จุดที่กูเริ่มลุกขึ้นมาจริงๆ

จุดที่กูเริ่มล้ม มันย้อนกลับไปไกลเลย ปี 2008 จำได้แม่นเพราะแม่งเป็นปีที่โลกของกูพังทั้งใบ ตอนนั้นกูเหมือนคนที่กำลังว่ายน้ำกลางพายุ ไม่มีแสง ไม่มีฝั่ง ไม่มีอะไรให้ยึดเลย กูเหนื่อยจนคิดว่า "หรือแม่งกูควรปล่อยแล้วจมหายไปเลยวะ" แต่สุดท้ายกูก็ยังไม่ปล่อย


จุดที่กูเริ่มลุกขึ้นมาจริงๆ คือวันที่กูเขียนพ็อกเกตบุ๊คเล่มแรก วางขายในท้องตลาดโดยได้รับการติดต่อจากสำนักพิมพ์ กูไม่มีอะไรการันตีหรอกนะว่าจะรอด ไม่มีเงินถุงเงินถัง ไม่มีแบ็คอัพ แต่มีอยู่สิ่งเดียว—ความเชื่อในตัวเอง และไอ้เชื่อนั่นแหละที่ช่วยดึงกูขึ้นมาจากหลุม
ตอนที่เขียนเสร็จเล่มแรก กูรู้เลยว่า “กูนี่แหละจะเลือกทางเดินให้ตัวเอง” ไม่ใช่โลก ไม่ใช่คนอื่น ไม่ใช่เจ้านาย ไม่ใช่คนที่กูรัก แต่ กูเอง
ตั้งแต่นั้นมากูก็อยู่มาได้จนถึงตอนนี้ ผ่านอะไรที่คนบางคนอาจไม่เคยคิดว่าจะต้องเจอ
กูล้ม ลุก ล้มอีก ลุกใหม่ ล้มจนไม่รู้จะลุกยังไง ล้มแบบที่หัวใจแตกละเอียดแล้วต้องกวาดเศษมันมากอดไว้
มีคนสงสัยศักยภาพในตัวกูตั้งแต่กูยังไม่แม้แต่จะกล้าพูดว่า “กูเป็นไบโพลาร์”
มีคนตั้งคำถาม ทำไมกูวาดรูปเปลี่ยนไป
ทำไมงานกูไม่เหมือนเดิม
ทำไมกูเงียบ ทำไมกูเศร้า ทำไมกูไม่ฮาเหมือนตอนอยู่มหาวิทยาลัย
แต่เขาไม่รู้ไง ว่าในแต่ละวันที่ผ่านไปกูต้องสู้กับตัวเองขนาดไหนถึงจะยืนอยู่ได้แม้กระทั่งตอนนี้
กูต้องเริ่มพัฒนาฝีมือการวาดภาพใหม่เพราะผลข้างเคียงของยาทำให้มือสั่น กูต้องฝืนความกลัว กูต้องยอมรับว่าวันที่แย่แม่งอาจจะไม่ได้แค่วันสองวัน แต่มันเป็นเดือน เป็นปี และไม่มีใครบอกกูได้ว่า “มันจะจบเมื่อไหร่”
มึงลองคิดดูดิ กูต้องสู้กับโรค สู้กับคน สู้กับคำถาม สู้กับความไม่เข้าใจ สู้กับความเปลี่ยนแปลงในตัวเอง และยังต้องพยายามสร้างสิ่งที่ตัวเองรักในขณะที่ทุกอย่างรอบตัวพัง
มันเหนื่อยจนกูไม่รู้ว่าตัวเองยังไหวจริงๆ มั้ยหลายครั้ง
แต่ก็ไงล่ะ
วันนี้กูยังอยู่ตรงนี้
ไม่ใช่เพราะกูไม่เคยล้ม
แต่เพราะ กูเลือกจะลุกขึ้นมาเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า
เพราะกูรู้ว่า ถ้ากูไม่ลุก กูก็ไม่มีวันได้เห็นปลายทางที่กูอยากไป
และกูมาเล่าให้มึงฟังไม่ใช่เพราะกูอยากให้มึงสงสาร
แต่เพราะกูอยากให้มึงรู้ว่า ถ้ากูผ่านมาได้—มึงก็ทำได้เหมือนกัน
ถ้ามึงยังอยู่ตรงจุดที่กำลังจะล้ม หรือยังนั่งอยู่กับซากฝันของตัวเอง กูอยากให้มึงจำไว้ว่ากูเคยนั่งตรงนั้นเหมือนกัน
แล้ววันนึง มึงจะเดินผ่านมันมาได้เหมือนที่กูทำ
กูยังมีเรื่องจะเล่าอีกนะ
เพราะเส้นทางมันยังไม่จบแค่นี้...

เพราะเส้นทางมันแม่งไม่ได้โรยกลีบกุหลาบเลย มึงรู้มั้ย กว่าจะมาถึงจุดที่ “ความฝันมันกินได้” กูใช้เวลาเกือบครึ่งชีวิต โดยที่ไม่มีบริษัท ไม่มีต้นสังกัด ไม่มีคอนเนกชั่น ไม่มีเงินถุงเงินถัง มีแค่ใจดื้อๆ กับความเชื่อว่ากูต้องทำให้ได้
ถ้ามึงถามกูว่า "ทำยังไงให้ความฝันกินได้"
กูจะบอกว่า กูสร้างโปรไฟล์ของตัวเองมา 20 ปี
ไม่ได้สร้างเพราะอยากดังนะ แต่กูรู้ว่า ถ้ากูไม่มีอะไรให้คนเชื่อ กูไม่มีทางยืนในวงการได้
กูต้องเก็บเล็กผสมน้อย
ประกวดก็ลง
แพ้ก็มี
แต่พอชนะ มันก็คือหนึ่งเหรียญที่ติดเกราะกูไว้
ออกทีวี ออกสื่อ ลงแม็กกาซีน กูทำเองทั้งหมด ไม่มีใครปูพรมแดงให้เดิน
คนเห็นแค่ผลงานช่วงที่พีค แต่ไม่มีใครเห็นว่ากูพังมากี่ครั้งก่อนจะถึงจุดนั้น
มันไม่ใช่แค่ 1-2 ปีนะเว้ย
มันใช้เวลามากพอที่กูจะต้องผ่าน “ความรู้สึกอยากเลิก” ไปไม่รู้กี่รอบ
เพราะถ้ามึงอยากให้ความฝันกินได้ มึงต้องคิดให้ได้ก่อนว่า จะ “กลืน” มันยังไง จะ “ย่อย” มันแบบไหน
ความฝันมันสวยก็จริง แต่มันไม่เลี้ยงมึงโดยอัตโนมัติ
มันไม่ได้เสิร์ฟเงินเดือนให้มึงทุกสิ้นเดือน
สุดท้ายแล้ว คนเราต้องใช้เงิน
ดังนั้นก่อนจะวิ่งเข้าหาฝัน กูอยากให้มึงถามตัวเองก่อนว่า
จะเปลี่ยนฝันให้เป็นอาชีพยังไง
จะสร้างระบบรายได้จากสิ่งที่รักได้ยังไง
จะวางแผนชีวิตให้ไม่อดตาย พร้อมกับไม่ล้มเลิกความฝันไปก่อนเวลาอันควรได้ยังไง
เพราะถ้ามึงวิ่งด้วยแพชชั่นอย่างเดียวโดยไม่วางแผน
ฝันแม่งจะกลายเป็นฝันร้าย
แต่ถ้ามึงเอาความฝันมาบริหารให้ดี ฝันแม่งจะกลายเป็นสินทรัพย์ที่เลี้ยงชีวิตมึงได้
กูเคยล้มมาแล้วทุกแบบ ทั้งล้มเพราะท้อ ล้มเพราะอด ล้มเพราะโดนด่า ล้มเพราะโดนดูถูก
แต่กูก็ลุก แล้วเอาทุกครั้งที่ล้มมาสร้างบันไดเหยียบขึ้นไปเรื่อยๆ
ทุกวันนี้กูอาจยังไม่ได้รวยล้นฟ้า
แต่กูมีความมั่นใจว่า
ที่ผ่านมากูเลี้ยงตัวเองได้ด้วยสิ่งที่กูรักและกูกำลังสร้างทางใหม่ให้ตัวเองในโลกที่ทุกอย่างโดน disruption
และนั่นแม่ง priceless กว่าเงินเยอะ เพราะกูมีหนทางไป แค่แน่วแน่เดินตามทาง
ถ้ามึงอยากฟังต่อ กูจะเล่าให้ฟังว่า…
ความสำเร็จจริงๆ แล้วมันหน้าตาแบบไหน
มันไม่ใช่แค่ตัวเลขในบัญชี
แต่มันคือ “การไม่ต้องขอโทษใครในสิ่งที่เราเป็น”
อยากฟังต่อปะวะ?แต่ไม่ต้องตอบก็ได้ เพราะกูไม่สน กูจะเล่า 555

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม