อยากเขียนนิยายให้จบไม่ใช่เรื่องยาก…แค่เลิกเปิด Word แล้วโหลด Scrivener สักทีเถอะ
เราเขียนนิยายจบทุกเรื่อง มี เซราฟิมทอรัสอยู่ในขั้น edit “อยากเขียนนิยายให้จบไม่ใช่เรื่องยาก…แค่เลิกเปิด Word แล้วโหลด Scrivener สักทีเถอะ”
มีวันนึงเราเจอเพื่อนนักเขียนคนนึงบ่นว่า “ทำไมกูเขียนนิยายได้ไม่ถึง 5 หน้าในหนึ่งเดือน ทั้งที่ไอเดียกูแม่งล้นหัว”
เราถามกลับไปว่า “มึงใช้ไรเขียนวะ?”
มันบอก “Word ไง โง่เหรอ”
…เออ กูโง่เองแหละที่ถามคำถามแบบนี้
เพราะตอนนั้นเราใช้ Scrivener แล้ว และชีวิตเปลี่ยนจากการเป็นนักเขียนที่เปิดสิบไฟล์แล้วหาว่า “ตอนที่นางเอกโดนยิงหัวอยู่ไหนวะ”
ไปเป็นมนุษย์ที่คลิกปุ๊บ เด้งปั๊บ เข้าใจว่าอะไรอยู่ตรงไหน และไม่ต้องสลับไฟล์หรือนั่งร้องไห้ตอนบทที่หกหาย
เอาจริง Scrivener มันไม่ใช่โปรแกรมเขียนนิยายธรรมดา
มันคือโต๊ะเขียนหนังสือของคนเขียนที่หัวรกรุงรังแต่ใจอยากปัง
คือมันช่วยให้มึงเขียนตอนจบก่อนก็ได้ เขียนจากบทที่สิบห้าแล้วย้อนกลับมาบทแรกก็ไม่มีใครด่า
อยากวางพล็อต ใส่บอร์ด โน้ต โยน reference แนบไฟล์ภาพ ใส่ metadata หรือแม้แต่เขียน profile ตัวละครยาวเป็นกิโลก็ทำได้
แล้วที่สำคัญ…ทุกอย่างมันอยู่ในที่เดียว ไม่ต้องสลับสิบไฟล์แล้วหลุด flow เพราะลืมว่านางร้ายชื่อบัวบานหรือบัวบูดกันแน่
เราชอบมากเวลามันให้ split screen
เปิดดูพล็อตครึ่งจอ เขียนจริงอีกครึ่ง
คือสมองไม่ต้องทำงานสองแรงแบบต้องจำทุกอย่างในหัว
มึงแค่ “โยนทุกอย่างลงไปในระบบ แล้วใช้หัวไปโฟกัสกับการเขียนแม่งให้มันส์”
นี่ยังไม่พูดถึง Corkboard ที่เหมือนเล่นเกมจัดซีน
มึงลากซีนโยกไปโยกมาได้ตามใจ จะเรียงใหม่ ยกตอนนั้นมาขึ้นก่อน หรือจะปัดตกซีนที่ง่อยทิ้งไปเลยก็ได้
ไม่ต้อง copy paste แบบบ้าคลั่งเหมือนตอนใช้ Word
เราไม่ได้มีวินัยหรอกนะ เราแค่รู้ว่าขี้เกียจแค่ไหน
Scrivener มันเลยกลายเป็นอาวุธที่ทำให้เรา “ขี้เกียจแบบไม่พัง”
คือบางวันไม่เขียน แต่มาเปิดดูโครง ก็ยังรู้ว่านิยายของเรามันยังหายใจอยู่
ตอน Compile draft ออกมาได้ไฟล์ PDF ที่แม่งพร้อมส่งสนพ. แบบฟอร์แมตเรียบร้อย
คืนนั้นเรานั่งจ้องหน้าจอแล้วพูดเบาๆ กับตัวเองว่า
“นี่คือความรู้สึกของการไม่อยากฆ่าตัวเองหลังจัดหน้า 300 หน้าใช่ไหม”
แล้วนี่คือ highlight สำคัญที่ทุกคนควรรู้
Scrivener มันมี trial ใช้ฟรี 30 วัน
แต่มันไม่ได้นับ “30 วันนับจากวันที่โหลด”
มันนับเฉพาะ “วันที่มึงเปิดใช้งาน”
แปลว่าโหลดไว้แล้วไปนอนดองได้ 8 เดือน พอเปิดวันแรก ก็ยังเหลืออีก 29 วัน
แม่งใจกว้างกว่าแฟนเก่าอีก
ใครยังเขียนนิยายแล้วรู้สึกว่า “ทำไมกูไม่มี progress วะ”
ให้หยุดด่าตัวเองสักแป๊บ แล้วถามว่า
“เครื่องมือที่กูใช้อยู่มันควรอยู่ในยุคไหน”
Word มันไม่ได้เกิดมาเพื่อเขียนนิยาย มันเกิดมาเพื่อพิมพ์จดหมายลาออก พิมพ์ใบเสนอราคา
แต่ Scrivener มันเกิดมาเพื่อจัดการ “โลกในหัว” ให้มึงแบบละเอียด จัดเรียงใหม่ได้ทุกองศา
มันไม่ได้เขียนให้มึงหรอก แต่มันจะไม่มีวันทำให้มึงหลงทาง
เราไม่ได้จะขายของนะ
แต่ถ้ามีของที่ทำให้มึงไปต่อได้ง่ายขึ้นในวงการที่คน 80% ล้มตายตอนกลางเรื่อง
ทำไมจะไม่ลองวะ?
Scrivener ไม่ได้เปลี่ยนให้เราเป็นนักเขียนเทพ
แต่มันทำให้เราเป็นนักเขียนที่ “ไม่พังเพราะระเบียบของตัวเอง”
และถ้ามึงอยากเขียนจบ
เริ่มจากลบ Word
แล้วโหลด Scrivener
ที่เหลือมึงกับความพยายามก็ลุยกันเองได้แล้ว
อันนี้เรื่องใหม่
เขียนอยู่ค้าพเรืองนี้ตามสไตล์มุ่ยคือปล่อยทีเดียวจบทุกตอน ขายเวอร์ชันเรียบเรียง edit สำนวน
ในยุคที่ความสัมพันธ์เริ่มต้นจากปลายนิ้วหัวแม่มือ
“แค่ปัดขวา” อาจเปลี่ยนใครบางคนจากเพื่อน...ไปเป็นคนรัก
หรือไม่ก็พาไปเจอกับความพังพินาศทางอารมณ์ที่ไม่มีปุ่ม undo
แซนด์วิช—ผู้ชายขี้เล่น อารมณ์ดี เจ้าเล่ห์นิดๆ และไม่เคยเชื่อในแอพหาคู่
กับเวย์—เพื่อนสนิทสายติสต์เงียบขรึม ไม่อินกับเทคโนโลยี และไม่เคยมีแฟน
ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ควรจะจบลงแค่ตรงคำว่า “เพื่อน”
แต่แล้ววันหนึ่ง...โชคชะตาหรือบั๊กของระบบไม่รู้ได้ดันจับให้ทั้งคู่ “แมตช์” กันในแอพ
และทุกอย่างที่ควรจะเป็นแค่ “เล่นขำๆ” กลับเริ่มกลายเป็นเรื่อง “เล่นๆ ที่ไม่ขำ”
เมื่อคำว่า “แฟนกันในแอพ” กลายเป็นจุดเริ่มต้นของบทสนทนา
บทสนทนาแปรเปลี่ยนเป็นความสนิท
และความสนิทเริ่มเคลื่อนขยับเข้าใกล้คำว่า “รัก” ทีละน้อย โดยที่ไม่มีใครตั้งใจ
ในขณะเดียวกัน
เพื่อนที่แอบรัก
คนที่เข้ามาใหม่
และอดีตที่ไม่เคยพูดถึง
กลับทำให้ทุกอย่างเริ่มสั่นไหว
ความรักครั้งนี้คือเกม…หรือของจริง?
คือการหยอกเล่นเพื่อหลีกหนีความเหงา หรือการเปิดใจอย่างเงียบๆ ที่ไม่มีใครกล้าพูดก่อน?
ปัดเล่นๆ เป็นแฟนจริงๆ คือนิยายที่พูดถึงความสัมพันธ์ก้ำกึ่ง การเติบโตของหัวใจ และช่วงชีวิตที่เรายังไม่แน่ใจว่า…เราอยากเล่น หรืออยากรู้สึกจริง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น