เกร็ดน่ารู้เกี่ยวกับสงกรานต์ ที่รู้แล้วจะร้องอ๋อ (หรือร้องไห้ก็ไม่รู้)
สงกรานต์ไม่ใช่ของไทยล้วน ๆ
อย่าเพิ่งตกใจ สงกรานต์เป็นประเพณีที่มีในหลายประเทศแถวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น ลาว กัมพูชา เมียนมา อินเดียบางส่วน ซึ่งคำว่า “สงกรานต์” มาจากภาษาสันสกฤต แปลว่า “การเคลื่อนที่ของดวงอาทิตย์เข้าสู่ราศีเมษ” ก็ประมาณว่า โลกเรากำลังหมุนเข้าโหมดล้างความซวยนั่นแหละ
วันปีใหม่ไทยจริง ๆ ไม่ใช่ 1 มกราคม
ก่อนเราจะอินกับ “แฮปปี้นิวเยียร์” ตามฝรั่ง ปีใหม่ไทยคือช่วงสงกรานต์นี่แหละ นับตั้งแต่สมัยโบราณ เพราะถือว่าเป็นช่วงที่ฤดูร้อนเริ่มต้นและเป็นการเริ่มชีวิตใหม่ ชำระล้างสิ่งเก่า ๆ ทิ้งไป
น้ำในสงกรานต์ไม่ได้มีไว้สาดอย่างเดียว
สมัยก่อนเขาใช้น้ำหอม น้ำอบ รดน้ำดำหัวผู้ใหญ่ เพื่อขอพร ไม่ใช่เปิดปั๊มแล้วเอาถังน้ำฟาดหน้ากันแบบยุคนี้ ที่เปลี่ยนจากพรกลายเป็นปวดหลังเพราะโดนฉีดแรงเกิน
มีการประกวดนางสงกรานต์ตั้งแต่สมัยโบราณ
นางสงกรานต์คือเทพธิดาประจำปีที่มีคติความเชื่อว่าเธอจะขี่สัตว์ประจำปีนั้นออกมา เช่น ปีไหนขี่เสือ ขี่นกยูง ขี่ควาย ก็ไปตามวัน ซึ่งแต่ละนางจะมี “ของประจำตัว” ที่บ่งบอกถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในปีนั้น เช่น ถือน้ำมันหอม หมายถึงปีนั้นน้ำจะเยอะ ถือลูกท้อก็... ไม่รู้เหมือนกัน เอาไว้ลองทายกันเอง
คำว่า ‘เล่นน้ำ’ สมัยก่อนคือ ‘เล่นน้ำแบบผู้ดี’
คือรินน้ำลงฝ่ามือ รดกันเบา ๆ พร้อมสวดมนต์อวยพร ไม่ได้เปิดสายยางอัดหน้าจนคอเคล็ดเหมือนบางพื้นที่ปัจจุบันนะเธอ
วันสงกรานต์มี 3 วันไม่ใช่เพราะอยากหยุดยาว
วันที่ 13 เมษายน เรียกว่า "วันมหาสงกรานต์" คือวันเริ่มต้นปีใหม่ไทย
วันที่ 14 เมษายน คือ "วันเนา" หรือวันอยู่กับบ้าน ทำความสะอาด เตรียมตัว
วันที่ 15 เมษายน คือ "วันเถลิงศก" หรือวันขึ้นปีใหม่จริง ๆ (วันเปลี่ยนศักราช)
มีคำเรียกสงกรานต์ว่า “วันผู้สูงอายุแห่งชาติ” ด้วย
ไม่ใช่เพราะคนแก่เล่นน้ำไม่ไหว แต่เพราะวันนี้เป็นวันที่เราจะไปรดน้ำดำหัวผู้ใหญ่ ขอพร ถือเป็นการให้เกียรติและแสดงความกตัญญู
เทศกาลนี้เคยมีการแบน
มีบางปีที่รัฐบาลหรือท้องถิ่นออกมาตรการงดเล่นน้ำ เพราะภัยแล้ง หรือโควิดระบาด จำไว้เลยว่าสงกรานต์ไม่ได้มีเพื่อเล่นน้ำ แต่มันมีเพื่อ “ใจ” ที่เบิกบานต่างหาก
เทพีสงกรานต์คือใคร?
เทพีสงกรานต์ หรือที่เรียกกันว่า "นางสงกรานต์" ไม่ใช่พริตตี้ถือปืนฉีดน้ำหน้าเวทีคอนเสิร์ตแต่อย่างใด แต่เป็น เทพธิดาผู้แทนวันสงกรานต์ของแต่ละปี ตามคติของอินเดียและไทยโบราณ
เชื่อกันว่าแต่ละปี พระอาทิตย์จะย้ายราศีเข้าสู่เมษ ก็จะมีเทพธิดานางหนึ่งขึ้นมาเป็นตัวแทนประจำปีนั้น เรียกว่า "นางสงกรานต์" โดยนางแต่ละคนจะมีความแตกต่างกัน เช่น
แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่านางสงกรานต์ปีนี้เป็นใคร?
