DADA, AI และมีดหั่นผัก: มึงจะกลัวของใหม่ไปทำไม ในเมื่อโลกก็มั่วมานานแล้ว

 

DADA, AI และมีดหั่นผัก: มึงจะกลัวของใหม่ไปทำไม ในเมื่อโลกก็มั่วมานานแล้ว

เราว่ามีคนจำนวนมากที่เจอคำว่า “AI” แล้วแม่งขึ้น
แบบฟีลโดนแมวฉี่ใส่เตียงนอน
มีตั้งแต่ "AI จะมาแทนมนุษย์!"
"มันไม่มีจิตวิญญาณ!"
"มันไม่ใช่ศิลปะ!"
"มันขี้ลอก!"

เออ เราเข้าใจนะ มันน่ากลัว เพราะมันดูฉลาดเร็วเกินไป
แต่มึงเคยเห็นอะไรมาก่อนมั้ย ที่คนก็เคยกลัวแบบนี้ แต่วันนี้แม่งกลายเป็นของธรรมดา?
เราจะเล่าอะไรให้ฟัง

ย้อนกลับไปช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง
คนกำลังตายเป็นเบือ เชือดกันด้วยระเบิด ความคิด และอุดมการณ์
โลกมันเหมือนโดนตบหน้าด้วยค้อนปอนด์แห่งความไร้สาระ
ศิลปินกลุ่มหนึ่งลุกขึ้นมาบอกว่า
“ในเมื่อโลกแม่งไม่มีเหตุผล งั้นกูก็จะไม่ใช้เหตุผลเหมือนกัน”

นั่นคือที่มาของ DADA

มันไม่ใช่ชื่อหมา ไม่ใช่ภาษาเด็กเรียกพ่อ
แต่มันคือการเคลื่อนไหวของศิลปะ ที่แม่งตั้งใจ “มั่ว” แบบมีจุดยืน
ไม่ใช่มั่วเพื่อกาว แต่มั่วเพื่อท้าทายสิ่งที่คนเคยคิดว่า “ศักดิ์สิทธิ์”
อย่างเช่น
“ศิลปะต้องมีฝีมือเหรอ?”
“ของใช้ประจำวันมันแปรรูปเป็นงานสร้างสรรค์ได้มั้ย?”
“ถ้ากูเอาโถฉี่มาตั้งในแกลเลอรี่ แล้วบอกว่ามันคือ Fountain...ใครจะเถียงกู?”

ใช่ นี่คือเรื่องจริง และมันเปลี่ยนวงการศิลปะไปตลอดกาล
เพราะมันไม่ได้บอกว่า “นี่คืองานศิลปะที่ดี”
แต่มันบอกว่า “มึงไม่จำเป็นต้องเล่นตามกติกา ถึงจะได้พูด”

ซึ่งแม่งก็คล้ายมากกับ AI ตอนนี้เลย

หลายคนบอกว่า “AI ไม่ใช่ของจริง เพราะมันไม่มีความรู้สึก”
แต่ถามจริงเหอะ มึงเคยดูโฆษณาที่ร้องไห้เพราะแมวหายมั้ย?
มึงรู้มั้ยว่าคนเขียนบทบางทีก็ไม่ได้ร้องจริงตอนเขียน
แต่มันยังโดนใจมึง เพราะ งานดีมันอยู่ที่ผลลัพธ์ ไม่ใช่ที่น้ำตาของคนทำ

AI ก็เหมือนกัน
บางทีมันเขียนบทมั่วๆ วาดภาพเพี้ยนๆ แล้วคนก็หัวเราะเยาะมัน
แต่ลึกๆ แม่งก็สะกิดคำถามว่า
“ทำไมภาพเพี้ยนๆ นี่มันดันทำให้กูรู้สึกได้วะ?”
“แล้วถ้ามันไม่ได้วาดด้วยใจ แต่กลับโดนใจกู...กูจะยังกล้าปฏิเสธมันมั้ย?”

