กูไบโพลาร์เพราะ "เงียบเก็บไว้หมด"



กูเพิ่งรู้ ว่ากูไบโพลาร์เพราะ "เงียบเก็บไว้หมด"
มันเพิ่งมาตาสว่างช่วงหลังๆ นี่แหละมึง
ว่าที่สุขภาพจิตกูพังพินาศแบบระเบิดเงียบ
ส่วนหนึ่งแม่งไม่ใช่แค่เพราะสารเคมีในสมองอย่างเดียว
แต่มาจากนิสัย “เก็บกด” โคตรๆ ของตัวเองด้วย
กูเป็นคนสาย เงียบ-แบก-ยอม
จนกูทนไม่ได้ปุ๊บจะระเบิดแม่งเลย
เวลามีคนด่า กูจะเงียบ
เวลามีคนโยนขยะอารมณ์มา กูจะรับ
เวลามีคนเหี้ยใส่ กูจะบอกตัวเองว่า "ไม่เป็นไรหรอก"
…แต่ความจริงคือ แม่งเป็น!
มันไม่ได้หายไปไหนหรอกมึง
อารมณ์พวกนั้นกูไม่ได้ "ให้อภัย" แต่มันกลายเป็นก้อนพลังงานขุ่นๆ
เก็บไว้ในอกแล้วมันหมักบ่มจนกลายเป็น Angry Bird พลังทำลายสูง
ระเบิดใส่ตัวเองบ้าง ใส่คนที่ไม่เกี่ยวบ้าง ใส่คนปล่อยมาบ้าง
แล้วก็โทษตัวเองต่ออีก
นี่แหละ หนึ่งในรากเหง้าของ ไบโพลาร์ ที่กูไม่เคยรู้มาก่อน
เพราะกูไม่ได้ "จัดการอารมณ์"
แต่กู "กดมันให้เงียบ"
อย่าทำแบบกูนะมึง
อย่าอดทนในเรื่องที่ไม่ควรอด
อย่าเงียบเวลาถูกทำร้ายทางคำพูดหรือพลังงานลบๆ
กูแนะนำตรงนี้เลย
ถ้าใครสักคนพูดกับมึงด้วยอารมณ์ร้อน โดยไม่มีเหตุผล
แล้วโยนก้อนความรู้สึกเน่ามาใส่มึง
มึงไม่จำเป็นต้องใจเย็นแบบพระบิณฑบาตในเมืองร้อนนะ
มึงมีสิทธิ์ “ระเบิดกลับ” เท่าที่เค้าใส่มา
ไม่ใช่เพื่อดราม่า
แต่เพื่อปกป้อง “ใจ” ของมึงเอง
ถ้าคุยกับเหตุผลไม่ได้
อย่างน้อยมันควรรู้ว่าการโยนอารมณ์ใส่คนอื่น
แม่งมี "แรงสะท้อนกลับ" เหมือนกัน
มึงสมควรได้รับคำพูดดีๆ จากคนรอบข้าง
เหมือนที่มึงก็พูดดีกับคนอื่นนั่นแหละ
มึงแอคชันดีไว้ก่อน
แล้วคนอื่นสมควรดีกับมึงโดยเฉพาะอย่างยิ่ง
คนที่เค้ามีผลประโยชน์จากมึง
มึงอย่ายอมเค้าเป็นกระโถนท้องพระโรง
การสื่อสารแม่งควรใช้สมอง ไม่ใช่พ่นใส่กันเหมือนเปิดก๊อกน้ำร้อน
และถ้าใครแม่ง treat มึงเหมือนถังขยะอารมณ์
อย่าเงียบ
เพราะสุดท้ายมึงจะเก็บไป "ทำร้ายตัวเอง" โดยไม่รู้ตัว
มันไม่ใช่ความอ่อนแอเลย
ที่จะพูดว่า "เฮ้ย กูไม่โอเคกับที่มึงพูด"
มันคือสกิลดูแลใจตัวเอง
และมันโคตรจำเป็นกับคนที่เคยฝึกแต่การ “ทน” แบบกู
ถ้าตอนนี้มึงยังเป็นคนสายเงียบที่ใครเหี้ยใส่มาก็รับหมด
มึงไม่ต้องเปลี่ยนตัวเองเป็นคนปากกล้าทันทีหรอก
แต่อย่างน้อย เริ่มจาก "ข้างในมึง" ก่อนก็ได้
บอกตัวเองว่า
กูไม่สมควรโดนแบบนี้อีกแล้ว
แล้ววันนึง เสียงของมึงมันจะค่อยๆ ดังขึ้น
แบบที่มึงก็ยังเป็นมึงอยู่
แต่ไม่ใช่มึงที่ต้องเก็บทุกอย่างจนพังอีกต่อไป

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม