ตั้งแต่มาอยู่บ้านพ่อ ชีวิตแม่งเปลี่ยนอย่างกับโดนรีบูต

ตั้งแต่มาอยู่บ้านพ่อ ชีวิตแม่งเปลี่ยนอย่างกับโดนรีบูต

ตั้งแต่มาอยู่บ้านพ่อ — ซึ่งบ้านนี้มี “พ่อ” อยู่คนเดียว แต่จริงๆก็ไม่ถึงกับอยู่คนเดียวเพราะจริงๆแล้วอยู่กับเรานั่นแหละ ก็ไม่มีใครปล่อยเราทิ้งไปเหมือนกัน — ชีวิตมันเปลี่ยนไปโดยไม่ต้องพยายามเลย

เราเคยเป็นคนที่ใช้ชีวิตเหมือนนาฬิกาชำรุด ตื่นบ่าย นอนตีห้า กินข้าวตามอารมณ์ ซัดแต่น้ำอัดลมจนตับน่าจะพังไปหลายโซน ซักผ้าก็ต่อเมื่อไม่เหลืออะไรใส่ ยาก็กินตามดวง วันไหนลืมคือจบ นัดหมอกลายเป็นกิจวัตรประจำเดือนเหมือนรอบเดือนที่ไม่เคยหายแต่ในวันนี้หมอนัดห่างออกไป 3 เดือน

แต่พอมาอยู่ที่นี่ มันเหมือนชีวิตโดนรีเซ็ตเงียบๆ ไม่ต้องมีดราม่าก่อนเปลี่ยนแปลง ไม่มีแรงบันดาลใจยิ่งใหญ่ ไม่มีใครพูดประโยคปลุกใจ เราแค่...ค่อยๆ เปลี่ยนไปเอง

ตอนนี้เรากินข้าววันละสองมื้อ — ไม่ใช่ตามสูตรสุขภาพหรือไดเอท แต่ตามเวลาที่พ่อถือกับข้าวมาให้ มื้อแรกมักจะเป็นข้าวหมูกระเทียม ขนมจีน หรืออาหารสำเร็จรูปอะไรก็ได้ที่พ่อจัดมาแล้วว่า “สะดวก” และแน่นอน...มักจะเป็นของเดิมๆ วนๆ ไปตามสไตล์พ่อที่ไม่ได้ชอบเปลี่ยนแปลงอะไรมาก

แต่ถึงจะเป็นเมนูซ้ำ เรากลับไม่เบื่อเลย อาจเพราะมันมาพร้อมความรู้สึกว่าเรายังมีคนดูแลอยู่จริงๆ พ่อไม่พูดเยอะ ไม่แสดงออกเว่อร์ แต่ข้าวที่ถือมาให้ทุกวันก็เหมือนมีคำพูดอยู่ในนั้นเยอะกว่าประโยคที่คนทั้งโลกพูดใส่กันในโซเชียล

นอกจากข้าว พ่อยังดูแลเราด้วยความเงียบ ความสม่ำเสมอ และความไม่คาดหวังอะไรเลยจากเรา ไม่เคยถามว่าเราจะไปทำอะไรต่อ ไม่เคยเร่งว่าเมื่อไหร่จะดีขึ้น แค่ให้เราอยู่ ใช้ชีวิต และฟื้นตัวในแบบของเราเอง

บ้านนี้อาจเล็ก ฝนตกทีน้ำก็ท่วม ต้องยกปลั๊กไฟหนีน้ำ วิ่งเก็บผ้าตอนฝนเทเหมือนแข่งกับธรรมชาติ แต่อย่างน้อยมันก็เป็นบ้านที่เรารู้สึกปลอดภัย เป็นที่ที่เราได้หายใจแบบไม่ต้องอธิบายอะไรให้ใครฟัง

อยู่ในรูเล็กๆ นี้แหละ แต่ใจเรามันเหมือนได้อยู่บนสวรรค์

บางทีมันไม่ได้ต้องมีอะไรมากมาย แค่มีข้าวสองมื้อ คนถือข้าวที่ไม่ปล่อยให้เราหิว น้ำใจเล็กๆ ที่ซ้ำๆ แต่สม่ำเสมอ และที่พักใจที่ไม่ถามว่าเราจะเป็นใคร แค่นั้นพอกู้ชีวิตกลับมาได้ทั้งก้อนแล้ว

ความคิดเห็น