ความสำเร็จของใครสักคน มักจะกลายเป็นหมัดล่องหนที่ย้อนกลับมาชกหน้าเจ้าตัวเอง



โอเค วันนี้เราจะเล่าหนึ่งในดราม่าที่หลายคนเจอ แต่ไม่ค่อยมีใครกล้าพูดกันตรงๆ เพราะมันไม่ใช่แค่เรื่อง “พูดมาก” หรือ “เงียบไป” แต่มันคือเกมจิตวิทยาในโซเชียล ที่ความสำเร็จของใครสักคน มักจะกลายเป็นหมัดล่องหนที่ย้อนกลับมาชกหน้าเจ้าตัวเอง
เรื่องมีอยู่ว่า…
เราเป็นคนประเภทที่เวลาทำอะไรสำเร็จ ชอบโพสต์ ชอบแชร์ ไม่ใช่เพราะอยากอวดเฉยๆ แต่มันคือความดีใจแบบเด็กได้รางวัลหน้าเสาธง มันคือการบอกตัวเองว่า “เฮ้ย กูรอดมาอีกหนึ่งแมตช์แล้วนะ” เหมือนโง่มาทั้งเทอมแล้วอยู่ดีๆ ได้ 10 เต็มวิชาคณิต พ่อแม่ยังขอแปะบนตู้เย็นเลยมึง แล้วโซเชียลมันก็คือตู้เย็นของยุคนี้แหละวะ
แต่ปัญหาคือ…ไม่ใช่ทุกคนจะดีใจกับเรา
พอเราแชร์มากเข้า มีคนมาแซะ บ้างก็แกล้งชมแบบกัดๆ บ้างก็บอกว่า “โอ้ย แค่เรื่องแค่นี้ก็โพสต์ละ เห็นใจคนอื่นบ้าง” คือเอาจริง…ความสำเร็จของเราไปแย่งข้าวใครวะ? หรือเราไปโพสต์ว่า “ทุกคนมันกระจอก มีแต่เราที่เก่ง” เปล่าเลย ไม่เคย แต่แค่การยืนอยู่เฉยๆ แล้วประสบความสำเร็จ มันก็สะเทือนคนที่ยังอยู่ในจุดที่ไม่พอใจชีวิตตัวเองแล้ว
นี่แหละคือ "Reflective Insecurity" (การสะท้อนของความไม่มั่นคงในตัวเอง)
ทุกคนเคยเห็นคนแบบนี้แหละ เวลาเห็นคนอื่นดีขึ้น ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกแย่กับตัวเอง แล้วพอแย่ก็เลือกที่จะพังคนอื่น แทนที่จะซ่อมตัวเอง
คนพวกนี้ไม่ใช่แค่ “ไม่อยากให้เราอวด” แต่ลึกๆ มันคือ “ไม่อยากให้ใครเหนือกว่าในโลกที่เขารู้สึกด้อยอยู่แล้ว” บางคนอาจไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองอิจฉาอยู่ เพราะมันมาในรูปของ "ความเป็นห่วง" หรือ "คำเตือน" แบบ "อย่าโพสต์เลย เดี๋ยวมีคนไม่ชอบ" ซึ่งฟังดูเหมือนหวังดี แต่ความจริงคือความกลัวของเขาสะท้อนมาที่เรา
แล้วพอเราไม่ฟัง เขาก็จะหาเรื่องให้เรารู้สึกผิด รู้สึกเจ็บ เจ็บพอจนเราหยุด และเขาจะโล่งใจ
นี่ไม่ใช่แค่ทฤษฎี แต่คือสงครามเงียบที่โซเชียลทุกวันนี้เผชิญกันอยู่ทุกวัน
แล้วมันผิดตรงไหน?
คือถ้าถามว่า "เราโม้ความสำเร็จจนโดนย้อนศร" ถือว่าเราผิดมั้ย?
