอะไรกลับมา

เขาเลยพิมพ์ใหม่อีกหนึ่งประโยค ก่อนจะวางโทรศัพท์ไว้ไกลๆ

“กูยังอยู่ตรงนี้เสมอ ถ้ามึงพร้อม”


Beat 4: Break into Two — งั้นกูจะเข้าไปหามึงเอง

เย็นวันนั้น...
พีทหอบถุงขนมโปรดกับขวดแอลกอฮอล์ล้างมือไซส์พกพา เดินขึ้นไปเคาะประตูห้องมินท์อีกครั้ง

“เปิดดิ กูมาส่งของ ไม่เข้าห้องมึงก็ได้”

เสียงล็อกประตูดังแกร๊กเบาๆ ก่อนที่ประตูจะเปิดช่องว่างเล็กน้อย

มินท์ยื่นมือออกมารับถุง แต่ไม่สบตา

“ขอบใจ”

“มึงเป็นไงบ้าง”

“...ไม่เป็นไร”

“เหรอ กูไม่เชื่อหรอก”

มินท์ทำท่าจะปิดประตู แต่พีทเอามือยันไว้เบาๆ

“มึงกลัวกูมั้ยวะ”

มินท์เงียบไปพักนึง ก่อนจะตอบเสียงแผ่ว

“กูกลัวตัวเองมากกว่า...กลัวว่ากูจะเป็นตัวประหลาดจนมึงรำคาญ”

“งั้นฟังนะ” พีทว่าชัดๆ “กูไม่ได้อยู่ใกล้มึงเพราะมึงปกติ หรือไม่ปกติ...กูอยู่เพราะกูอยากอยู่เฉยๆ”

มินท์มองเขาผ่านช่องประตูแคบนั่น ก่อนจะค่อยๆ ปิดประตูลงอย่างช้าๆ

แต่เสียงหนึ่งก็ดังแทรกขึ้นมาก่อน

“เดี๋ยว...”

เสียงเบาๆ นั้นทำพีทเงยหน้าขึ้นมองอีกครั้ง ก่อนที่ประตูจะค่อยๆ เปิดกว้างกว่าเดิมนิดหน่อย เห็นหน้าเจ้าของห้องโผล่มานิดนึง

“มึง...เข้ามาก็ได้ แต่แบบ...ล้างมือล้างหน้าเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยนะ”

พีทแอบยิ้มนิดๆ เพราะแม่งก็เป็นมินท์แบบที่เขารู้จักจริงๆ

“ได้เลยครับคุณหมอ OCD”

“อย่าล้อดิไอ้บ้า”

“ไม่ได้ล้อ กูรัก”

มินท์ชะงักไปนิดนึงก่อนจะทำเป็นหันไปหยิบแอลกอฮอล์ส่งให้แทนคำตอบ พีทรับมาพร้อมหัวเราะในคอเบาๆ แล้วก็จัดการตัวเองอย่างว่าง่าย


Beat 6: Fun and Games — กูไม่ได้มาปราบผี แต่มาปราบความคิดมึง

ห้องมินท์ยังสะอาดเหมือนเดิมทุกอย่าง ทุกมุมถูกจัดวางเป๊ะ ไม่มีฝุ่น ไม่มีซอกที่ดูรก

แต่บรรยากาศมันต่างออกไป เพราะวันนี้พีทเข้ามาแบบที่มินท์เต็มใจให้เข้าจริงๆ

“แล้วนี่มึงโอเคมั้ยวะ ให้กูมา” พีทถามขณะนั่งไขว่ห้างบนเก้าอี้ตรงข้ามมินท์

มินท์พยักหน้า แต่ยังทำหน้ากังวลๆ

“กูก็ยังกลัวมึงจะรู้สึกว่ากูเป็นภาระอยู่ดี”

“กูไม่รู้สึกแบบนั้นหรอก มึงไม่ใช่ผีสักหน่อย กูไม่ได้มาปราบ”

“กูไม่ขำ”

“แต่กูจริงจังนะมึง ถ้ามึงจะต้องใช้ชีวิตแบบนี้ แล้วไงวะ? กูก็แค่...ทำตามกฎของมึงบ้าง จะเป็นไรไป”

มินท์มองเขาเหมือนจะพูดอะไรสักอย่างแต่ก็เงียบไป

พีทเลยพูดต่อ

“กูแค่อยากอยู่ข้างๆ มึง เข้าใจมั้ยวะ?”

“...”

“เพราะงั้น...อย่าผลักกูออกไปอีกเลย กูไม่ไปไหนหรอก”


Beat 7: Midpoint — มึงแม่ง...เป็นคนแรกที่ไม่รำคาญกู

บรรยากาศในห้องเงียบลงไปพักใหญ่

มินท์นั่งกอดเข่ากับโซฟา มองพื้นแล้วพูดเบาๆ

“มึงแม่ง...เป็นคนแรกเลยนะ ที่ไม่รำคาญกู”

พีทยิ้มจางๆ แล้วเอนหลังพิงพนัก

“เพราะมึงเป็นมินท์ไง ไม่ใช่ใครอื่น”

มินท์ขำในคอเบาๆ เหมือนเริ่มใจเย็นลงนิดหน่อย

“แต่กูกลัวจริงๆ นะพีท กูกลัวว่ากูจะเผลอทำให้มึงลำบาก”

“ถ้ากูเต็มใจ มันไม่เรียกลำบากปะวะ”

คำพูดนั้นทำให้มินท์เงียบไปอีกครั้ง แต่คราวนี้ไม่ใช่เพราะความกังวล...แต่เหมือนกำลังพยายามซึมซับมันเข้ามาในใจ


Beat 8: Bad Guys Close In — แต่กูก็ยังกลัวอยู่ดี

ความสงบที่เหมือนจะโอเคไปแล้ว อยู่ดีๆ มินท์ก็พูดขึ้นมาอีก

“แต่กูก็ยังกลัวอยู่ดี...”

“กลัวอะไรอีกวะ”

“กลัวว่าถ้าวันไหนกูแย่กว่านี้ แล้วมึงอยู่ไม่ได้ มึงจะทิ้งกูไป”

พีทมองหน้าเขา แล้วขยับไปนั่งใกล้ๆ เอามือวางบนหัวมินท์แล้วโยกเบาๆ

“มึงคิดมากชิบหายเลยมึงเนี่ย”

“ก็จริงปะวะ...มันเคยเกิดมาแล้วกับกู”

“แต่กูไม่ใช่คนพวกนั้นไง”

“กูกลัวว่ามันจะซ้ำรอยเดิมอีก”

“งั้นก็พิสูจน์ดิ ว่ากูจะไม่ทำแบบนั้น”

มินท์เงยหน้ามองเขา

“ด้วยการ...อยู่ด้วยกันไปเรื่อยๆ แบบนี้น่ะเหรอ”

“เออดิ แล้วถ้ามึงยอมให้กูอยู่ กูก็ไม่ไปไหนแน่นอน”


Beat 9: All Is Lost — หรือมึงอยากให้กูไปจริงๆ วะ?

บรรยากาศเงียบไปอีกครั้ง

มินท์ถอนหายใจ แล้วพูดเสียงแผ่ว

“แล้วถ้ากูบอกว่า...กูไม่อยากให้มึงเสียเวลาวะ”

“หืม?”

“แบบ...กูไม่อยากให้มึงมาติดอยู่กับคนแบบกู มันไม่แฟร์ปะวะ”

พีทขำในคอเบาๆ ก่อนจะมองหน้าอีกคน

“โอ๊ย...มึงนี่มันโคตรคิดมากเลยว่ะ”

“ก็กู...!”

“ฟังนะ ถ้ามึงพูดแบบนั้นอีกที กูจะงอนจริงๆ แล้วนะเว้ย”

“...ห้ะ?”

