มึงรู้ไหม ทำไมกูเลือกเขียนนิยายรักแบบชายรักชาย?(แบบลึกๆแล้ว)
มึงรู้ไหม ทำไมกูเลือกเขียนนิยายรักแบบชายรักชาย?(แบบลึกๆแล้ว)
เอาจริงๆ ถ้ามึงคิดว่ากูเลือกเขียนนิยายชายรักชายแค่เพราะกูชอบผู้ชายหล่อๆรักกัน มึงคิดผิด! ไม่ใช่ว่ากูไม่ชอบนะ มันก็มีบ้างแหละ แต่มันไม่ได้เป็นแค่เรื่องของการรักหรือชอบใครบางคน แต่อย่างที่กูบอกไป มันมีอะไรมากกว่านั้น—มันคือการค้นหาตัวตนของกูเอง
กูอยากจะบอกว่า กูเคยคิดมากว่า ถ้ากูเกิดมาเป็นผู้ชาย กูคงจะสามารถแสดงออกถึงตัวตนของตัวเองได้อย่างที่อยากเป็นจริงๆ หรืออาจจะรู้สึกว่ามันจะง่ายกว่าการมีชีวิตในโลกที่ต้องยึดมั่นตามกรอบของเพศหญิงที่คนอื่นคาดหวังจากเรา อย่างที่มึงรู้ ผู้หญิงต้องมีความละเอียดอ่อน ต้องใจดี ต้องอดทน ต้องไม่ดุ ต้องไม่แรง—เออ! กูเข้าใจนะว่าแต่ละคนก็มีความเป็นผู้หญิงที่แตกต่างกันออกไป แต่สำหรับกู การต้องยึดติดกับความคาดหวังเหล่านั้นมันช่างรู้สึกอึดอัดจนบางครั้งมันเกือบจะกลายเป็นการทรมานตัวเอง
การที่กูรู้สึกอยากเป็นผู้ชายมันไม่ใช่แค่เพราะความคิดว่า "เอ้อ! ผู้ชายอาจจะได้เปรียบทางสังคม" หรือ "อยากเป็นคนที่สังคมยอมรับในบางเรื่องง่ายๆ" ไม่ใช่เลย! แต่กูรู้สึกว่าเพศชายมันเปิดกว้างในการแสดงออกถึงอารมณ์ต่างๆ ในแบบที่กูอยากเป็นบ้าง อย่างเช่นการพูดออกมาตรงๆ การไม่ต้องกลัวว่าจะโดนตัดสินหรือเป็นคนที่ต้องเอาใจใครๆ ตลอดเวลา มันมีอะไรบางอย่างที่รู้สึกว่ามันไม่ต้องปิดซ่อนตัวตนไว้เหมือนกับที่ผู้หญิงส่วนใหญ่ต้องเผชิญ
ตอนที่กูเริ่มยอมรับตัวตนที่เป็นผู้หญิงของกู มันเป็นกระบวนการที่ยากเย็นมากนะ กว่าจะยอมรับตัวเองได้ก็นานพอสมควรเลย ตอนแรกๆ กูรู้สึกเหมือนตัวเองมีอะไรบางอย่างที่ "ผิด" หรือ "ไม่เหมาะสม" กับสังคม เพราะมีกฎเกณฑ์ในหัวที่บอกว่า "ผู้หญิงต้องทำแบบนี้ ต้องพูดแบบนี้" แต่ในขณะเดียวกัน กูไม่ได้รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นผู้หญิงที่สมบูรณ์ในแบบที่สังคมคาดหวัง—มันทำให้กูรู้สึกเหมือนเป็นคนที่ไม่สามารถเข้ากับใครได้ง่ายๆ
และความหยาบกระด้างของกูที่บางครั้งอาจจะเกินไปมันก็เป็นผลจากการที่กูไม่สามารถหาจุดกลางระหว่างความเป็นผู้หญิงและความเป็นตัวตนของตัวเองได้—มันเป็นการแสดงออกทางอารมณ์แบบที่ไม่เคยได้รับการยอมรับว่ามันเป็นสิ่งที่ "ผู้หญิง" ควรจะเป็น
แล้วกูพบว่าความสัมพันธ์ระหว่างผู้ชายกับผู้ชายมันมีเส้นบางอย่างที่ชายกับหญิงไม่มี เส้นที่ว่านี้คือการแสดงความรักระหว่างผู้ชายด้วยกัน ซึ่งแม่งโคตรน่าสนใจ และบางทีมันก็ลึกซึ้งจนกูนั่งจ้องเพดานห้องแล้วคิดว่า "เออ ความสัมพันธ์แบบนี้มันโคตรมีมิติเลยว่ะ"