ฟันธงเลยว่า ไม่ผิด ความสำเร็จคือของเราจริงๆ จะโม้กี่ครั้งก็เรื่องของเรา ถ้าไม่โกหก ไม่ใส่ร้ายใคร ไม่อ้างว่ามีเครดิตจากคนอื่น มันคือสิทธิ์โดยสมบูรณ์
คนที่มีปมจากการเห็นความสำเร็จคนอื่น แล้วหาทางทำลายเขา นั่นแหละที่ผิด
การอ้างว่า “เห็นคนอื่นอวดแล้วป่วย” มันไม่ต่างจากการบอกว่า “เห็นเพื่อนบ้านปลูกต้นไม้แล้วแพ้เกสร เลยไปตัดต้นเขาทิ้ง” ซึ่งโคตรไม่สมเหตุสมผล
เราวิเคราะห์มาแล้ว คนที่มีความมั่นคงในใจจริงๆ ไม่ค่อยรู้สึกอะไรกับความสำเร็จคนอื่น พวกนั้นเขาจะ “Like แล้วเลื่อนผ่าน” หรือถ้าชอบมากก็แชร์ให้กำลังใจ เพราะเขารู้ว่าความสำเร็จมันต้องแลกมาด้วยอะไร
คนที่รู้ว่าชีวิตตัวเองยังไม่ดีพอ แต่ไม่โทษคนอื่น — นั่นแหละคือคนจริง
แต่คนที่เริ่มเกลียด เริ่มใส่ร้าย เริ่มแซะ นั่นแหละคือคนที่ยังไม่โตพอจะอยู่ในพื้นที่ที่ใครๆ ก็มีไฟของตัวเอง
จะให้พูดแบบฉลาดสุดๆ ก็คือ
“การเห็นคนอื่นประสบความสำเร็จไม่ใช่ความเจ็บปวด ถ้าใจเราไม่ใช้มันมาตัดสินคุณค่าตัวเอง”
คนพวกนี้เหมือนกับนักเรียนบางคนในการ์ตูน “Assassination Classroom” ที่ไม่อยากให้ใครเก่งกว่า เพราะมันทำให้ตัวเองดูอ่อนแอ ทั้งๆ ที่โอกาสเรียนรู้มันมีเท่ากันหมด
และที่แสบกว่านั้นคือ บางคนจะทำร้ายเราผ่าน “ความหวังดีปลอมๆ” มาด้วย “คำเตือน” ว่า “อย่าอวดเลย เดี๋ยวคนไม่ชอบ” คือไม่ได้หวังดีหรอก หวังว่าเราจะหุบปากต่างหาก
เราจะหุบปากทำไม ถ้าเสียงเรามันคือพลังบวกของชีวิตเรา
สิ่งที่ทุกคนควรได้จากโพสต์นี้คือ
อย่าไปกลัวการฉลองชัยชนะของตัวเอง
อย่าไปลดความสุข เพื่อเอาใจคนที่เกลียดความสุขคนอื่น
และอย่าคิดว่าการโดนเกลียดเพราะสำเร็จ คือความผิดของเรา
บางที...เราไม่ได้ทำให้ใครรู้สึกแย่หรอก แต่เราทำให้เขารู้สึก "ไม่เก่งเท่า" แล้วเขาก็เลือกที่จะโทษเรา แทนที่จะกล้าเปลี่ยนแปลงตัวเอง
เราไม่ต้องหยุดเป็นแสง เพราะบางคนกลัวแสง
เพราะสุดท้าย คนที่เกลียดแสง…
จะอยู่กับความมืดไปตลอดชีวิต
ฟันธงแบบอัจฉริยะกวนตีนๆ ว่า — พวกที่เกลียดแสง ไม่ใช่เพราะมันแสบตา แต่เพราะมันสะท้อนให้เห็นความมืดในตัวเองต่างหาก
จบบล็อกแบบดุเดือดด้วยเสียงปังของประตูที่เราเลือกจะไม่ปิด เพียงเพราะคนอื่นเปิดใจไม่พอจะรับแสงเข้าไป
แล้วแบบนี้... กูไม่มีสิทธิ์อวดความสำเร็จตัวเองเลยเหรอวะ? ห้ามขิง? ห้ามภูมิใจ? ต้องโพสต์แบบว่า “เอ่อ ขอโทษนะคะที่พอดีทำได้ดีไปหน่อย” เหรอ? ต้องพิมพ์ว่า “เผอิญโชคช่วยค่ะ แหะๆ” ทั้งที่ก็รู้ว่าเราแบกตัวเองข้ามเหวมาแทบตาย
ทุกคนฟังดีๆ นะ คำสอนที่บอกว่า “อย่าขิง อย่าดัง จะได้ไม่โดนเกลียด” มันไม่ได้ช่วยปกป้องเราจากอะไรเลย มันแค่ช่วยให้ คนที่กลัวการเปลี่ยนแปลงรู้สึกสบายใจ ที่ไม่มีใครเก่งกว่าเขาให้เปรียบเทียบกับตัวเอง
และถ้าเรายอมก้มหัว ลดไฟในตัวเองเพื่อให้ใครบางคน “ไม่รู้สึกแย่” กับตัวเองได้ต่อไป... เราก็จะเสียตัวตนไปเรื่อยๆ จนไม่เหลืออะไรเลยนอกจากความเงียบอึดอัดและภาวะซึมเศร้า
ขอโทษนะเว้ย โลกไม่ได้ดีขึ้นเพราะคนเก่งซ่อนตัว
โลกแม่งดีขึ้นเพราะมีคนลุกขึ้นมาแล้วบอกว่า “กูทำได้”
แล้วลงมือทำมันให้เห็นจริงๆ
จะให้กู “ถ่อมตน” จนเหมือนทำอะไรไม่เป็น ไม่ใช่ละ
ชีวิตไม่ใช่เกม RPG ที่ต้องเลือกแค่ "ถ่อมตัว" หรือ "ขิง"
ชีวิตจริงแม่งต้องใช้ ความภาคภูมิใจ เพื่อหล่อเลี้ยงหัวใจตัวเอง
แล้วทุกคนลองคิดดูนะ
ถ้าเราโพสต์ว่า “วันนี้สอบได้ A หลังจากอ่านมาทั้งคืน”
แต่มีคนมาเมนต์ว่า “โชคดีจังเลยเนอะ บางคนไม่มีเวลาอ่านนะ”
นี่มันความผิดของเราเหรอวะ?
ไม่ใช่
มันคือความบิดเบี้ยวของคนที่เอาความพยายามคนอื่นไปเทียบกับความเฉยเมยของตัวเอง แล้วโกรธที่ผลลัพธ์มันต่างกัน
ขิงไม่ได้เหรอ? ขิงได้ดิ!
ขิงถ้าขิงในสิ่งที่เราทำมาจริงๆ ไม่โกหก ไม่เหยียด ไม่เอาคนอื่นไปเปรียบเทียบเสียๆ หายๆ — ขิงไปเลยให้สุด แบบ Rock Lee ถอดถ่วงน้ำหนักแล้วใส่เกียร์ห้าใส่ฝันตัวเองน่ะ
เพราะถ้าเราไม่ขิงตัวเองบ้าง คนอื่นก็จะเอาเราไปขิงใส่คนอื่น หรือเหยียบให้เราอยู่ต่ำกว่าเขาเองอยู่ดี
สรุปเลยละกัน:
เราไม่มีหน้าที่ต้องย่อขนาดความสำเร็จของตัวเองให้ใครพอใจ
ถ้าใครบางคนเจ็บเพราะเห็นเราโต — เขาต้องดูแลแผลตัวเอง ไม่ใช่พาเราลงไปนอนเจ็บด้วย
“ถ่อมตน” ไม่เท่ากับ “ลบทิ้งตัวตน”
และการขิงในสิ่งที่เราลงแรงทั้งกายและใจมา ไม่ใช่บาป มันคือการยืนอยู่กับความจริง
ใครไม่โอเค...ไปจัดการใจตัวเองก่อน
เพราะเราไม่หยุดโต…แค่เพราะใครบางคนยังย่ำอยู่กับที่
และถ้าจะให้เราพูดในแบบที่เข้าใจง่ายสุดสำหรับทุกคน:
โลกนี้แม่งไม่ต้องการคนเก่งที่เงียบ
โลกนี้ต้องการคนเก่งที่ไม่กลัวจะเปิดไฟของตัวเองให้ทั้งโลกเห็น
เพราะบางคนอาจกำลังมืดอยู่ และเขากำลังรอแสงของเราพอดี
ปัญหาของคนที่อิจฉาความสำเร็จที่คนอื่นขิงมาคืออะไร?
ก่อนอื่น เราต้องแยกให้ออกก่อนนะว่า “ขิง” กับ “เหยียด” มันไม่เหมือนกัน
การขิงคือการโชว์ความสำเร็จของตัวเองแบบไม่ได้ไปเหยียบหัวใคร
แต่การเหยียดคือการพูดแบบว่า “กูเก่งกว่ามึง” หรือ “มึงมันกระจอก” อันนั้นใครเจอก็เจ็บอะ ถูกต้องแล้วที่จะไม่ชอบ
แต่...