คำตอบคือ... ต้องดูจาก “คำพยากรณ์สงกรานต์ประจำปี” ซึ่งจะบอกไว้เลยว่านางปีนี้ชื่ออะไร ใส่สีอะไร ถืออะไร ขี่อะไร และนั่นแหละคือที่มาของการแต่งตัว "ให้เข้าธีม" ที่บางคนก็อินจัด ใส่สีเดียวกับนางสงกรานต์เป๊ะ ๆ เพื่อความมงคลและยอดไลก์ในเฟซบุ๊ก
นางสงกรานต์ทั้ง 7 มีใครบ้าง?
นางสงกรานต์มีทั้งหมด 7 องค์ เท่ากับจำนวนวันในสัปดาห์ โดยแต่ละนางจะมีชื่อและของประจำตัวต่างกัน เช่น
- นางทุงษะ – วันอาทิตย์ ขี่ครุฑ ถือลูกท้อ
นางโคราคะ – วันจันทร์ ขี่พญานาค ถือดอกบัว
นางรากษส – วันอังคาร ขี่เสือ ถือดาบ
นางมณฑา – วันพุธ ขี่ลา ถือไม้เทียน
นางกิริณี – วันพฤหัสบดี ขี่ช้าง ถือปืน
นางกิมิทา – วันศุกร์ ขี่วัว ถือพิณ
นางมโหทร – วันเสาร์ ขี่นกยูง ถือจักร
ทุกปีนางจะเวียนมาไม่ซ้ำกัน ขึ้นอยู่กับว่าวันมหาสงกรานต์ตรงกับวันอะไร เช่น ถ้าสงกรานต์ปีนั้นตรงกับวันพฤหัสฯ นางกิริณีก็จะเป็นตัวแทนของปีนั้น
ใส่เสื้อลายดอกไปไหนเหรอ?
เราเชื่อว่าหลายคนต้องเคยสงสัย ทำไมพอถึงสงกรานต์ คนไทยถึงพร้อมใจกันแต่งตัวเหมือนจะไปเต้นรำในงานบุปผชาติ ทั้งลายดอกไม้บาน ลายใบไม้ร่วง สีสันแสบตาระดับที่เห็นแล้วมดในบ้านยังต้องหลบ
บางคนคิดว่าเสื้อลายดอกคือยูนิฟอร์มสงกรานต์ แต่เอาจริง ๆ มันไม่ได้มีในกฎกระทรวงมหาดไทยนะ ไม่มีใครบังคับให้ใส่แล้วจะได้ส่วนลดน้ำประปา
เสื้อลายดอกไม่ได้เกิดมาพร้อมกับวันสงกรานต์นะเว้ย มันเพิ่งมาเริ่มฮิตช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยเฉพาะในยุคที่ไทยเริ่มเปิดประเทศมากขึ้น คนก็เริ่มแต่งตัวตามฝรั่ง บวกกับช่วงนั้นพวกเสื้อผ้าสไตล์ฮาวาย ลายดอก ลายใบไม้ ลายเกาะมันฮิตพอดี ไทยก็เลยเอามาประยุกต์ใส่เล่นสงกรานต์เพราะมันดูรื่นเริง สดใส เข้ากับเทศกาล
อีกอย่าง สมัยก่อนเวลาเล่นน้ำสงกรานต์ เขาเล่นกันแบบสุภาพ ไม่เปียกแฉะถึงขั้นน้ำท่วมเมืองแบบยุคนี้ เสื้อผ้าก็เลยยังคงเนี้ยบ ๆ อยู่ พอเป็นลายดอกก็ช่วยเพิ่มความสนุกให้กับเทศกาล แถมยังไม่ต้องกลัวโดนด่าว่าแต่งตัวไม่สุภาพ เพราะมันดูสุภาพกว่าการใส่เสื้อรัดรูปเปียก ๆ แปะไปกับตัวแบบปัจจุบันเยอะ
และพูดถึงความเชื่ออีกนิด ในวัฒนธรรมไทย การใส่เสื้อผ้าสีสด ๆ หรือมีลวดลายตอนเทศกาลมันแปลว่า "ต้อนรับสิ่งดี ๆ" ใส่แล้วเป็นมงคล ใส่แล้วดูมีชีวิตชีวา คนไทยก็เลยอิน แล้วพอใครใส่ คนอื่นก็ใส่ตาม จนกลายเป็นธรรมเนียมแบบไม่ได้ตั้งใจ
สรุปก็คือ ใส่เสื้อลายดอกเพราะมัน:
เป็นการแสดงออกถึงความสุข ความครื้นเครง
ใส่แล้วไม่เปียกเท่าเสื้อขาว เอ๊ะ หรือเปล่าวะ อันนี้แล้วแต่ผ้า
ว่าแต่... ปีนี้ใครยังไม่มีเสื้อลายดอก เราแนะนำให้ไปสอยสักตัว จะได้ไม่โดนคนข้างบ้านมองแรงว่า “เอ้า ไม่อินเหรอ”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น