“กูไม่ได้อยู่กับมึงเพราะเวลากูเหลือเฟือ หรือเพราะสงสาร กูอยู่เพราะมึงคือมินท์ที่กูแม่ง...ชอบ”


ตอนที่ 14 — “กลางเงียบงันนั้น...มีเพียงเสียงของใจ”

ภายในห้องพักสี่เหลี่ยมแคบๆ บนชั้นห้าของหอพักเงียบสงัดราวกับทุกเสียงในโลกหยุดเคลื่อนไหว เหลือเพียงเสียงเข็มนาฬิกาที่ค่อยๆ เคลื่อนผ่านไปทีละวินาทีดังกังวาน "ติ๊ก... ติ๊ก..." กรีดความเงียบจนยิ่งทำให้อากาศหนาหนักขึ้นอย่างประหลาด

พีทนั่งเหม่อมองบานประตูไม้เรียบสนิทสีขาวสะอาดตรงหน้า ประตูบานนั้นไม่ได้เพียงขวางกั้นระหว่างสองห้อง หากแต่กั้นแยกเขาออกจากใครบางคนที่นั่งอยู่หลังบานไม้ด้วยความกลัวจนตัวสั่น รอยยิ้มมุมปากที่เคยเป็นเหมือนโล่กำบังตัวเองถูกลมเบาบางพัดพาไปตั้งแต่คืนก่อน ทิ้งไว้เพียงร่องรอยความเหนื่อยล้าหนักหน่วงในอก และข้อความสุดท้ายจากหน้าจอมือถือที่ยังค้างอยู่ราวกับเยาะเย้ย

"กูว่า...มึงกลับไปเหอะพีท
วันนี้กูขออยู่คนเดียว"

ข้อความสั้นๆ ที่อ่านวนไปมาหลายสิบรอบก็ยังไม่สามารถคลี่คลายปมแน่นในใจเขาได้ เมื่อวาน...เมื่อวานยังนั่งหัวเราะด้วยกันตรงนี้เอง ยังได้ยินเสียงขำเบาๆ ที่มินท์พยายามกลั้นไว้เวลาโดนแซวอยู่เลย แต่เพียงแค่เผลอยื่นมือไปแตะไหล่เบาๆ ระหว่างดูหนังด้วยกันเท่านั้น ทุกอย่างกลับพลิกผันเป็นความตึงเครียดและการขอให้ "กลับไป" ที่จบลงด้วยความเงียบที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นเลยแม้แต่วินาทีเดียว

พีทหลับตาลงช้าๆ ลูบใบหน้าตัวเองด้วยฝ่ามือเย็นเยียบก่อนพึมพำแผ่วเบา...

"โอเค...มึงกลัวกูรู้"

แต่สิ่งที่เขาจะไม่มีวันทำ...คือปล่อยให้มินท์เผชิญความกลัวนั้นเพียงลำพัง

วันแรกผ่านไป ท่ามกลางความว่างเปล่าที่เกาะกิน
วันที่สองไหลตามมา เงียบงันเสียจนได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้น
วันที่สาม...พีทตื่นเช้ามาตั้งแต่ฟ้ายังอมชมพูและเดินขึ้นบันไดทีละขั้นด้วยจังหวะช้าชวนเวทนา ก่อนจะหยุดยืนหน้าประตูห้องเดิมที่เขาเฝ้ามองมาหลายคืน ราวกับเด็กโง่ที่ยังเชื่อว่าถ้ารออีกหน่อย ประตูบานนั้นจะเปิดออกมาเอง

เขาเคาะประตูไปสองครั้ง และรอคอยอย่างอดทน เสียงฝีเท้าเบาๆ ขยับใกล้เข้ามาหลังประตู ก่อนคำพูดที่เย็นชาแบบฝืนๆ จะลอดออกมา

"มึงมาทำไรหน้าห้องกูพีท... กลับไปเหอะ กูไม่อยากให้มึงเข้าใกล้"

พีทพิงหัวกับกรอบประตูไม้เย็นๆ ถอนหายใจยาว "ทำไมวะ กูไปแตะต้องอะไรที่มึงไม่โอเคหรือไง กูไม่ได้ล้ำเส้นขนาดนั้นปะวะ"

ความเงียบที่ตามมาเหมือนก้อนเมฆสีเทาปกคลุมอยู่เหนือหัวทั้งสองคน ก่อนมินท์จะตอบกลับมาช้าๆ อย่างคนที่พยายามกลั้นทุกอย่างไว้ไม่ให้หล่นลงมา

"กู...กูไม่อยากให้มึงต้องมาอยู่กับคนที่แม่ง...กลัวจนประหลาดแบบกู"

พีทหลับตาแน่น มือที่กำไว้ข้างตัวค่อยๆ คลายออกก่อนตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่นิ่งและแน่นอน

"มึงไม่ได้ประหลาด มึงก็คือมินท์ คนที่กูรู้จัก...และคนที่กูชอบ"

หลังจากนั้นก็ไม่มีเสียงใดตอบกลับมาอีก มีเพียงความเงียบงันที่หนาวเย็นจับใจจนทำให้เขาต้องยอมผละออกมา...ชั่วคราวเท่านั้น


เย็นวันนั้น แสงสีส้มทองของอาทิตย์ยามเย็นทอดตัวลงบนทางเดินแคบของหอพัก พีทถือถุงขนมโปรดของมินท์กับขวดแอลกอฮอล์พกพาแน่นในมือเหมือนถือเครื่องเซ่นแก้บน เขาเคาะประตูเบาๆ สองที คล้ายคนรู้ว่าสิ่งที่ตัวเองกำลังทำต้องอาศัยความอ่อนโยนมากแค่ไหน

"เปิดดิ กูมาส่งของ ไม่เข้าห้องก็ได้"

เสียงล็อกประตูดังขึ้นแผ่วเบา ก่อนบานไม้จะเปิดออกนิดเดียวอย่างระวัง มือเรียวสะอาดสะอ้านยื่นมารับถุงไปโดยที่เจ้าของใบหน้าหลบสายตาไม่ยอมสบ

"ขอบใจ"

"มึงโอเคมั้ยวะ"

"ไม่เป็นไร"

"เหรอ... กูไม่เชื่อหรอก"

พีทยิ้มบางๆ อย่างรู้ทัน ก่อนมืออีกข้างจะยันประตูเบาๆ ไม่ให้ปิดลงไปง่ายๆ เขาเอียงคอมองเจ้าของห้องผ่านช่องว่างเล็กๆ นั้น

"มึงกลัวกูมั้ยวะ"

คำถามนั้นเหมือนหยุดเวลาทุกวินาที มินท์นิ่งไปนาน ก่อนตอบกลับเสียงแผ่วเหมือนสายลมยามค่ำคืน

"กูกลัวตัวเองมากกว่า... กลัวว่ากูจะเป็นตัวประหลาดจนมึงรำคาญ"

พีทหัวเราะเบาๆ คล้ายปลอบโยน "กูไม่ได้อยู่ใกล้มึงเพราะมึงปกติหรือไม่ปกติ กูอยู่เพราะกูอยากอยู่"

ประตูค่อยๆ ถูกปิดลงอีกครั้ง แต่ก่อนที่จะสนิท เสียงแผ่วเบาก็ดังขึ้น

"เดี๋ยว..."

บานไม้เปิดออกกว้างกว่าเดิมเล็กน้อย เผยให้เห็นใบหน้ามินท์ที่ยังไม่สบตาเต็มที่นัก แต่ครั้งนี้น้ำเสียงอ่อนลงจนพีทรู้สึกได้

"มึง...เข้ามาก็ได้ แต่ล้างมือล้างหน้าเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยนะ"

พีทยิ้มกว้างราวกับได้รับพระราชทานโปรดเกล้า

"ได้เลยครับ คุณหมอ OCD"

มินท์กลอกตาเบาๆ แล้วหยิบขวดแอลกอฮอล์ยื่นให้แทนคำตอบใดๆ พีทรับมาพร้อมหัวเราะในคอ ก่อนจะทำตามเงื่อนไขทุกอย่างเคร่งครัดแบบไม่มีข้อแม้

เพราะถึงที่สุดแล้ว...ถ้านี่คือกฎของมินท์ เขาก็เต็มใจทำตามทุกข้อ ขอแค่ได้อยู่ในโลกเล็กๆ ใบนี้ข้างๆ คนคนนี้ต่อไปเท่านั้นเอง

และในความเงียบงันที่ดูเหมือนว่างเปล่าทั้งหมดนั้น พีทได้ยินเสียงบางอย่างชัดเจนขึ้นมาในใจ...

เสียงของใครบางคนที่เพิ่งเปิดประตูให้เขาเข้าไปอยู่ด้วยกันอีกครั้ง

ตอนที่ 15: ลมหายใจที่ห่างเหิน

ห้องนั่งเล่นในหอพักของมินท์เงียบสงบเกินไปในเวลานี้ แสงไฟจากโคมระย้าแย้มส่องเข้ามาอย่างอ่อนโยนผ่านหน้าต่างกระจกบานใหญ่ ราวกับลำแสงที่พยายามจะยื่นมือไปสัมผัสสักนิดกับโลกที่อยู่ข้างนอก ทว่าในห้องนั้นกลับเต็มไปด้วยบรรยากาศที่เหมือนจะหนาวเย็นกว่าที่ควรจะเป็น มินท์นั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานมุมห้อง สายตาจดจ่ออยู่กับแผ่นกระดาษที่เต็มไปด้วยเส้นสายของแบบจำลองบ้านหนึ่ง เขาไม่ได้เงยหน้าขึ้นจากงานเลยแม้แต่น้อย แม้จะรู้สึกถึงการมีอยู่ของใครบางคนที่ยืนอยู่ตรงประตูห้อง แต่ก็เหมือนว่ามินท์ไม่ได้ให้ความสำคัญกับสิ่งรอบตัวเขามากนักในตอนนี้

พีทยืนอยู่ที่ประตูห้อง สายตาของเขาจับจ้องมินท์ด้วยความพยายามที่จะสื่อสารความรู้สึกบางอย่างที่ไม่สามารถออกมาจากปากได้ง่ายๆ แต่สิ่งที่เขากลับได้รับคือความเงียบที่ยาวนานเกินไป จนกระทั่งเสียงของพีทดังขึ้นอย่างแผ่วเบา ท่ามกลางความเงียบสงบในห้องที่ชวนให้หายใจไม่ออก

“มึงจะเงียบไปถึงเมื่อไหร่?” เสียงพีทที่ถามออกไปเหมือนเป็นการยอมรับความเหนื่อยล้าของตัวเอง

มินท์ไม่ได้ตอบอะไร เขายังคงเงียบอยู่กับงานที่มือ ขยับกระดาษและปากกากับเส้นในแบบอย่างระมัดระวัง ราวกับเขาต้องการหลีกหนีจากความรู้สึกที่พีทพยายามจะสร้างขึ้น

พีทยิ้มออกมาด้วยความขำขันที่ปะปนไปกับความเศร้า “กูแค่อยากรู้ว่ามึงหายไปไหนจากโลกนี้นานแค่ไหนแล้ว”

มินท์เลิกคิ้วเล็กน้อย แต่ก็ยังคงไม่ยอมเงยหน้าขึ้นจากงาน “ก็ทำงานอยู่ไง มึงจะพูดอะไรอีก”

พีทที่ยืนอยู่ในมุมมองเดียวกับเงียบที่เต็มไปด้วยความเหงา ยิ้มให้กับตัวเอง แววตาของเขาเต็มไปด้วยความเข้าใจที่เขาคิดว่าคนอื่นคงไม่สามารถเห็นได้ “ก็แค่ถาม หายไปไหนมานานแล้ว มึงไม่คิดถึงกูเหรอ?”

คำถามนั้นเหมือนกับการกระตุกอะไรบางอย่างในหัวใจของมินท์ เขายิ้มออกมาเล็กน้อยเพียงแค่ชั่วครู่ แต่กลับปิดบังมันเอาไว้โดยไม่ยอมให้พีทเห็น ชัดเจนว่าเขากำลังหลบหนีอะไรบางอย่างที่เขายังไม่พร้อมจะรับรู้

พีทไม่ได้ยอมแพ้ เขายืนนิ่งๆ อยู่ตรงนั้น สายตาของเขาจับจ้องไปยังร่างของมินท์ที่เต็มไปด้วยความตั้งใจและความปิดบัง เขาเริ่มรู้แล้วว่าอะไรคือสิ่งที่เขาต้องทำเพื่อให้มินท์กลับมามองเขาอีกครั้ง แต่บางสิ่งบางอย่างที่ยิ่งเขาพยายามเข้าใกล้ มันยิ่งดึงเขาห่างออกไปมากขึ้น

พีทตัดสินใจที่จะทำสิ่งที่มินท์เคยทำให้เขารู้สึกดีในวันหนึ่ง เขายื่นมือไปเบาๆ แตะที่ไหล่ของมินท์ โดยไม่ได้ตั้งใจจะทำให้มันเกินเลยไปกว่าแค่สัมผัสง่ายๆ ทว่าเหมือนจะเป็นการกระทำที่มากเกินไปสำหรับมินท์ในเวลานี้ มินท์หันขวับไปทันที ร่างกายของเขากระตุกเล็กน้อยด้วยความตกใจและความไม่พร้อมที่จะให้ใครแตะต้องเขาเช่นนี้

“อย่าแตะต้องตัวกู” มินท์พูดออกมาเสียงแข็ง ข่มความรู้สึกที่เริ่มร้อนรุ่มอยู่ภายใน

พีทมองเขาด้วยสายตาที่รู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดจากการที่มินท์ไม่ยอมรับการสัมผัสจากเขา เขาค่อยๆ ถอนหายใจออกมา “แค่แตะไหล่เอง... ไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย”

มินท์สบตากับพีทอย่างหนักแน่น “มันก็เหมือนก้าวข้ามเส้นไปแล้ว”

พีทยืนนิ่ง เหมือนจะรับรู้ถึงความสำคัญของคำว่า “เส้น” ที่มินท์หมายถึง เขาไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่รู้ดีว่ามินท์มีเส้นบางอย่างที่ไม่ยอมให้ใครข้ามมันได้

“เส้นอะไรของมึง?” พีทถามออกไปเบาๆ ด้วยความสงสัย

มินท์หันไปมองงานที่เขากำลังทำอยู่แล้วถอนหายใจออกมา เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่เบาลง “เส้นที่กูตั้งขึ้นมา... เพื่อไม่ให้ใครทำอะไรเกินเลย”

พีทไม่รู้จะทำอย่างไรต่อไป เขาอยากเข้าใจมินท์มากกว่านี้ อยากให้มินท์เปิดใจให้เขาเหมือนเดิม แต่มินท์กลับถอยห่างออกไปทุกครั้งที่เขาพยายามเข้าหา

“แค่กูอยากให้มึงรู้สึกถึงกู... ไม่ใช่แค่ผ่านการทำงานนะ” พีทพูดออกมาเสียงอ่อน รู้ดีว่ามันเป็นคำที่มินท์ไม่พร้อมจะยอมรับในตอนนี้

มินท์รู้สึกถึงความอบอุ่นที่พีทพยายามส่งมาให้ แม้ว่ามันจะทำให้เขารู้สึกอึดอัด แต่ก็ต้องยอมรับว่าเขาเองก็ไม่สามารถปฏิเสธความรู้สึกนั้นได้ แต่สิ่งที่มินท์ต้องการมากที่สุดในตอนนี้คือเวลา

“กูขอเวลา” มินท์พูดเสียงเบา ก่อนจะหันไปจับปากกาต่อไปในงานของเขา

พีทยืนอยู่ที่เดิม มองไปยังร่างของมินท์ที่กำลังหลบซ่อนความรู้สึกเอาไว้ภายในหัวใจ คำสัญญาของเขายังคงอยู่ในใจเสมอ ไม่ว่าจะยากแค่ไหน เขาก็จะไม่ทิ้งมินท์ไปไหน

การเดินทางนี้ยังคงยาวไกล แต่พีทก็รู้ดีว่าเขาจะยังคงอยู่ที่นี่… เพียงแค่รอจนกว่ามินท์จะพร้อมที่จะกลับมาหาเขาเอง

ตอนที่ 16: เมื่อความรักซ่อนเร้นในความเงียบงัน

มินท์นั่งนิ่งอยู่บนเตียง ดวงตาจดจ่อกับหนังสือที่เปิดค้างไว้ แต่ทว่าไม่สามารถขับไล่ความคิดที่เต็มไปด้วยพีทออกจากหัวได้ แม้ว่าจะพยายามจดจ่อกับตัวอักษรที่ทิ้งร่องรอยความหมายไว้ในแต่ละบรรทัด แต่หัวใจกลับดังก้องด้วยคำถามที่ว่า...พีทหายไปไหน? ทำไมวันนี้ถึงเงียบเชียบอย่างนี้? เขาทำอะไรอยู่? พีทไม่เคยบอกอะไรกับมินท์ แม้กระทั่งเรื่องที่ต้องทำในวันนี้ แต่อย่างหนึ่งที่มินท์รู้แน่ชัดคือ ความคิดของพีทมันวนเวียนอยู่ในใจเขาตลอดเวลาเหมือนกับเงาตามตัว

เขาพยายามหักห้ามใจตัวเอง ไม่ให้ไปคิดถึงเรื่องพีทมากเกินไป แต่เหมือนกับว่าแต่ละจังหวะลมหายใจของเขาล้วนพาไปคิดถึงคนคนนั้นอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

เสียงเคาะประตูดังขึ้นจนทำให้มินท์สะดุ้ง เขาเงยหน้าขึ้นมองไปที่ประตู และในขณะที่ห้องยังคงเงียบสงัดอยู่นั้น พีทก็ดันประตูเปิดออกมาพร้อมรอยยิ้มที่ชวนให้รู้สึกถึงบางอย่างที่ไม่สามารถอธิบายได้ เขายิ้มอย่างมีชัย ราวกับว่าได้พิชิตสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่สำคัญ

“ห้องกูสะอาดแล้วนะ” พีทพูดเสียงใสเหมือนกับว่าตัวเองเพิ่งทำภารกิจอันยิ่งใหญ่สำเร็จ

มินท์เงยหน้ามองพีทอย่างไม่ค่อยเชื่อสายตา บนตัวพีทนั้นเต็มไปด้วยความเป็นระเบียบ เสื้อเชิ้ตสีขาวที่ถูกยับยู่ยี่เพียงเล็กน้อยจากการทำงาน กางเกงยีนส์ที่พับขอบขาอย่างเรียบร้อย สภาพโดยรวมของพีทดูเหมือนกับคนที่มีชีวิตที่มีระเบียบและความสมดุล

“มึงทำอะไรในห้องตัวเองน่ะ?” มินท์ถามเสียงเบา แต่ไม่สามารถปิดบังความสงสัยในดวงตาของตัวเองได้

“กูทำให้มันสะอาดพอสำหรับมึงมาอยู่” พีทตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความพอใจในสิ่งที่เขาทำ จนทำให้มินท์ไม่สามารถทำหน้าเคร่งขรึมได้ต่อไป

มินท์มองไปรอบๆ ห้องของพีท ทุกอย่างถูกจัดระเบียบอย่างประณีต ทุกมุม ทุกช่อง ทุกตู้ ถูกจัดวางอย่างระมัดระวังจนเกือบจะสมบูรณ์แบบ เขารู้สึกถึงความไม่คุ้นเคยกับความสะอาดเกินกว่าปกติของห้องนี้

“มึงสะอาดมากไปแล้วนะ พีท” มินท์พูดออกมาเบาๆ แต่พีทกลับยิ้มอย่างมีความสุข

“กูทำแค่ตามที่มึงชอบ” พีทตอบเสียงใส ก่อนที่รอยยิ้มที่แสนจะท้าทายและน่าสนใจจะปรากฏขึ้นที่มุมปาก

มินท์ยังคงยืนนิ่ง เขาหลุดยิ้มออกมาเล็กน้อย ไม่สามารถเก็บความรู้สึกดีๆ ที่แอบซ่อนไว้ในใจได้ แม้ว่าจะยังคงรู้สึกหงุดหงิดจากการที่พีททำอะไรเกินตัวไป แต่สิ่งที่พีททำทั้งหมดก็ยังทำให้เขารู้สึกดีไปด้วยอย่างไม่อาจหักห้ามได้

“มันก็ดี... แต่ถ้ามึงทำแล้วสบายใจ กูก็โอเค” มินท์พูดออกมาเงียบๆ พลางหลบสายตาไปที่หนังสือในมือและดึงขอบปกหนังสือขึ้นมาเล่นเหมือนจะปิดบังอะไรบางอย่างในใจ

“แล้วมึงจะมานั่งยิ้มทำไม? ไม่เห็นบอกว่าชอบ” พีทแหย่เมื่อเห็นมินท์ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป แต่มินท์ก็ยังคงนิ่ง ไม่ยอมยิ้มให้พีทเห็นอย่างตรงๆ แต่เขากลับมองไปที่หน้าต่างห้องที่พีทเปิดออกให้ลมเย็นๆ พัดผ่านเข้ามา ราวกับว่าจะเป็นการพัดพาความหงุดหงิดที่เคยมีออกไป

พีทเห็นมินท์ยังคงไม่พูดอะไร จึงเดินไปที่โต๊ะข้างๆ และหยิบขวดน้ำที่มินท์มักจะชอบดื่มใกล้ตัว ไปวางข้างๆ เขาแล้วพูดเสียงเบา

“รู้ไหม? กูแค่หวังว่ามึงจะเข้าใจ”

มินท์หันไปมองพีทที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ดวงตาของพีทเต็มไปด้วยความจริงจังจนทำให้มินท์รู้สึกเหมือนหัวใจจะหยุดเต้นไปชั่วขณะ เขารู้สึกถึงความอบอุ่นจากคนตรงหน้า แต่ไม่รู้จะตอบกลับยังไงดี

“เข้าใจอะไร?” มินท์ถามด้วยเสียงต่ำ แต่ลึกๆ ในใจ เขาก็รู้แล้วว่า พีทต้องการให้เขาเข้าใจอะไร

“เข้าใจว่ากูทำทุกอย่างเพื่อมึง... ถึงแม้จะไม่ได้พูดออกไปตรงๆ แต่... กูก็อยากให้มึงรู้” พีทพูดแล้วยิ้มที่มุมปากอย่างอบอุ่น

มินท์รู้สึกเหมือนว่าหัวใจของเขาหยุดหมุนไปชั่วขณะ คำพูดของพีททำให้เขานึกถึงสิ่งที่พีททำให้เขาทุกครั้ง แม้จะไม่เคยแสดงออกมาให้เห็น แต่ทุกอย่างที่พีททำมันซ่อนความรู้สึกที่ดีๆ อย่างสุดซึ้ง

“บางที... ก็ไม่ต้องพูดหรอก พีท” มินท์พูดด้วยเสียงเบา แต่ในใจกลับเต็มไปด้วยความอบอุ่นที่พีทมอบให้

“แต่มึงก็รู้ว่าแค่ทำให้มึงได้ยิ้มมันก็เพียงพอแล้ว” พีทตอบกลับอย่างอ่อนโยน

ทั้งคู่ยืนอยู่ในห้องเงียบๆ พีทยังคงยิ้มให้มินท์อย่างอบอุ่น ราวกับโลกนี้เหลือแค่พวกเขาสองคน มินท์ยืนนิ่ง แต่หัวใจของเขากลับรู้สึกเหมือนมีไฟอ่อนๆ ลุกไหม้ในตัว

ในที่สุดพีทเดินเข้ามาใกล้ มินท์สามารถรับรู้ได้ถึงลมหายใจของพีทที่ใกล้ชิดกันจนแทบจะสัมผัสได้ บรรยากาศนั้นเงียบสงบ และเต็มไปด้วยความอบอุ่นที่ไม่มีคำพูดไหนจะอธิบายได้

“เอาล่ะ... ไปกินข้าวกัน” มินท์พูดเสียงเบา เขาไม่สามารถเก็บรอยยิ้มไว้ได้อีกต่อไป

พีทหัวเราะออกมาน้อยๆ ก่อนที่จะหยิบขวดน้ำที่มินท์ชอบวางไว้บนโต๊ะโยนให้มินท์

“ถ้าไปกินข้าว... มึงต้องยิ้มตลอดเลยนะ”

มินท์มองพีทด้วยสายตาที่เขากลั้นยิ้มไม่ไหว สุดท้ายแล้วก็ยิ้มออกมาอย่างเต็มใจพร้อมกับความรู้สึกดีใจที่พีทยังอยู่เคียงข้างเขา

บางครั้ง ความรักที่ซ่อนเร้นในความเงียบงันนั้น มันมีความหมายมากกว่าเสียงคำพูดที่ใครหลายคนพูดออกมา...

ตอนที่ 17: ในห้วงแห่งการดูแล

มินท์ยืนอยู่ตรงกลางห้องของพีท ดวงตาคมที่เต็มไปด้วยความตั้งใจจับจ้องไปที่สิ่งของรอบตัว ร่างกายสูงโปร่งยืนในท่าทางที่เคร่งขรึม เขามองสิ่งต่าง ๆ ด้วยสายตาของผู้ที่ไม่สามารถปล่อยให้สิ่งใดผิดเพี้ยนได้ แม้แต่รองเท้าคู่หนึ่งที่วางไม่ตรงตำแหน่งก็ทำให้เขาต้องยกมือขึ้นย้ายไปยังมุมห้องอย่างระมัดระวัง เหมือนเขากำลังเคลื่อนย้ายชิ้นส่วนของความสงบในโลกที่เขาสร้างขึ้นเอง

เสียงของเขาดังขึ้นในความเงียบสงบของห้อง

"มึงจะวางรองเท้าไว้ตรงนี้เหรอ? ต้องวางให้เป็นระเบียบ!" มินท์พูดด้วยน้ำเสียงจริงจังจนพีทอดไม่ได้ที่จะยิ้ม

พีทยืนอยู่ที่มุมห้อง ใจเขากำลังเต้นแรงในความรู้สึกที่ไม่อาจอธิบายได้ ทุกการกระทำของมินท์แสดงออกถึงความห่วงใยที่มากมาย แม้จะเป็นเพียงแค่การจัดระเบียบห้องเล็ก ๆ ก็ตาม

"มึงน่ารักจริงๆ นะ มินท์" พีทยิ้มกว้าง เขาไม่สามารถปิดบังความรู้สึกที่มันเบ่งบานอยู่ในใจได้

มินท์หันมามองเขาด้วยสีหน้าเคร่งเครียดเหมือนเดิม แต่ภายในลึก ๆ นั้นก็มีบางอย่างที่เขารู้สึกอุ่นใจ

"เอ้า! กูจะจัดให้ห้องมึงมันเรียบร้อย!" มินท์ตวัดมือไปมาอย่างจดจ่อ ราวกับไม่ยอมให้สิ่งใดหลุดรอดไป

พีทยืนมองด้วยรอยยิ้ม เขามองไปที่มินท์ที่ตั้งใจทำทุกอย่างให้มันสมบูรณ์แบบ และเขาก็รู้ดีว่ามินท์ไม่ได้แค่ทำเพื่อห้อง แต่ทำเพื่อตัวเขาเอง

"กูแค่เห็นมึงทำแบบนี้แล้วก็อดทนไม่ไหวเลย อยากจะกอดมึงมาก" พีทกล่าวออกมาจากใจ ความรู้สึกที่เขาพยายามเก็บไว้ภายในเริ่มไหลออกมา

มินท์หันไปมองเขาทันที ดวงตาคมสวยจ้องเขม็ง ก่อนจะยกมือขึ้นปฏิเสธอย่างทันที

"เอ๊ะ! กูไม่ให้มึงกอดหรอกนะ!" เสียงของมินท์ดูขึงขัง แต่สายตาของเขากลับไม่ได้แข็งกร้าวเหมือนที่พูดออกมา

พีทหัวเราะเบา ๆ เขาเข้าใจดีว่ามินท์มีขีดจำกัดของตัวเอง แต่เขาก็ไม่สามารถหยุดตัวเองจากการแสดงออกถึงความรู้สึกได้

"โอเคๆ ก็ได้... แต่กูมีวิธีอื่นนะ" พีทยิ้มให้อย่างอ่อนหวาน

มินท์ไม่ได้ตอบอะไร เขากลับหันไปยังการจัดระเบียบต่อไป โดยไม่รู้ตัวว่า พีทกำลังมองเขาด้วยรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความห่วงใย

อีกไม่นาน มินท์ก็ไปสะดุดกับตุ๊กตาหมีตัวใหญ่ที่วางอยู่บนโต๊ะ ใบหน้าเขาผุดรอยยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะถามออกไป

"มินท์... ตุ๊กตาหมีตัวนี้มันชื่อมินท์นะ"

"อะไรนะ?" มินท์ถามเสียงแปลกใจ ขณะที่พีทยืนนิ่งและยิ้มอย่างอบอุ่น

"ใช่ๆ... มันคือมินท์ของกู" พีทตอบเสียงเบา แต่อัดแน่นไปด้วยความรู้สึกบางอย่างที่ไม่อาจพูดออกมาเป็นคำพูดได้ทั้งหมด

มินท์ยิ้มเล็กน้อยแต่ยังคงงุนงง เขาหันไปมองพีทเหมือนจะถามว่าเขาหมายความว่าอย่างไร

"เอาเถอะ... มันแค่ตุ๊กตาแต่มันเหมือนกับมึงอยู่หน่อยๆ นะ" พีทกล่าวเสียงนุ่ม อ้อมแอ้มแต่แฝงไปด้วยความรู้สึกที่เขาพยายามบอกออกมาในวิธีของตัวเอง

มินท์ขำออกมาเล็กน้อย ยิ้มขบขันกับการแสดงออกของพีทที่ดูเหมือนจะอ่อนโยนไปทั้งหมด "มึงเนี่ยนะ... ก็ยังจะหาวิธีมาล้อกอดอะไรแบบนี้เหรอ"

พีทยิ้มอ่อนน้อม เขากอดตุ๊กตาหมีตัวนั้นแน่น

"ก็แค่อยากกอดมึงไงแหละ" เขาพูดด้วยน้ำเสียงหวาน

มินท์หน้าแดงขึ้นนิดหน่อยแต่ยังพยายามยืนยิ้ม "โหยยย กูไม่ให้มึงกอดหรอกนะ!"

ท่ามกลางการจัดระเบียบในห้องนั้น ความรู้สึกบางอย่างที่ไม่อาจบรรยายออกมาได้เริ่มเบ่งบานขึ้นในใจของทั้งสองคน มินท์ไม่ได้แสดงออกมากมาย แต่พีทเริ่มเข้าใจว่าในความเงียบงันนั้น มันมีความห่วงใยที่มากมายซ่อนอยู่

ในขณะที่พวกเขายืนอยู่กลางห้องที่ยังไม่เรียบร้อยนัก ทั้งสองคนก็รู้ดีว่า ทุกอย่างต้องใช้เวลา และเมื่อเวลาผ่านไป พวกเขาจะเริ่มเข้าใจและเติบโตไปพร้อมกัน

"ก็รู้หรอกนะว่า... ทุกอย่างมันต้องใช้เวลา" มินท์พูดขึ้นเสียงเบา แต่ทว่าในคำพูดนั้นแฝงไปด้วยความมั่นคง

พีทยิ้มรับ "แหละ... ทุกอย่างก็จะค่อยๆ ดีขึ้นเองใช่มั้ย"

มินท์พยักหน้าเล็กน้อย "ใช่... และกูก็จะเป็นคนที่พยายามให้มึงรู้สึกสบายใจ"

พีทยิ้มกว้าง ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความรักและความหวัง "งั้นกูจะเป็นตุ๊กตาหมีของมึงนะ เอาไว้ให้กอดเวลามึงเหงา"

มินท์หันมามองเขาและยิ้ม "โอเค... แต่ห้ามเป็นตุ๊กตาหมีตลอดไปนะ"

สายตาของพวกเขาผสานกันในความเงียบ ทุกคำพูดที่ไม่ได้ออกมาแทนที่มันไว้ด้วยสายตาที่พูดได้มากกว่าเหลือเกิน

ตอนที่ 18: "คำมั่นแห่งหัวใจ"

มินท์นั่งอยู่ที่โต๊ะไม้สีเข้มในห้องของเขา แสงไฟสีเหลืองนวลจากโคมไฟตั้งโต๊ะสะท้อนลงบนกระดาษที่เต็มไปด้วยเครื่องหมายคำตอบและตัวอักษรที่เขียนลวกๆ เพื่อให้เสร็จไปในที่สุด ข้อมือของเขาจับขวดแอลกอฮอล์ล้างมือที่ตั้งอยู่ใกล้ตัว รู้ดีว่าพีทคงจะเดินเข้ามาในห้องนี้อีกครั้ง มินท์คิดไปถึงเรื่องที่ยังค้างคาในใจ ไม่มีอะไรที่เขาอยากทำให้มันหลุดไป แต่ลึกๆ เขารู้ดีว่าเขายังไม่สามารถเปิดใจได้เต็มที่กับความรู้สึกของตัวเอง

เสียงฝีเท้าของพีทดังขึ้นจากทางเดิน เมื่อประตูห้องเปิดออก พีทยิ้มร่าเหมือนทุกครั้งที่เขาเข้ามาในห้องนี้ ขณะที่มินท์หันไปมองก็รู้สึกถึงความอบอุ่นที่พีทมอบให้ แม้เขาจะพยายามยืดเยื้อให้ตัวเองอยู่อย่างแข็งแกร่งต่อความรู้สึกในใจ แต่บางครั้งก็รู้สึกอ่อนแอและสับสนจนแทบจะไม่รู้ว่าตัวเองควรจะทำอย่างไร