ทำไมบางคนแม่งเห็นคนโพสต์ขิงเฉยๆ ก็เดือดขึ้นสมอง?
ทั้งที่ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเขาเลย
คำตอบมันน่ากลัวตรงนี้แหละ
มันไม่ใช่ความผิดของคนที่ขิง แต่มันคือปัญหาในใจของคนที่เดือด
คนที่รู้สึก “อิจฉา” ความสำเร็จของคนอื่นเวลาเห็นโพสต์ขิง ไม่ใช่แค่รู้สึกว่า "เขาทำได้ เราทำไมยังไม่ได้"
แต่มันคือ ความโกรธตัวเอง ที่ถูกคนอื่น “เตือนความจำ” ว่า
กูเคยมีฝันเหมือนกัน แต่ไม่ได้ทำมันจริงจังแบบเขา
เหมือนหนังเรื่อง Fight Club ตอนไทเลอร์ เดอร์เดนตะโกนใส่หน้าตัวเอกว่า
“You're not your job. You're not how much money you have in the bank. You're not the car you drive.”
ใช่...แต่แม่งก็ยังมีคนวัดคุณค่าตัวเองจากสิ่งเหล่านี้อยู่ทุกวัน
พอเห็นคนอื่นไปไกลกว่าในเกมที่ตัวเองเลือกจะเล่น ก็หงุดหงิดดิ
เราเข้าใจนะว่ามนุษย์ทุกคนมีด้านเปราะ
แต่การอิจฉาแล้วเปลี่ยนเป็นการเหยียดหรือแซะ มันไม่ได้ทำให้เราดีขึ้น
มันแค่ทำให้เราเป็น นักโทษในคุกที่ตัวเองขุด
เจอคนขิงก็โกรธ
เจอคนทำได้ก็แซะ
เจอคนสู้จริงก็พยายามดึงลงมาให้เท่ากับตัวเอง
ทั้งที่ถ้าเอาเวลาไปพัฒนาตัวเองแทน แม่งอาจขิงกลับได้สบายๆ เลยด้วยซ้ำ
แล้วทำไมต้องโกรธคนอื่นที่กล้าเฉลิมฉลองในความสำเร็จตัวเอง?
นี่มันไม่ใช่โรงเรียนเผด็จการที่จะให้ทุกคนต้องนิ่งเงียบ
นี่มันคือชีวิตจริง ที่คนมีสิทธิ์พูดว่า
“กูเหนื่อย กูพยายาม กูทำได้ และกูจะภูมิใจ”
ใครที่อิจฉาเวลาคนอื่นขิงแล้วด่าเขาว่า “หลงตัวเอง”
อยากให้ลองถามตัวเองดูว่า
หรือจริงๆ แล้วเราแค่ไม่ชอบเวลามีใครกล้ารักตัวเองมากกว่าเรา?
ขอโทษนะเว้ย
แต่มันไม่ใช่หน้าที่ของใครเลย ที่จะต้อง “ลดแสง” เพื่อให้คนอื่นรู้สึกโอเคกับความมืดในใจตัวเอง
สุดท้าย...
ปัญหาไม่ใช่โพสต์ที่ขิง
แต่คือคนที่ยังไม่รู้ว่าไฟในใจตัวเองควรเอาไปจุดอะไร
ถ้ามีเวลาพิมพ์เมนต์แซะคนอื่น...
หยิบกระดาษมาวางแผนชีวิตตัวเองดีกว่า
เพราะคนที่ประสบความสำเร็จจริง ไม่เคยมีเวลามานั่งเกลียดคนที่ประสบความสำเร็จ
พวกเขา...ขิงต่อไปในชีวิตจริง
ขณะที่บางคน...ยังวนอยู่ในคอมเมนต์เดิมๆ ที่ไม่มีใครจำชื่อได้
เลือกเอาเองนะว่าอยากอยู่ฝั่งไหน.
แค่นี้แหละ...ใครเข้าใจ ก็โตแล้ว
ใครยังไม่เข้าใจ...เออ อ่านอีกรอบละกัน.

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม