วันก่อนเดินผ่านร้านขายเครื่องซักผ้า เจอป้ายเขียนว่า “ลดราคาเครื่องซักผ้านำเข้า—ซื้อวันนี้ก่อนราคาขึ้น”
วันก่อนเดินผ่านร้านขายเครื่องซักผ้า เจอป้ายเขียนว่า “ลดราคาเครื่องซักผ้านำเข้า—ซื้อวันนี้ก่อนราคาขึ้น”
เราเลยชะงัก… เพราะไม่ใช่แค่ราคาเครื่องที่ขึ้น แต่คำว่า “นำเข้า” กลับกลายเป็นคำที่ฟังดูน่ากลัวกว่าคำว่า “ลดราคา” ไปแล้ว
ทุกคนเคยรู้สึกแบบนี้มั้ย
อยู่ๆ ของรอบตัวก็พากันแพงขึ้นแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย
ทั้งๆ ที่เราไม่ได้ใช้ทองคำแท้ล้างจาน หรือขับรถถังไปทำงาน
มันเลยชวนให้คิดว่า—อะไรที่ทำให้สินค้ารอบตัวเรามี “ภาษี” แอบซ่อนอยู่ ทั้งที่ไม่ได้แปะป้าย?
ทำไมเราถึงต้องจ่าย “ภาษีอ้อมๆ” กับของที่เราซื้อมากกว่าที่มันควรจะเป็น?
คำตอบอยู่ที่ชายคนหนึ่งซึ่งพูดเก่งพอๆ กับขึ้นภาษี: Donald Trump
หลังจากกลับมานั่งเก้าอี้ประธานาธิบดี เขาก็ชูดาบสงครามการค้าอีกครั้ง พร้อมกับท่าไม้ตายที่เรียกว่า “ภาษีตอบโต้” หรือ reciprocal tariffs
แต่ถ้าแปลให้เข้าใจง่ายกว่านั้น มันคือการเก็บภาษีจากของที่คนอื่นส่งมาขายเรา เพราะเรารู้สึกว่าโดนเอาเปรียบ
ผลที่ได้คือ รายได้รัฐบาลเพิ่มขึ้นจริง เดือนเดียวฟาดไป 28 พันล้านเหรียญ
แต่อย่าเพิ่งดีใจ เพราะบริษัทที่นำเข้าเป็นคนจ่าย
และถ้าบริษัทจ่าย… ก็คือทุกคนจ่าย—ผ่านราคาของที่พุ่งแรงแบบไม่ถามสุขภาพเงินในบัญชี
มันเป็นกลไกเศรษฐกิจแบบ “ภาษีไปทาง อ้อมกลับถึงโต๊ะอาหาร”
พอสินค้าขึ้นราคา คนก็ซื้อของน้อยลง กำลังซื้อลด เศรษฐกิจก็หาวไม่หยุด
แต่ในขณะเดียวกัน รัฐบาลกลับปลื้มกับรายได้ภาษีที่เพิ่มขึ้นเหมือนโบนัสปลายปี
เรื่องนี้ทำให้เรานึกถึงคำบาลีบทหนึ่งที่ว่า
“โลโภ ธมฺมํ น ชานาติ”
คนที่โลภ… ย่อมไม่รู้ธรรมะ
หรือในบริบทนี้—ใครที่เก็บภาษีแบบไม่ดูต้นทุนของคนอื่น ก็อาจไม่เข้าใจกลไกของความเป็นธรรมในระบบตลาด
ในแง่จิตวิทยา มันคล้ายกับการคิดว่า “การได้เปรียบ” คือ “การชนะ”
ทั้งที่จริงๆ แล้ว การได้เปรียบโดยการทำให้คนอื่นอ่อนแอลง มันคือการเล่นเกมคนเดียวในสนามที่ไม่มีคนดู
และสุดท้าย ต่อให้ชนะ ก็ไม่มีใครปรบมือ
ขณะเดียวกัน ประเทศอย่างจีนที่เคยโดนเก็บภาษีหนักจนกระดูกสั่น
กลับปรับตัวได้อย่างเฉียบ ใช้แผน B, C, และ D ขยายตลาดไปยังอาเซียน อินเดีย และยุโรป
กลายเป็นว่า ฝ่ายที่ตั้งด่านดึงดาบ… ดันโดนสอยคะแนนจากมุมที่ตัวเองไม่ได้เฝ้า
เราไม่ได้จะบอกว่าทรัมป์ผิด
แต่เราคิดว่าโลกนี้ไม่ได้ต้องการคนที่เก็บภาษีเก่ง
มันต้องการคนที่เข้าใจว่า “ระบบเศรษฐกิจ” ไม่ใช่กระเป๋าตังค์ของใครคนใดคนหนึ่ง
เพราะตลาดมันไม่ใช่สงคราม
มันคือสนามที่ทุกคนวิ่งอยู่พร้อมกัน
ถ้ามีใครคนหนึ่งคอยสลับป้ายทาง… เกมนี้จะไม่มีใครถึงเส้นชัยได้เลย
และสุดท้าย เราได้บทเรียนว่า
การคิดว่าตัวเองได้กำไรตลอดเวลา อาจเป็นต้นทุนที่แพงที่สุดในชีวิต
ขำก็ขำ เจ็บก็เจ็บ
เพราะบางทีเครื่องซักผ้าราคาแพง… มันไม่ได้ซักแค่เสื้อผ้า
แต่มันซัก “สติ” ของทุกคนไปด้วยทั้งดุ้น
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น