พีทก้าวเข้ามาใกล้และทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ มินท์ พร้อมกับรอยยิ้มที่อบอุ่นเหมือนเดิม ขยับตัวให้ใกล้กันเล็กน้อย เขาทำให้มินท์รู้สึกถึงความอบอุ่นและความเชื่อมั่นที่เขามอบให้ทุกครั้ง

“กูบอกมึงแล้วนะว่ากูพยายามเข้าใจมึง เพราะกูอยากอยู่กับมึงไปนานๆ” เสียงพีทแผ่วเบาเหมือนคำพูดที่มาจากใจ

มินท์เงียบ เขายังคงนิ่งไม่พูดอะไร แม้ในใจเขาจะรู้สึกว่าเขาต้องตอบอะไรสักอย่าง แต่ความกลัวที่จะเปิดใจให้กับพีทมันใหญ่เกินไปจนไม่สามารถพูดออกมาได้

พีทยักคิ้วและขยับไปนั่งข้างๆ เขา ไม่รู้ว่าทำไม แต่พีทสามารถทำให้มินท์รู้สึกเหมือนว่าไม่มีอะไรที่ต้องปิดบัง ทุกคำพูดของพีทเหมือนจะเข้ามาทำให้ใจของมินท์พังทลายไปทีละนิด

“มึงก็รู้... กูไม่เคยตั้งใจจะกวนประสาทมึงมากขนาดนี้หรอกนะ แค่... อยากให้มึงเห็นว่ากูพร้อมจะยอมรับในตัวมึง” พีทพูดพลางยิ้มเล็กน้อย

มินท์ยืนนิ่งไป เสียงของพีทเหมือนจะเป็นคำมั่นสัญญาที่จะไม่ทิ้งเขาไปไหน ในขณะที่ในใจมินท์เริ่มรู้สึกถึงความรู้สึกที่เขาไม่เคยให้ใครมาก่อน รู้สึกถึงการยอมรับและความเข้าใจที่แฝงอยู่ในทุกคำพูดของพีท

มินท์ขยับตัวไปข้างหน้าและหันไปมองพีทตรงๆ เสียงหัวใจของเขาเริ่มเต้นแรงขึ้นเมื่อเขารู้สึกถึงแรงดึงดูดที่พีทสร้างขึ้น

“มึงจะอยู่กับกูจริงๆ เหรอ?” คำถามที่ลอยออกมาเบาๆ จากริมฝีปาก มันเป็นคำถามที่มินท์เองก็ยังไม่สามารถหาคำตอบได้เต็มที่ในใจ

พีทยิ้มกว้างและตอบกลับมาด้วยความมั่นใจ

“กูบอกแล้วไง...กูอยากอยู่กับมึงไปนานๆ ไม่ว่าจะเป็นยังไง”

คำตอบของพีททำให้มินท์รู้สึกถึงบางสิ่งที่เขาไม่สามารถปฏิเสธได้ ในช่วงเวลานั้น มันเหมือนทุกอย่างเริ่มละลายไปกับความรู้สึกที่เต็มไปด้วยความรักและความเข้าใจที่มากเกินจะบรรยาย

มินท์ไม่สามารถเก็บความรู้สึกทั้งหมดไว้ในตัวเองได้อีกต่อไป เขาเริ่มรู้สึกเหมือนหัวใจมันจะระเบิดออกมา เมื่อพีทยิ้มอย่างอ่อนโยน แต่ในขณะเดียวกันมินท์ก็รู้สึกถึงความอุ่นจากการได้อยู่ใกล้เขา

แล้วในที่สุด มินท์ก็ขยับเข้าไปข้างหลังพีทและกอดเขาไว้ เขากอดพีทแน่นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน มันไม่ใช่แค่การกอดเพราะความกลัว แต่เป็นการกอดที่แฝงไปด้วยความอบอุ่นและความไว้ใจที่เขามีให้พีท

พีทสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อรู้สึกถึงการกอดจากมินท์ แต่เมื่อเขาหันกลับไปเห็นใบหน้าของมินท์ที่ยิ้มอย่างอ่อนโยน เขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพียงแต่ยิ้มตอบ

“เห้ย! กูคิดว่ามึงจะเตะกูซะอีก” พีทพูดขำๆ แต่ไม่ทำให้มินท์รู้สึกแปลกแยก

มินท์ไม่ได้ตอบอะไร เพียงแต่กอดพีทแน่นขึ้น และในใจของเขากลับรู้สึกอุ่นขึ้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ราวกับว่าโลกทั้งใบไม่ได้เย็นชาอย่างที่เขาคิด

ความรู้สึกที่มินท์เก็บไว้ในใจมันหนักหนาเกินไป การเก็บไว้ทำให้เขารู้สึกเหมือนโดนกดทับ แต่ตอนนี้มันกำลังหลุดออกมา การกอดครั้งนี้ทำให้เขาเริ่มรู้สึกถึงความรักที่แท้จริง และเขาก็ไม่อยากปล่อยมันไปไหน

“กูไม่รู้ว่ามึงจะเข้าใจหรือเปล่า... มันยากนะที่จะเชื่อว่า... มึงจะอยู่ตรงนี้” เสียงมินท์กระซิบเบาๆ ขณะที่ใบหน้าของเขาซบอยู่ที่หลังพีท

พีทหัวเราะเบาๆ แต่ก็ค่อยๆ จับมือของมินท์ขึ้นมาอย่างมั่นคง

“มึงไม่ต้องกังวล... กูพร้อมแล้วว่าจะอยู่ข้างๆ มึง” เสียงของพีททำให้มินท์รู้สึกถึงความมั่นใจในคำพูดของเขา ทุกคำพูดเหมือนกับการยืนยันที่ไม่มีเงื่อนไข

มินท์ถอนหายใจเบาๆ สายตาของเขาจับจ้องไปที่พื้นในขณะที่คำพูดของพีทวนเวียนอยู่ในหัว เขาเริ่มรู้สึกถึงความอบอุ่นที่พีทมอบให้ มันทำให้เขารู้สึกว่าทุกอย่างไม่ต้องการความกลัวอีกต่อไป

พีทหันมาและยิ้มให้เขาเหมือนทุกครั้ง พร้อมกับพูดขึ้นว่า

“ถ้ามึงคิดว่า... กูจะออกจากชีวิตมึงไปในเร็วๆ นี้ กูขอให้มึงลืมไปเลย”

มินท์ยิ้มตอบ และค่อยๆ ขยับตัวออกจากการกอด แต่ในแววตาของเขากลับเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ไม่สามารถบรรยายได้

“กูรู้แล้ว... กูรู้แล้วว่า มึงจะอยู่ตรงนี้จริงๆ”

ตอนที่ 19: ความรักในเงียบสงัด

ในห้องนั่งเล่นที่แสงไฟอบอุ่นจากโคมไฟระยิบระยับสะท้อนบนผนังสีครีมอ่อน มินท์นั่งอยู่บนโซฟาตัวใหญ่ที่เคยเป็นแหล่งที่เขาพักผ่อนหลังจากวันที่ยาวนาน มองไปที่โต๊ะทำงานของตัวเองที่ถูกจัดระเบียบอย่างพิถีพิถันตามหลักเกณฑ์ที่เขาวางเอาไว้แต่ละวัน ความเงียบสงัดที่อยู่รอบตัวกลับทำให้เขารู้สึกเหมือนกำลังอยู่ในห้องที่ขาดหายไปบางอย่าง แม้ทุกสิ่งจะเรียบร้อยตามที่เขาต้องการ แต่มันก็กลับไม่สมบูรณ์แบบอย่างที่เขาคุ้นเคย

เสียงฝีเท้าที่แผ่วเบาของพีทที่เดินเข้ามาในห้องทำให้มินท์สะดุ้งเล็กน้อย สายตาของพีทสอดส่ายไปยังมินท์ที่นั่งนิ่งอยู่ เขาสังเกตเห็นว่ามินท์ดูเหมือนจะมีอะไรในใจ ท่าทางของเขาไม่เหมือนทุกครั้งที่มักจะรู้สึกสงบและควบคุมตัวเองได้เสมอ

พีทหยุดยืนอยู่ตรงประตูอย่างไม่อยากรบกวนความคิดของมินท์ทันที “มึงมีอะไรหรือเปล่า มินท์?” เขาถามด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความห่วงใยและพยายามจะผ่อนคลายความรู้สึกของมินท์ แม้จะรู้ดีว่ามินท์อาจจะไม่พูดออกมา

มินท์หันไปมองเขาด้วยสายตาหม่นหมอง ก่อนจะเงียบไปนานจนพีทเริ่มรู้สึกว่าเขาอาจจะเป็นแค่คนที่ยืนรอให้มินท์พูดออกมา

“กูกลัว...” มินท์พูดเสียงเบา ราวกับว่าคำพูดนี้มีน้ำหนักที่เกินจะพูดออกมา “กลัว...” เขาหยุดไปอีกครั้ง ราวกับคำว่า "กลัว" เป็นอุปสรรคที่ใหญ่เกินจะฝ่าไปได้

พีทที่เห็นมินท์ยืนนิ่งอยู่ข้างๆ ได้แต่เดินเข้ามานั่งข้างๆ เขา เริ่มรู้สึกถึงความเจ็บปวดที่มินท์กำลังพยายามกล้ำกลืนให้กับตัวเอง การที่มินท์ไม่พูดอะไรออกมาก็เหมือนกำลังเก็บกดบางอย่างไว้ในใจ

“มึงกลัวอะไร?” พีทถามอีกครั้ง น้ำเสียงของเขาอ่อนโยนและแสดงถึงความห่วงใยที่ไม่มีขีดจำกัด

มินท์หันไปสบตากับพีทในที่สุด ความรู้สึกอึดอัดในใจเขาค่อยๆ เริ่มคลี่คลายออกมาทีละนิด “กูกลัว...” เขาพูดอีกครั้ง น้ำเสียงสั่นนิดๆ “กูกลัวเชื้อโรค... กลัวการสัมผัส... กลัวความไม่สมบูรณ์แบบ...” คำพูดที่หลุดออกมาราวกับจะหลุดลอยไปในอากาศ แต่ก็หนักหน่วงเกินกว่าที่จะบอกใครได้

พีทขยับตัวเข้าไปใกล้ มองมินท์ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความห่วงใยและความเข้าใจ เขารู้ว่ามินท์ต้องการคำตอบหรือการปลอบประโลมอะไรบางอย่าง แต่ในตอนนี้คำพูดคงไม่สามารถช่วยให้มินท์หายกลัวได้

“มึง...” พีทพูดเสียงแผ่ว เขาพยายามสะกดความรู้สึกที่หนักหน่วงในใจของตัวเอง “ทำไมมึงถึงไม่บอกกูล่ะ?”

มินท์ยืนนิ่งไปชั่วครู่ ก่อนที่จะสูดหายใจเข้าลึก “กูไม่อยากทำให้มึงรู้สึกแย่...” เขาพูดเบาๆ เหมือนมันคือการสารภาพที่ยากจะพูดออกมา

พีทยิ้มให้กับมินท์ เขายื่นมือไปจับมือของมินท์อย่างอ่อนโยน สัมผัสนั้นทำให้มินท์รู้สึกถึงความอบอุ่นที่ลึกซึ้งในใจ ถึงแม้เขาจะเคยกลัวการสัมผัสมาก่อน แต่ความรู้สึกที่พีทมอบให้กลับทำให้เขารู้สึกเหมือนการสัมผัสนี้เป็นการปกป้องที่เขาต้องการมาตลอดชีวิต

“มึงไม่ต้องกลัวอะไรแล้ว... กูอยู่ตรงนี้แล้ว” พีทพูดเสียงแผ่ว แต่คำพูดของเขากลับเต็มไปด้วยความจริงใจและความมั่นคงที่ทำให้มินท์รู้สึกปลอดภัย

มินท์มองมือที่จับกันอยู่ เขาสัมผัสได้ถึงความสัมพันธ์ที่แนบแน่น ความเชื่อมโยงที่เกิดขึ้นระหว่างเขากับพีทราวกับการยอมรับกันและกันในทุกความไม่สมบูรณ์แบบที่พวกเขามี

“มึง...” มินท์พูดเสียงเบา “มึง... คือข้อยกเว้นของกู” คำนี้หลุดออกมาอย่างไม่สามารถหยุดได้ มันเหมือนกับการยอมรับความรู้สึกที่เขาเก็บไว้ในใจมาตลอด

พีทยิ้มออกมาอย่างอบอุ่น แม้จะรู้สึกหน้าแดงเล็กน้อย แต่เขากลับตอบด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความรัก “กูรู้แล้วว่ามึงรักกู” เขาหัวเราะเล็กน้อย แม้จะพูดแบบนั้น แต่ในดวงตาของเขากลับมีความสุขที่ยากจะบรรยาย

มินท์ไม่ตอบอะไร เขาแค่ยิ้มให้พีทอย่างอ่อนโยน แล้วเอื้อมมือไปจับมือของพีทเองเป็นครั้งแรกในชีวิต การสัมผัสนั้นทำให้หัวใจของทั้งคู่เต้นแรงขึ้นในจังหวะเดียวกัน ราวกับทุกสิ่งในโลกนี้หยุดนิ่งและทุกความกลัวที่เคยมีค่อยๆ หายไป

“กูรักมึงนะพีท...” มินท์พูดอีกครั้ง คราวนี้ด้วยน้ำเสียงที่มั่นคงมากขึ้น มันเป็นการพูดที่เต็มไปด้วยความเชื่อมั่นและความจริงใจ

พีทยิ้มกว้างจนแทบจะกลายเป็นรอยยิ้มที่ไม่สามารถหุบได้ เขาหันไปมองมินท์ด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความรัก “รักกันจริงๆ เหรอ?” เขาถามเสียงอ่อน ความรักที่ไม่เคยคาดคิดว่ามันจะเกิดขึ้นกับพวกเขาในที่สุด

มินท์พยักหน้าอย่างมั่นใจ เขายิ้มรับคำตอบนั้น ก่อนที่จะหยุดไปในชั่วครู่ แล้วรู้สึกว่าไม่มีคำพูดใดที่ต้องการจะบอกอีก ทุกสิ่งมันชัดเจนในใจของทั้งสอง

เวลาผ่านไปในห้องที่แสนเงียบสงบ ทั้งสองนั่งอยู่ข้างกัน ไม่พูดอะไรอีกเลย ความรู้สึกที่พวกเขามีต่อกันเป็นสิ่งที่เกินกว่าคำพูดจะอธิบายได้ พีทยังคงจับมือมินท์อย่างอ่อนโยน และมินท์เองก็รู้สึกว่าไม่มีอะไรที่จะต้องกลัวอีกแล้ว หากเขามีพีทอยู่เคียงข้าง

“กูจะอยู่กับมึงตลอดไป มินท์” พีทพูดเสียงแผ่วเบา แต่คำพูดนั้นกลับดังก้องในหัวใจของมินท์ เขากอดมินท์ในอ้อมแขนอย่างอบอุ่น ท่ามกลางความเงียบสงัดที่เต็มไปด้วยความรัก ความกลัวและความไม่สมบูรณ์แบบที่เคยครอบงำมินท์ในวันเวลาที่ผ่านมา ได้ถูกแทนที่ด้วยความรักที่มั่นคงจากพีท ความรักที่พวกเขาต่างรู้ดีว่าไม่มีอะไรจะสามารถทำลายมันได้

และในช่วงเวลานั้นเอง ทุกอย่างรอบตัวพวกเขาก็หยุดนิ่ง พวกเขาไม่ได้ต้องการอะไรอีกแล้ว นอกจากการที่ได้อยู่ด้วยกัน... ตลอดไป


ตอนที่ 20: สุดท้ายของความรัก

แสงแดดอ่อนๆ ในยามบ่ายเคลื่อนตัวผ่านหน้าต่างห้องนั่งเล่นของพีท ส่องสว่างลงบนโต๊ะไม้สวยที่มีร่องรอยการใช้งานเป็นประจำ รอยคราบน้ำจากแก้วกาแฟเมื่อเช้า และเศษฝุ่นที่เกาะบนพื้นผิวมันเงา แทนที่จะเป็นเพียงความยุ่งเหยิงธรรมดา แต่มันกลับเป็นสิ่งที่มินท์ให้ความสำคัญทุกครั้ง เมื่อลมหายใจของเขาถูกบังคับให้สัมผัสกับสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่ใกล้ตัว จึงไม่แปลกใจที่เขาจะนั่งลงตรงนั้นและเริ่มขัดถูอย่างตั้งใจราวกับกำลังปรนนิบัติสิ่งที่เขารักอย่างสุดหัวใจ

มือของมินท์ขยับไปอย่างรอบคอบ พยายามขจัดฝุ่นที่เกาะอยู่ในซอกมุม ทุกการเคลื่อนไหวของเขานั้นอ่อนโยนและเต็มไปด้วยความระมัดระวัง เศษฝุ่นทุกอันที่หลุดออกจากพื้นไม้ถูกเขาเก็บขึ้นมาทีละนิด ใบหน้าของมินท์คงแสดงถึงความทุ่มเทและจดจ่อในงานที่ทำจนลืมเวลาไปแล้ว

พีทนั่งอยู่บนโซฟาตัวเก่ง หยิบหนังสือขึ้นมาดูบ้าง แต่ก็ไม่สามารถหลุดพ้นจากความสนุกสนานที่เกิดขึ้นตรงหน้าได้ เขามองไปยังมินท์ที่กำลังขัดโต๊ะไม้ตรงหน้าด้วยแววตาขำขัน ไม่เคยเบื่อที่จะเห็นอีกฝ่ายทำสิ่งนี้—การทำความสะอาดกลายเป็นเสน่ห์ที่เขาแอบชอบโดยไม่รู้ตัว

“มึงยังทำอยู่เหรอ?” พีทถามเบาๆ ด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความขบขัน ยิ้มมุมปาก

มินท์ขยับมือจากการขัดโต๊ะ แค่หันไปมองพีทด้วยแววตาเรียบเฉย ก่อนจะตอบกลับไปเสียงเบา “กูต้องทำให้มันสะอาด มึงไม่เข้าใจหรอก”

พีทหัวเราะเสียงเบา น้ำเสียงของเขาแฝงไปด้วยความเอ็นดู ที่เขามองเห็นในตัวมินท์ราวกับเป็นโลกของเขาเอง “อืม ก็รู้อยู่แล้วว่ามึงเป็นแบบนี้”

เขารำลึกถึงคำพูดที่เคยเอ่ยออกมาเมื่อหลายเดือนก่อน "กูไม่ได้อยากให้มึงเปลี่ยนหรอก กูแค่ดีใจที่กูเป็นข้อยกเว้นของมึง" คำพูดเหล่านั้นยังคงดังในหัวของเขาเสมอ ถึงแม้ว่าตอนนี้ความสัมพันธ์ของเขาทั้งคู่จะเป็นไปในทางที่พิเศษแค่ไหนก็ตาม

พีทขยับตัวและเดินไปข้างหลังมินท์ เขาหยุดยืนอยู่ใกล้ๆ อีกฝ่าย ในระยะที่เกือบจะสัมผัสกันได้ รู้สึกถึงลมหายใจอุ่นๆ ที่พัดมากับการเคลื่อนไหวอย่างไร้เสียงของมินท์ การอยู่ใกล้กันเพียงแค่ชั่วขณะนั้น กลับทำให้พีทสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นที่หลอมรวมทุกอย่างไว้

“กูไม่เคยคิดจะให้มึงเปลี่ยนเลยนะ” เขาบอกเสียงเบา พร้อมกับยิ้มบางๆ ที่ทำให้มินท์รู้สึกบางอย่างในใจ

มินท์หันไปมองเขาด้วยแววตานิ่งๆ เหมือนจะตีความคำพูดนั้นแล้วกลับไปขัดโต๊ะต่อ แต่ไม่รู้ทำไม เขากลับรู้สึกใจเต้นแรงขึ้น “อะไรของมึง?”

พีทยิ้มกว้างขึ้น พลางตอบด้วยน้ำเสียงที่ยังกวนๆ เหมือนเดิม “แค่ดีใจที่กูเป็นข้อยกเว้นของมึง”

มินท์ขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะหันกลับไปทำความสะอาดอีกครั้ง เขาทำเป็นไม่สนใจ แต่หัวใจของเขากลับมีรอยยิ้มที่ซ่อนอยู่ในความเงียบงัน

เมื่อมินท์ทำความสะอาดเสร็จ เขาหยิบขวดแอลกอฮอล์ขึ้นมาฉีดมืออย่างรวดเร็ว ราวกับเป็นการทำพิธีกรรมประจำวัน เมื่อรู้สึกถึงสายตาของพีทที่จับจ้องมา

“มึงจะหอมมือกูเหรอ?” พีทแซวอย่างขำขัน น้ำเสียงเขาแอบมีความเขินเล็กน้อย

มินท์ที่กำลังฉีดแอลกอฮอล์ใส่มือชะงักเล็กน้อย ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงกวนๆ “อะไรของมึง? ถ้ามึงอยากรู้ มึงก็ลองไปโดนมือที่กูเพิ่งเช็ดมาแล้วกัน”

พีทยิ้มใหญ่เหมือนเด็กที่ได้ของเล่นใหม่ “ถ้าจะให้กูโดนมือ มึงคงต้องฉีดแอลกอฮอล์ใส่กูฆ่าเชื้อก่อนมั้ย?”

มินท์หันไปมองพีทและตอบกลับด้วยอารมณ์ขัน “อย่างมึงคงต้องอาบแอลกอฮอล์ทั้งตัว ถ้ากูต้องระวังขนาดนั้น”

การยิ้มของพีททำให้บรรยากาศในห้องนั้นอบอุ่นขึ้นเรื่อยๆ ราวกับทั้งสองคนอยู่ในโลกเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยความรักและความเข้าใจ แม้จะมีความแตกต่างที่ไม่เหมือนใคร แต่มันกลับทำให้ความสัมพันธ์ของพวกเขาแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ

พีทยื่นมือไปจับมือมินท์เบาๆ ราวกับเป็นสัญลักษณ์ของการยอมรับในความแตกต่างที่ทั้งสองมี “กูชอบมึงแบบนี้นะ ไม่ต้องเปลี่ยนอะไรหรอก” เขาพูดเสียงเบา ดวงตาของเขากลับส่องประกายอบอุ่น

มินท์ทำท่าจะสะบัดมือออก แต่ทว่ากลับหยุดนิ่ง รู้สึกถึงความอบอุ่นจากสัมผัสนั้น “กูก็ชอบมึงแบบนี้เหมือนกัน” เขาตอบเสียงเบา ก่อนจะก้มหน้าลง

พีทยิ้มด้วยความสุขในใจ ก่อนที่จะก้มลงไปหอมแก้มมินท์อย่างเบาๆ ราวกับคำพูดของเขาเป็นคำมั่นสัญญาในใจ

“แล้วกูต้องฆ่าเชื้อก่อนมั้ย?” พีทแซวด้วยรอยยิ้มขำๆ

มินท์ส่ายหัวเล็กน้อยและยิ้มกลับไป “ถ้ากูต้องฆ่าเชื้ออย่างมึงคงต้องให้มึงอาบแช่แบบจากุซซี่ทั้งแอลกอฮอล์และน้ำยาฆ่าเชื้อ”

ทั้งคู่ยิ้มให้กันในความเงียบงัน ความรู้สึกอบอุ่นและเต็มไปด้วยความรักและความเข้าใจกำลังเติบโตขึ้นในใจทั้งสอง ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน พวกเขาจะยังคงเป็นตัวของตัวเอง ไม่ต้องเปลี่ยนแปลงใดๆ เพียงแค่ยอมรับในสิ่งที่มีอยู่ และเดินไปข้างหน้าด้วยกัน

มินท์นั่งลงข้างๆ พีท ท่ามกลางแสงแดดอ่อนๆ ที่สาดส่องเข้ามาผ่านหน้าต่าง พวกเขานั่งใกล้กัน มือของพวกเขาเชื่อมโยงกันแน่น รู้สึกได้ถึงหัวใจที่เต้นเป็นจังหวะเดียวกัน

“เราสองคนมันแปลกดีนะ” มินท์กล่าวเสียงเบา พร้อมกับยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน

พีทหันไปมองเขาอย่างไม่เข้าใจ “แปลกยังไง?”

มินท์หัวเราะเล็กน้อย “กูมี OCD แต่กูก็ยอมรับว่ากูแค่รักมึงเหมือนเดิม”

พีทยิ้มอย่างอบอุ่น ก่อนจะยื่นมือไปจับมือมินท์เบาๆ “ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก กูเข้าใจ มึงคือมินท์”

และในที่สุด ทั้งสองคนก็รู้แล้วว่า ไม่ว่าโลกจะเป็นยังไง พวกเขาก็จะอยู่เคียงข้างกัน ตลอดไป.

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม