มีคนเคยถามเราว่า “เธอไม่รู้สึกเฟลเหรอ ที่ตอนนี้โพสต์อะไรก็แทบไม่มีใครสนใจ"

มีคนเคยถามเราว่า “เธอไม่รู้สึกเฟลเหรอ ที่ตอนนี้โพสต์อะไรก็แทบไม่มีใครสนใจ ทั้งที่ยุคก่อนเคยได้ไลค์ 3,000–4,000 ต่อภาพ หรือบางวิดีโอก็เป็นหมื่นไลค์” เราหัวเราะแล้วตอบสั้นๆ ว่า “เรารู้สึกเหมือนซานติเอโกใน The Old Man and the Sea นั่นแหละ”


ซานติเอโกคือตัวละครชาวประมงแก่ในนิยายของ Ernest Hemingway ที่ออกทะเลไป 84 วันโดยไม่ได้ปลาเลย แต่ในวันที่ 85 เขากลับสู้กับ ปลากระโทงเทง (Marlin) ยักษ์จนจับมันได้ และแม้มันจะถูกฉลามแทะจนเหลือแต่โครงกระดูกตอนกลับถึงฝั่ง เขาก็ไม่ได้มองว่านั่นคือความพ่ายแพ้ เพราะเขารู้ว่า “A man can be destroyed but not defeated (คนเราอาจถูกทำลายได้ แต่ไม่อาจพ่ายแพ้ได้)”
ตอนเรายังอยู่ในยุคไลค์ถล่มทลาย เราเคยรู้สึกเหมือนอยู่บนเรือสำราญกลางแสงไฟ ทุกอย่างดูง่ายและเต็มไปด้วยเสียงชื่นชม แต่พอวันหนึ่งโลกโซเชียลเงียบลง เรากลับต้องนั่งอยู่บนเรือลำเล็กๆ ที่โล่งและว่างเปล่า จ้องน้ำทะเลกว้างเหมือนไม่มีที่สิ้นสุด แล้วถามตัวเองว่า “เรายังอยากออกเรืออยู่ไหม”
นี่แหละที่เรานึกถึงหลัก อิทัปปัจจยตา (ความเป็นเหตุเป็นผลของสิ่งทั้งปวง) ทุกอย่างเปลี่ยนตามเหตุปัจจัยใหม่ๆ ทั้ง algorithm (ระบบจัดลำดับแสดงผล), เทรนด์ที่วิ่งเร็วกว่าเสียง และความสนใจของคนที่เปลี่ยนเหมือนคลื่นน้ำ ในมุมวิทยาศาสตร์ มันคล้าย หลักความดันออสโมซิส (Osmotic pressure) ที่น้ำจะไหลจากที่มีความเข้มข้นน้อยไปหามากโดยธรรมชาติ กระแสความสนใจของผู้คนก็เคลื่อนตามแรงกดดันนั้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
สิ่งที่ซานติเอโกทำให้เราจำได้ขึ้นใจคือ เขาไม่หยุดออกทะเล แม้จะกลับฝั่งด้วยมือเปล่าซ้ำแล้วซ้ำเล่า และแม้วันที่เขาจับปลากระโทงเทงได้ มันก็เหลือแต่ก้าง แต่สิ่งนั้นต่างหากที่ทำให้เขายังเป็น “ชาวประมง”
โพสต์งานต่อไปทั้งๆ ที่เงียบเหงา ก็เหมือนกับการออกทะเลในวันที่น้ำเรียบและฟ้าเปล่า มันไม่ได้เพราะเราคาดหวังว่าทุกครั้งจะต้องมีฝูงปลามารุมกัดเบ็ด แต่มันเพราะการ “ออกเรือ” ต่างหากที่ทำให้เรายังรู้ว่าเราเป็นใคร
ในมุมวิทยาศาสตร์ สมองของเรามีสิ่งที่เรียกว่า Neuroplasticity (ความยืดหยุ่นของสมอง) หมายถึงความสามารถของสมองในการสร้างเส้นทางประสาทใหม่ๆ (neural pathways) ทุกครั้งที่เราทำบางสิ่งซ้ำๆ เช่น โพสต์งานต่อแม้ไม่มีคนสนใจ สมองจะค่อยๆ สร้างเส้นทางใหม่ ทำให้การทำสิ่งนั้นง่ายขึ้นจนเป็น “นิสัย” การทำซ้ำแบบนี้คล้ายกับการค่อยๆ ถากเส้นทางในป่ารก—ตอนแรกแทบไม่มีทางเดิน แต่พอเดินซ้ำบ่อยๆ มันจะกลายเป็นเส้นทางชัดเจน
และนี่คือสิ่งที่การโพสต์ต่อไปแม้ไม่มีคนสนใจให้เรา—มันไม่ได้สร้างแค่ผลงาน แต่มันสร้างเส้นทางในสมองที่เชื่อมโยงเรากับความสามารถ ความวินัย และความนิ่งในใจตัวเอง
สุดท้าย ซานติเอโกกลับบ้านด้วยปลากระโทงเทงที่เหลือแต่โครงกระดูก แต่สิ่งที่เขาได้จริงๆ ไม่ใช่ปลา แต่เป็นหัวใจที่แข็งแรงกว่าคลื่นทะเล สำหรับเราก็เช่นกัน การโพสต์งานต่อไปแม้มันเงียบ ก็เหมือนเรากำลังสร้างเส้นทางในสมองให้เราพายเรือได้อย่างมั่นคงกว่าเดิม
เพราะบางทีชัยชนะของเรามันไม่ใช่การได้ปลาตัวใหญ่ แต่คือการที่สมองและหัวใจของเราพายเรือจนชำนาญพอที่จะอยู่กลางทะเลได้โดยไม่กลัวความว่างเปล่าอีกแล้ว

เราไปเจอประโยคหนึ่งที่ทำให้ต้องหยุดคิดนานกว่าการต่อคิวร้านกาแฟตอนเช้า ประโยคนั้นคือ “A man can be destroyed but not defeated” (มนุษย์อาจถูกทำลายได้ แต่ไม่อาจพ่ายแพ้ได้) จากนิยาย The Old Man and the Sea ของ Ernest Hemingway
ฟังดูเหมือนคำปลอบใจในหนังฮีโร่ใช่ไหม แต่จริงๆ แล้วมันไม่ใช่คำปลอบใจเลย มันคือการยืนยันความจริงแบบตรงๆ ว่า คนเรานี่แหละ พังได้ เจ็บได้ ล้มได้ แต่สิ่งที่แยก “ความพัง” ออกจาก “ความพ่ายแพ้” คือใจที่ยังไม่ยอมวางมือ
ลองนึกถึงหลัก อิทัปปัจจยตา (ความเป็นเหตุเป็นผลของสิ่งทั้งปวง) ของพุทธศาสนา ชีวิตมันคือการที่เหตุเล็กๆ หลายอย่างเรียงตัวจนผลลัพธ์เกิดขึ้นเหมือนโดมิโนล้มต่อกัน เราทำงานหนัก → ร่างกายล้า → จิตตก → ความคิดด้านลบเข้ามาแทรก แต่มันก็จริงพอๆ กันว่า ถ้าเราใส่เหตุใหม่ลงไป เช่น หยุดพัก พูดดีกับตัวเอง หรือแม้แต่แค่ยอมรับว่า “ตอนนี้เราเหนื่อยจริงๆ” ผลลัพธ์ก็จะเปลี่ยนตาม
ทางวิทยาศาสตร์มันคล้ายกับหลักการ Stress and Adaptation (ความเครียดและการปรับตัว) ของร่างกาย กล้ามเนื้อจะแข็งแรงขึ้นก็ต่อเมื่อมันถูกใช้งานจนบาดเจ็บเล็กๆ แล้วซ่อมแซมตัวเองจึงโตขึ้น จิตใจก็เหมือนกัน มันไม่โตเพราะอยู่ในที่ปลอดภัยตลอดเวลา แต่มันโตเพราะเราเคยเจ็บและยังเลือกซ่อม
เราว่าประโยคนี้ของ Hemingway เหมือนเตือนว่า “การถูกทำลาย” เป็นเพียงสภาวะทางกายภาพหรือสถานการณ์ภายนอก แต่ “การพ่ายแพ้” เป็นการยอมรับภายในใจ เป็น internal state (สภาพภายใน) ที่เราควบคุมได้อยู่เสมอ แม้โลกข้างนอกจะพังไปหมดก็ตาม
สามก๊กยังมีตอนที่เล่าถึงเล่าปี่ แม้จะเสียลูก เสียเมือง เสียทุกอย่าง เขายังบอกว่า “ตราบใดที่ยังมีลมหายใจ จะต้องทวงคืนความยุติธรรมให้ได้” ความรู้สึกนี้แหละที่ Hemingway พูดถึง คือร่างกายอาจแตกสลาย แต่จิตวิญญาณยังขับเคลื่อน
– ถ้าเอาไปเทียบกับสมองทางชีวภาพ สมองเรามี neuroplasticity (ความยืดหยุ่นในการเชื่อมต่อของเซลล์ประสาท) ซึ่งหมายความว่าแม้เคยเจ็บหรือผิดพลาด สมองก็ยังสร้างเส้นทางใหม่ได้ ถ้าเราฝึกคิดใหม่
– ในมุมจิตวิทยา มันคือ Resilience (ความยืดหยุ่นทางใจ) ซึ่งไม่ใช่การทำเป็นไม่รู้สึก แต่คือการรู้สึกเต็มๆ แล้วเลือกเดินต่อ
เราชอบประโยคนี้เพราะมันไม่โกหกเราเลย มันไม่บอกให้เราปฏิเสธความเจ็บ แต่มันบอกให้เรารู้ว่า แม้เราจะถูก “ทำลาย” เราก็ยังไม่ “พ่ายแพ้” ตราบใดที่เรายังยืนอยู่ตรงนี้
บางทีเราควรถามตัวเองว่า ทุกครั้งที่ผ่านเรื่องแย่ๆ มาได้ เราแพ้หรือเปล่า คำตอบคือไม่หรอก เราอาจช้ำ อาจหมดแรง แต่เราอยู่ตรงนี้ และนั่นหมายความว่าเรายังไม่เคยแพ้จริงๆ เลย
ทุกคนว่าจริงไหม ว่าบางทีการไม่พ่ายแพ้ มันไม่ได้ดูยิ่งใหญ่อะไรเลย แค่ยังหายใจ แล้วยังไม่ยอมวางมือ เท่านั้นเอง
อยากให้ทุกคนจำไว้ว่า เราอาจถูกทำลายได้ในบางวัน แต่เราไม่จำเป็นต้องยอมพ่ายแพ้เลย ไม่ต้องรีบชนะด้วยซ้ำ แค่ยังอยู่ และค่อยๆ เดินต่อ ก็พอแล้ว

ใน The old man and the sea ของ Ernest Hemingway
ฉากนี้อยู่ช่วงท้ายเรื่อง และเป็นฉากสำคัญมาก
.
.
.
Spoil
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
หลังจากซานติอาโก้กลับเข้าฝั่งพร้อมซากปลากระโทงเทงที่เหลือแค่กระดูก เขาหมดแรงอย่างสิ้นเชิง หลับอยู่บนเตียงไม้ในบ้านเก่าๆ หลังเขาตื่นขึ้น เด็กชายมาโนลินก็มาหาเขา
นี่คือบทสนทนาสำคัญที่เราอยากให้ทุกคนได้อ่านแบบเห็นทั้งภาษาอังกฤษต้นฉบับและคำแปล เพื่อจะได้เข้าใจน้ำหนักของถ้อยคำ
Santiago:
“They beat me, Manolin,” he said. “They truly beat me.”
“พวกมันเอาชนะฉันได้ มาโนลิน” เขาพูด “มันชนะฉันจริงๆ”
คำว่า they ที่เขาหมายถึง ไม่ใช่แค่ฝูงฉลาม แต่หมายถึงทุกอย่างที่รุมเขาตลอด 3 วันกลางทะเล — ความโดดเดี่ยว ความอ่อนล้า เวลา คลื่นลม และอายุที่ถ่วงเขาไว้
Manolin:
“He didn’t beat you. Not the fish.”
“มันไม่ชนะคุณหรอก ไม่ใช่ปลาตัวนั้น”
เด็กชายตอบทันที โดยไม่ต้องคิด — เหมือนเขาไม่ยอมให้ซานติอาโก้มองตัวเองเป็นผู้แพ้แม้แต่วินาทีเดียว นี่คือ reaffirmation (การย้ำสิ่งที่จริงโดยไม่ต้องพิสูจน์)
แล้วสักพัก เด็กชายก็พูดประโยคที่เราตามหานั่นแหละ:
Manolin:
“The hell with luck,” the boy said. “I’ll bring the luck with me.”
“You did what a man has to do.”
“ช่างมันเถอะ ไอ้เรื่องโชคอะไรนั่น” เด็กชายพูด “ผมจะพาโชคมาด้วยตัวเอง”
“คุณได้ทำในสิ่งที่ลูกผู้ชายต้องทำแล้ว”
ฉากที่เด็กชายมาโนลินพูดกับซานติอาโก้ว่า “คุณได้ทำในสิ่งที่ลูกผู้ชายทำ” นั้น ถ้าอ่านผ่านๆ มันก็ฟังดูเหมือนคำปลอบใจที่อบอุ่นและซื่อๆ แบบเด็กพูดกับคนแก่ แต่ถ้าอ่านลึกลงไปอีกหน่อย เราว่ามันคือฉากที่แรงที่สุดฉากหนึ่งในหนังสือเล่มนี้
เพราะมันไม่ได้พูดถึง “ชัยชนะ” เลย แต่พูดถึง “การกระทำที่ถูกต้อง แม้รู้ว่าจะไม่มีอะไรตอบแทน”
เราขอเล่าจากมุมมองของนักเรียนคนหนึ่งที่นั่งมองครูแก่ๆ ที่รักและเคารพมาก กลับบ้านมือเปล่าหลังออกทะเลไปหลายวัน ทั้งๆ ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นตำนานของหมู่บ้าน มันคือความพ่ายแพ้ที่ประจักษ์ด้วยสายตา แต่เด็กกลับพูดกับเขาว่า “คุณได้ทำในสิ่งที่ลูกผู้ชายทำ” — นี่ไม่ใช่คำชม แต่เป็นการรับรอง
คือในโลกที่วัดกันด้วย trophy, medal, bonus, likes และยอดแชร์ การ “ทำในสิ่งที่ถูก แม้จะไม่มีใครเห็น” มันไม่ sexy เลย ทุกคนอยากเป็นคนที่ชนะ แต่ไม่ค่อยมีใครอยากเป็นคนที่ยืนอยู่กับความเงียบได้ในช่วงหนึ่งของชีวิต
ถ้ามองด้วยแว่นพุทธ ฉากนี้สะท้อนหลัก อตัปปะ (ความไม่ประมาท) และ ปัญญา (การรู้จักแยกแยะผิดชอบชั่วดี) เด็กอย่างมาโนลินไม่เห็นว่าความล้มเหลวคือ “ความผิด” แต่กลับมองว่าการพยายามสู้กับความไม่แน่นอนของโลกนั้นต่างหาก คือ “สิ่งที่ควรทำ” เขาไม่ได้พูดเพราะสงสาร แต่เพราะเขาเข้าใจ
ในระดับจิตวิทยา พฤติกรรมของมาโนลินคือการ reframing (การเปลี่ยนกรอบความคิด) เขาไม่ได้มองซานติอาโก้เป็นผู้แพ้ แต่เป็นนักรบในจิตวิญญาณ — เหมือนเวลาทุกคนเห็นพ่อแม่ที่ทำงานหนักกลับมาหมดแรงตอนค่ำ เราไม่ได้รู้สึกว่าเขาแพ้โลก แต่รู้ว่าเขาสู้แทนเรามาทั้งวันแล้ว
เราเคยอ่านวิทยาศาสตร์สมองเรื่องหนึ่งที่บอกว่า สมองของเด็กที่เติบโตมากับผู้ใหญ่ที่มีศีลธรรม จะมีพัฒนาการทาง prefrontal cortex (สมองส่วนที่ใช้ตัดสินใจ) ดีกว่าเด็กที่เห็นแต่ชัยชนะโดยไม่สนวิธีการ — นั่นหมายความว่าเด็กชายมาโนลินในเรื่องนี้ ไม่ใช่แค่ “เข้าใจโลก” แต่เขา “เห็นความดีแม้ในความพ่ายแพ้” ได้ตั้งแต่อายุน้อย
และนั่นแหละ...คือชัยชนะของซานติอาโก้ที่ใหญ่ที่สุดในเรื่อง
ไม่ใช่ปลากระโทงเทงที่เขาเอากลับฝั่งได้แค่กระดูก
แต่คือจิตวิญญาณของความเป็นลูกผู้ชายที่เขาส่งต่อให้เด็กรุ่นถัดไปแบบไม่มีคำเทศนา ไม่มีโพสต์บน X ไม่มี TikTok reel
มีแค่เรือเก่าๆ กับมือที่มีแผล และคำพูดเพียงประโยคเดียวจากเด็กคนหนึ่ง
“คุณได้ทำในสิ่งที่ลูกผู้ชายทำ” — และแค่นั้น มันก็พอแล้วสำหรับชีวิตที่ไม่สูญเปล่า.

เราเดินเข้าไปในร้านหนังสือมือสองเล็กๆ ข้างถนนแถวสวนหลวง ร.9 — ร้านนี้ชื่อ “ปัญญ์” ไม่ได้เขียนไว้ชัดๆ หน้าร้านนะ แต่เรารู้จักจากคนแถวนี้เขาบอกต่อกันมา ร้านที่เหมือนหลุดมาจากยุคที่คนยังอ่านกระดาษจริงๆ หน้าร้านเงียบขรึมเหมือนห้องสมุดของพระในป่า แต่ข้างในวางซ้อนหนังสือไว้ราวกับโลกคู่ขนานของความคิด
เราเดินตรงไปยังมุมที่เต็มไปด้วยกลิ่นกระดาษเก่า เสียงพลิกหน้าหนังสือเหมือนเสียงไม้ไผ่กระทบกันเบาๆ แล้วเราก็เจอ... The Old Man and the Sea เล่มบางๆ ขนาดพอดีมือ ปกสีซีดเหมือนผ่านทะเลจริงๆ มาแล้ว
เราใช้เวลาประมาณ 4.6 วินาทีสแกนสภาพหนังสือโดยอัตโนมัติแบบสายตานักล่า พบว่าปกหน้าไม่มีรอยพับแม้แต่รอยเดียว ไม่มีคราบชา กาแฟ หรือน้ำปลาซึม ไม่มีรอยขีดเขียน ไม่มีรอยยับ ไม่มีแม้แต่ฝุ่น แมลง หรือกลิ่น “ความลำบากของเจ้าของเก่า” มันสะอาดจนเหมือนเจ้าของเดิมอ่านด้วยสายตาแล้ววางไว้บนแท่นหินอ่อน พร้อมเป่าลมใส่ทุกเช้า
เป็นไปได้ว่าเล่มนี้อาจไม่เคยถูกอ่านเลย — ซึ่งยิ่งทำให้มันสมบูรณ์ เพราะ The Old Man and the Sea เป็นหนังสือที่เหมือนเรือเล็กกลางทะเล คนที่ไม่เข้าใจก็จะเดินผ่านไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่คนที่เคยเจอมรสุมชีวิตจะรู้เลยว่า “อ๋อ...มันลึกแบบนี้นี่เอง”
เราอ่านเรื่องนี้มานานแล้วล่ะ อ่านบทวิจารณ์มาหมดตั้งแต่ภาษาอังกฤษยันเว็บบอร์ดพันทิป แต่เราอยากเจอหนังสือต้นฉบับด้วยตัวเอง เพราะบางอย่าง “ต้องได้กลิ่นก่อนถึงจะเข้าใจ”
เรื่องมันเรียบง่ายจนเกือบดูโง่: ชายแก่คนหนึ่งชื่อซานติอาโก ออกเรือคนเดียวหลังจากตกปลาไม่ได้มา 84 วัน แล้วก็ไปเจอกับปลากระโทงเทงขนาดยักษ์ที่เขาลากสู้กันอยู่กลางทะเลอีก 3 วันเต็มๆ ในที่สุดเขาก็ฆ่าปลาได้ — แล้วลากซากปลากลับเข้าฝั่ง แต่ระหว่างทาง ก็มีฝูงฉลามมากัดกินปลานั้นหมดจนเหลือแต่กระดูก
แค่นั้นจริงๆ
แต่สิ่งที่ “เหลือ” ไม่ใช่แค่โครงกระดูกปลา — มันคือ ความหมายของการมีชีวิตอยู่
ทุกคนเคยมั้ยที่รู้สึกว่าเราทำอะไรสุดตัว แต่สุดท้ายผลลัพธ์ก็ไม่เหลืออะไรให้โอ้อวด? แบบว่าเราพยายามอย่างถึงที่สุดเหมือนนักวิ่งมาราธอนที่เข้าเส้นชัยเป็นคนสุดท้ายตอนคนอื่นเขาเก็บแถบเส้นชัยไปหมดแล้ว — แต่นั่นแหละ มันไม่ใช่เรื่องของชัยชนะ
– เฮมิงเวย์ไม่ได้เขียนเรื่องนี้เพื่อให้เราหลงรักชัยชนะ เขาเขียนให้เรารู้ว่า “ความพยายามนั้นศักดิ์สิทธิ์กว่าผลลัพธ์”
– ซานติอาโกแก่ ตัวผอม ผิวไหม้ฟ้า เป็นภาพแทนของมนุษย์ที่แบกกรรมตามหลัก วิบากกรรม (กรรมที่ให้ผลสืบต่อเนื่อง) แต่ไม่เคยยอมแพ้ เพราะจิตของเขามีสิ่งหนึ่งที่สัตว์ร้ายใดๆ ก็พรากไปไม่ได้ — ความมุ่งมั่น
เราอ่านตอนที่ปลากระโทงเทงลากเรือเขาไปกลางทะเลแล้วรู้สึกว่า นี่มันเหมือน “ทุกวันจันทร์ของชีวิตมนุษย์” เลย — ถูกบางสิ่งที่ใหญ่กว่า ลากออกจากที่ที่เราคุ้นเคย แล้วต้องสู้แบบไม่มีแผนสำรอง
หลายคนตีความว่าเรื่องนี้คือการสู้กับธรรมชาติ แต่เราเห็นว่าแท้จริงมันคือการ “สู้กับตัวเอง” — ซานติอาโกไม่ได้อยากชนะปลาเพื่อเงินหรือชื่อเสียง แต่เพื่อยืนยันว่า “เขายังเป็นใครบางคน” ไม่ใช่เพียงเปลือกแก่ๆ ที่ถูกลืม
ในเชิงพุทธ ถ้าเรามองผ่านกรอบ อิทัปปัจจยตา (ความเป็นเหตุเป็นผลของสิ่งทั้งปวง) ชายแก่ในเรื่องนี้คือผลผลิตของอดีต — ความเคยเป็นยอดฝีมือ ความเคยรุ่งโรจน์ — ที่กลายมาเป็นแรงขับในปัจจุบันให้เขายังลุกไปตกปลาต่อทุกวัน แม้ทะเลจะเฉยชากับเขาก็ตาม
และที่ลึกไปกว่านั้น The Old Man and the Sea คือบทเรียนธรรมชาติวิทยาเชิงจิตวิญญาณเรื่องหนึ่ง — เราอาจเปรียบปลากระโทงเทงตัวนั้นกับ โดปามีน (dopamine) สารในสมองที่กระตุ้นให้เราลงมือ พยายาม ใฝ่หาเป้าหมาย แต่เหมือนซานติอาโกที่ต้องลากปลากลับฝั่งทั้งที่รู้ว่าฉลามจะมา มนุษย์เราก็ยังพยายามแม้จะรู้ว่าผลลัพธ์อาจไม่เหลืออะไร
เราไม่รู้ว่าทุกคนเคยเจออะไรแบบนี้บ้างหรือเปล่า — แต่ถ้าเคย ก็ขอให้รู้ไว้ว่าเราไม่ได้อยู่คนเดียว และบางครั้ง… การเดินกลับฝั่งพร้อมซากปลาก็ยังดีกว่าไม่เคยออกทะเลเลย
และบางที หนังสือที่ถูกเก็บไว้สะอาดจนเหมือนไม่เคยถูกเปิดอ่าน ก็อาจจะรอคนแบบซานติอาโกมาหยิบมันขึ้นมาเอง.

ความคิดเห็น