เราเคยคิดอยู่นานเลยนะ ว่าทำไมคนเราต้องไปยึดติดกับเครื่องมืออะไรบางอย่างขนาดนั้นวะ
เราเคยคิดอยู่นานเลยนะ ว่าทำไมคนเราต้องไปยึดติดกับเครื่องมืออะไรบางอย่างขนาดนั้นวะ
หมายถึง...บางคนแม่งจริงจังกับการต้องใช้พู่กันแท้ๆ จากอิตาลี 500 ด้ามเท่านั้นถึงจะนับว่า “ศิลปิน”
บางคนบอกว่า ถ้ายังจับดินสอวาดบนกระดาษ A4 อยู่ก็แปลว่ายังไม่โปรพอ
หรืออีกคนที่มองเราว่า “ทำงานศิลปะในคอมเหรอ...อืม...มันก็โอเคแหละ แต่ไม่เท่า "ของจริง” หรือแม้แต่แอนตี้เอไอในทุกด้าน
มึงงงง เดี๋ยวนะ ของจริงที่ว่า คืออะไรวะ?
เราไม่ได้จะบอกว่าเครื่องมือศิลปะแบบ traditional พวกนั้นไม่ดีนะ มันเจ๋งมากเว้ย และมันมีเสน่ห์ของมัน
แต่เราว่าปัญหามันอยู่ตรงที่ พอเราเอา “เครื่องมือ” มาวางเป็น “กรอบ” ว่าแบบนี้เท่านั้นถึงเรียกว่าศิลปะ
สุดท้ายมันก็กลายเป็นว่า พู่กันคือบัตรผ่าน
ผ้าใบคือบัตรเชิญ
แต่ iPad, แอปวาดรูป, หรือแม้แต่การพิมพ์โค้ดสร้างงานกลายเป็น "ตัวแถม" หรือ "ของเล่น"
เราเลยรู้สึกว่าคำว่า “ศิลปิน” มันกลายเป็นคำที่มีไว้จำกัด มากกว่าคำที่ใช้ปลดปล่อย
คือ...ทำไมวะ ทำไมต้องให้ “ศิลปะ” มานิยามว่าอะไรคือศิลปะ?
เพราะสุดท้ายแล้ว สิ่งที่สำคัญแม่งไม่ใช่พู่กัน ไม่ใช่กระดาษ ไม่ใช่ผ้าใบ ไม่ใช่คำว่าศิลปะด้วยซ้ำ
แต่มันคือ "ความหมาย" ที่อยู่ภายใต้สิ่งนั้น
คือการที่เราสื่อสารอะไรบางอย่างออกมาให้โลกเห็น
คือการที่ทุกคนรู้สึกอะไรบางอย่างแม้จะไม่มีกรอบมาบอกว่า "นี่คืองานศิลปะนะเว้ย"
บางทีเราอาจเป็นมากกว่านั้น
อาจเป็นนักเล่าเรื่อง
นักแปลงร่างอารมณ์ให้กลายเป็นภาพ
นักวางคอนเซ็ปต์ที่แหลมคมเหมือนคัตเตอร์ญี่ปุ่น
หรือบางที...เราอาจแค่เป็นมนุษย์คนหนึ่งที่อยากพูดอะไรบางอย่างโดยไม่ต้องใช้คำพูด
และถ้าทุกคนรู้สึกได้
ต่อให้เราวาดด้วยแสง
หรือเขียนด้วยความเงียบ
นั่นก็คืองานของเรา
แค่นั้นแหละเว้ย.
ศิลปะมันไม่ควรมีกรอบ เพราะคนที่สร้างมันขึ้นมาได้น่ะ…แม่งก็ไม่เคยอยู่ในกรอบอยู่แล้ว
และเราก็ไม่ได้เกิดมาเพื่อเดินตามเส้นดินสอที่ใครขีดไว้ให้
เราเกิดมาเพื่อระบายสีบนผนังโลก ไม่ว่าจะใช้แปรง ใช้นิ้ว ใช้คำ หรือใช้ความเงียบ
เพราะทุกอย่างที่เราสื่อออกไป—ถ้ามันจริงพอ มันก็ศิลปะพอ
ไม่ต้องรอให้ใครมายกนิ้วให้
ไม่ต้องรอให้มีกรอบทองล้อมมันไว้
แค่เรายกใจตัวเองให้กับมัน
มันก็พอแล้ว
แล้วถ้าใครจะถามว่า "นี่ใช่ศิลปะมั้ย?"
เราคงยักไหล่ แล้วบอกไปเบาๆ ว่า
“ไม่รู้ดิ แต่นี่แหละ กู.”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น