มึงเคยเห็นมะ เวลาเพื่อนผู้ชายแม่งหยอกกันแรงๆ บางทีก็ต่อยกัน เล่นกันเหมือนหมาแมว แต่อีกวันแมร่งก็ลืมละ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เพื่อนกูเคยบอกว่า "ผู้ชายต่อยกันแล้วหาย" ซึ่งกูหมั่นไส้ประโยคนี้ฉิบหาย มึงคิดว่าผู้ชายแม่งไม่มีความรู้สึกหรือไงวะ? มันเป็น mindset ที่คนชอบยัดเยียดว่าผู้ชายต้องแข็งแกร่ง ต้องไม่คิดมาก ต้องไม่เซนซิทีฟ ต้องเป็นหุ่นยนต์กันแดดกันฝนได้ ซึ่งจริงๆ แล้วแม่งก็เป็นแค่ social construct โง่ๆ นั่นแหละ
กูเคยสงสัยว่าทำไมผู้ชายถึงต้องแสดงความรักแบบกระทบกระทั่งกัน ทำไมต้องมีโมเมนต์แบบ "เฮ้ยมึง ไปตายซะ" แต่จริงๆ คือ "กูรักมึงนะเว้ย" กูเลยเริ่มคิดว่า ถ้าเอาความสัมพันธ์นี้มาขยายให้มันละเอียดขึ้น มันจะออกมาเป็นยังไง? คำตอบคือ นิยายชายรักชายของกูนี่ไง!
เคยสงสัยกันบ้างไหมว่าทำไมคนบางคนเลือกที่จะเขียนนิยายรักชายรักชาย? กูไม่ได้แค่เขียนเพราะมันเท่ห์หรือมันมาแรงในช่วงนี้นะ แต่กูเลือกที่จะเขียนมันเพราะบางสิ่งที่อยู่ลึกๆ ในใจ กูเคยคิดว่ากูอยากเกิดมาเป็นผู้ชาย แต่ไม่ใช่แค่เพราะว่า "ผู้ชายมักจะดูมีอำนาจ" หรืออะไรแบบนั้นหรอก แต่เพราะว่าการแสดงออกของความรักระหว่างผู้ชายกับผู้ชายมันมีอะไรบางอย่างที่ต่างจากชายกับหญิง ที่กูคิดว่ามันทำให้การแสดงออกมันไม่เหมือนใครเลย
เมื่อก่อนกูเคยคิดว่าการที่ชายรักชายมันจะต้องเต็มไปด้วยความท้าทายต่างๆ ความตึงเครียดที่มาพร้อมกับความรู้สึกที่ต้องซ่อน เราก็เลยเลือกที่จะเขียนในมุมมองนี้—มันไม่ได้เป็นแค่เรื่องของการ “รัก” หรือ “ไม่รัก” แต่มันคือการค้นหาตัวตนของผู้ชายทั้งคู่ผ่านความสัมพันธ์ที่ไม่เหมือนใคร ซึ่งมันจริงๆ แล้วไม่ได้มีแค่ความหวานหวานแบบที่คนนึกถึง แต่มีเส้นบางๆ ที่ไม่เหมือนการแสดงออกของผู้ชายกับผู้หญิง ที่ต่างออกไปในแบบที่ผู้หญิงไม่เคยสัมผัสมาก่อน
พาร์ทแรกที่กูคิดถึงก็คือ "เส้นบางๆ" ที่ว่ามันเป็นเส้นการแสดงความรักระหว่างผู้ชายกับผู้ชายที่มันมีบางสิ่งที่ทำให้มันพิเศษกว่า อย่างเช่นว่าในขณะที่ผู้ชายกับผู้หญิงอาจจะมีวิธีการแสดงออกที่แตกต่างกันไปตามบทบาททางสังคมหรือค่านิยมบางอย่าง แต่ระหว่างผู้ชายกับผู้ชายมันกลับมีความเปิดกว้างในการแสดงความรู้สึกที่ไม่ได้มีข้อจำกัดแบบเดิมๆ ในการคบกันอย่างที่ผู้ชายกับผู้หญิงมี
ที่เพื่อนกูเคยบอกว่า “ผู้ชายต่อยกันแล้วหาย” ไอ้คำนี้จริงๆ แล้วก็ทำให้กูขัดใจอยู่เหมือนกันนะ เพราะมันเหมือนเป็นการมองว่าผู้ชายแสดงออกถึงความขัดแย้งกันแบบตรงไปตรงมาแล้วก็ไม่ถือสาหาความ แต่พอพูดแบบนี้กูก็เริ่มคิดว่า “เฮ้ย! นี่มันคือการเหยียดเพศนี่หว่า!” มันจะดูเป็นแบบนั้นเวลาเอามาพูดกับผู้หญิง เหมือนกับผู้หญิงเรื่องมาก ผู้ชายต่อยกันแล้วหาย จริงๆ ก็คงไม่ใช่เจตนาของเพื่อนหรอก แต่กูกลับคิดว่า เพศที่กูอยากเกิดมามันไม่ใช่เพศหญิงนะ เพราะว่าบางครั้งการแสดงออกแบบผู้ชายมันดูเปิดและสะท้อนความรู้สึกในแบบที่กูอยากจะสัมผัส
มันเป็นเรื่องของความรู้สึกที่ไม่สามารถอธิบายได้ด้วยแค่คำพูดว่า “ชายรักชายมันต้องเป็นแบบนี้” หรือ “มันต้องมีกฎเหล็กอะไรก็แล้วแต่” เพราะมันไม่ใช่แค่เรื่องของเพศ แต่คือการเรียนรู้ว่าเราจะทำอย่างไรกับความรู้สึกนี้ที่มันเกิดขึ้น ซึ่งมันก็ไม่ได้ต่างจากการแสดงความรักในแบบอื่นๆ แค่ความท้าทายมันอาจจะดูหนักหน่อยแค่นั้นเอง
ในที่สุด กูเลยตัดสินใจที่จะเขียนมัน เพราะกูรู้ว่าในโลกนี้ยังมีคนที่มีความรู้สึกแบบนี้อยู่นะ คนที่อาจจะไม่สามารถแสดงความรู้สึกเหล่านั้นออกมาได้ในโลกจริง มันก็เลยกลายเป็นภารกิจของกู ที่จะทำให้คนที่อ่านได้เห็นว่า "รักคือรัก" ไม่ว่าจะเป็นชายรักชาย หรืออะไรที่มันแตกต่างออกไปจากรูปแบบที่คนทั่วไปคิดไว้
นี่แหละคือเหตุผลที่กูเลือกเขียนนิยายรักชายรักชาย เพราะมันเป็นการแสดงออกถึงการรักในแบบที่ไม่ถูกกรอบด้วยสังคม ไม่ต้องพยายามสร้างตัวตนใหม่ที่ไม่ใช่ตัวเอง และที่สำคัญคือ มันเป็นเรื่องของการสร้างพื้นที่ให้ทุกคนได้รู้ว่าความรักมันมีหลากหลายแบบและมันไม่จำเป็นต้องถูกจำกัดด้วยอะไรเลย
การเขียนนิยายชายรักชายสำหรับกู มันคือการได้ explore พื้นที่ที่สังคมแม่งไม่ค่อยพูดถึง ผู้ชายที่แสดงความรักต่อกันแบบเปิดเผย ผู้ชายที่อ่อนโยนกับกันและกัน ไม่ใช่แค่การหยอกกันแรงๆ หรือต่อยกันพอหายโกรธ แต่มันคือการเข้าใจกันในระดับที่ลึกกว่านั้น กูอยากเห็นผู้ชายที่สามารถร้องไห้ได้โดยไม่ต้องกลัวว่าจะโดนล้อ กูอยากให้ผู้ชายสามารถบอกรักกันได้โดยไม่ต้องมีคำว่า "ไม่ใช่เกย์นะเว้ย" ห้อยท้าย กูเลยสร้างโลกแบบนั้นขึ้นมาเอง
บางคนอาจจะมองว่า กูเขียนนิยาย BL (Boy's Love) เพราะกูชอบฟินกับผู้ชายสองคนรักกัน แต่มันไม่ใช่แค่เรื่องของ "ความฟิน" อย่างเดียว มันคือการตั้งคำถามต่อบทบาทของเพศในสังคม มันคือการสร้างพื้นที่ให้ตัวละครผู้ชายได้แสดงออกในแบบที่พวกเขาอยากเป็น ไม่ใช่แบบที่สังคมบอกว่าผู้ชายควรจะเป็น
เพราะสุดท้ายแล้ว ความรักแม่งก็เป็นแค่ความรัก มันไม่มีขีดจำกัดของเพศหรอกเว้ย
และถ้ามึงอ่านมาถึงตรงนี้แล้วเริ่มเข้าใจอะไรบางอย่าง กูก็จะถือว่ากูเขียนบล็อกนี้ได้สำเร็จ แต่ถ้ามึงยังไม่เข้าใจ... ก็อ่านใหม่อีกรอบไปเลยดิ!
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น