พูดง่ายๆ เลยคือ AI ก็เหมือนมีดเล่มใหม่ในครัว
ไม่ใช่เพราะมันแทนมือคน
แต่เพราะมันเปลี่ยนวิธีคิดเรื่องการ “ทำอาหาร”

สมัยก่อนก็มีคนด่าเครื่องปั่นว่าเสียงดัง
มีคนกลัวเตาไมโครเวฟจะแผ่รังสี
มีคนบ่นว่าเครื่องฟู้ดโปรเซสเซอร์มันทำให้คนขี้เกียจหั่นผัก

แต่สุดท้าย มึงก็ต้องยอมรับว่า
เครื่องมือไม่เคยผิด คนใช้ต่างหากที่ต้องรับผิดชอบ
จะเอามีดไปทำซาซิมิหรือแทงกันหลังครัว มันอยู่ที่มือมึง ไม่ใช่ตัวมีด

AI ก็แบบนั้น
จะใช้สร้างบทหนังดีๆ หรือเอาไปหลอกให้คนคลิกลิงก์ปลอม
จะใช้แปลงไอเดียให้ไวขึ้น หรือเอาไปลอกงานคนอื่น
มันอยู่ที่ “คนใช้”

แล้วถ้าพูดถึง “การลอก”
Dada เองก็เคยโดนด่าหนักมากเรื่องนี้เหมือนกัน
เอาของคนอื่นมาตั้งใหม่ เอารูปมาตัดแปะ เขียนกลอนแบบสุ่ม
จนมีคนด่าว่า "นี่มันขโมย ไม่ใช่สร้างสรรค์"
แต่เดี๋ยวก่อน...
มันไม่ได้ลอกเพื่อแถ
แต่มันลอกเพื่อถามว่า
“ไอ้ที่เรียกว่าความเป็นเจ้าของเนี่ย...มึงแน่ใจเหรอว่ามันยุติธรรม?”

AI เทรนจากข้อมูลมหาศาลในอินเทอร์เน็ต
ซึ่งบางอันก็มีเจ้าของ บางอันก็ไม่มี
ใช่ เราควรระวังเรื่องนี้ และต้องผลักให้ระบบมันโปร่งใสมากขึ้น
แต่ในขณะเดียวกัน
AI ก็เหมือนกับ Dada ที่กำลังบอกว่า
“เฮ้ย มึงเคยตั้งคำถามมั้ยว่าใครกันแน่ที่ได้สิทธิเหนือ ‘สไตล์’?”
“แล้วถ้าสไตล์คือกลิ่นอาย มันควรมีลิขสิทธิ์มั้ยวะ?”

ไม่ใช่ว่าให้ลอกกันมั่ว
แต่คือ...ขอให้คิดก่อนจะด่าก่อน
เพราะบางทีที่มึงบอกว่า “AI ลอก” นั้น
ก็ไม่ต่างจากคนที่เคยด่า Dada ว่า “มึงก็แค่เอาโถฉี่มาวางเฉยๆ”

แต่นั่นแหละ...งานชิ้นนั้นกลายเป็นตำนาน
ในขณะที่เสียงด่า...จมหายไปกับน้ำท่อไปนานแล้ว

สุดท้าย เราไม่ได้อยากให้ทุกคนรัก AI
เหมือนที่ Dada ก็ไม่ได้เกิดมาเพื่อให้คนทั้งโลกเข้าใจ
แต่มันเกิดมาเพื่อ “หยุดโลกไว้แป๊บ” แล้วถามคำถามใหม่ๆ
ถามว่า “ความคิดสร้างสรรค์” คืออะไร
ถามว่า “ต้นฉบับ” มันวัดจากอะไร
ถามว่า “ความมั่ว” บางทีมันจริงใจกว่าความเป๊ะรึเปล่า

เพราะงี้ เราเลยอยากให้มึงลองหยุดด่า
แล้วหันมามอง AI เหมือนที่ Dada เคยมองโลก
ไม่ใช่สิ่งที่ต้องรักทันที
แต่เป็นของที่ควรสงสัยด้วยความเคารพ

และถ้ามึงกล้าพอจะหั่นแตงโมด้วยเครื่องปั่น
มึงก็น่าจะกล้าพอที่จะใช้ AI หั่นความคิดเก่าๆ ออกดูสักรอบบ้าง

ใครจะรู้...บางที
โถฉี่ของมึง อาจจะกลายเป็น Fountain ของศตวรรษใหม่ก็ได้.

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม