ศิลปะไม่เคยตายหรอก มีแต่คนที่กลัวเสียที่ยืน
วันนี้เราคิดว่า เราตกผลึกพอที่จะพูดเรื่องนี้ เพราะเราใช้ Ai สร้างงานศิลปะเยอะ และไม่เคยกลัว Ai วันนี้เราจะพูดถึงมันอย่างสุภาพ ตัดอารมณ์ออกไป
"AI ก็แค่เด็กลอกข้อสอบแหละ"
555 เรานั่งจิบลาเต้แล้วหัวเราะในใจ มันเป็นประโยคที่ฟังดูใหม่ แต่จริงๆ แล้วมันเป็นเสียงก้องจากประวัติศาสตร์ที่วนซ้ำมาเป็นร้อยปีแล้ว ทุกครั้งที่มีของใหม่โผล่มา คนเราจะรีบติดป้ายว่า "ของปลอม" ไว้ก่อนเสมอ
เราพูดเรื่อง AI และศิลปะได้เพราะนี่ไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับเรา เราอยู่ในโลกของการสร้างสรรค์มานาน เราได้รางวัลเอเชียกราฟ 3 ปีซ้อน ได้นำผลงานไปแสดงที่แกลเลอรี่ที่ตุรกี เราแต่งเพลงมากกว่าพันเพลง วาดภาพมากกว่า 3,000 ภาพ ขาย NFT ได้เป็นร้อยชิ้น และเคยมีผลงานขึ้น Billboard ที่เซ็นทรัลเวิลด์และอีกสองสามจุดใหญ่ๆของกรุงเทพ ช่วงหนึ่งเรายังได้รางวัล New and Noteworthy Podcast ของ Apple Podcast และขึ้นสไลด์หลักของ Apple ในช่วงนั้น สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่แค่รางวัลหรือความภูมิใจ แต่เป็นหลักฐานว่าเรารู้จักการสร้างงานที่คนเห็นคุณค่าและพร้อมจ่าย
เราไม่ได้เริ่มจากศิลปะแบบว่างเปล่า เราสอบเข้าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ ภาควิชาภูมิศาสตร์สถาปัตยกรรม เรียนรู้วิธีมองโลกแบบระบบ วิเคราะห์งานสร้างสรรค์ และเข้าใจการออกแบบอย่างลึกซึ้ง ผลงานของเราถูกพูดถึงในทีวีหลายช่องและลงแมกกาซีนทั้งในไทยและต่างประเทศ ตั้งแต่อังกฤษ ไต้หวัน จนถึงญี่ปุ่น เราเคยทำงานให้ลูกค้าชั้นนำอย่าง True, Samsung และหน่วยงานรัฐบาล การพิสูจน์ตัวเองในระดับนี้ทำให้เรามองเรื่องศิลปะและเทคโนโลยีด้วยมุมที่สมดุล
นอกจากนี้ ชีวิตก็สอนเรามากกว่าที่คิด เราเข้าโรงพยาบาลจิตเวชถึง 9 รอบ ประสบการณ์เหล่านี้ทำให้เราเข้าใจความซับซ้อนของจิตใจมนุษย์ การตีความงานศิลปะ และผลกระทบของเทคโนโลยีต่อความคิดและอารมณ์ เราใช้ AI สร้างงานหลายรูปแบบ ไม่เคยกลัวมัน แต่กลับเรียนรู้และต่อยอด จากมุมมองนี้ เราจึงสามารถพูดเรื่องการลอก การสร้างสรรค์ และคุณค่าของ AI ได้อย่างมีเหตุผล
ดังนั้น เมื่อเราพูดเรื่อง AI ไม่ใช่เพราะอยากเถียง แต่เพราะเราอยู่ตรงกลางระหว่างความสร้างสรรค์และเทคโนโลยี เข้าใจทั้งข้อจำกัดและศักยภาพ และเห็นได้ชัดว่าการเปลี่ยนแปลงไม่ได้ฆ่าศิลปะ แต่ทำให้โลกศิลปะมีชีวิตอีกครั้ง
ทำไมเราถึงกลัวของใหม่ตลอด ทั้งที่ของเก่าก็เคยเป็นของใหม่มาก่อน
ลองนึกย้อนไปสมัยการปฏิวัติอุตสาหกรรมในอังกฤษ กลุ่มคนงานที่เรียกตัวเองว่า ขบวนการลุดไดต์ (Luddites) ถือค้อนวิ่งทุบเครื่องจักรทอผ้าเหมือนกำลังล้างบางสัตว์ประหลาด ทั้งที่จริงๆ แล้วเครื่องจักรไม่เคยตั้งใจจะขโมยงานใครเลย มันแค่ทำในสิ่งที่มนุษย์บอกให้ทำ พูดให้ตรงกว่านั้นคือ มนุษย์ดื้อเอง ไม่ยอมเปลี่ยน
หรืออย่างวงการศิลปะ สมัยที่ กล้องถ่ายรูป เกิดขึ้น ศิลปินกรีดร้องว่า "ภาพถ่ายไม่มีวิญญาณ" สุดท้ายเวลาก็พิสูจน์ว่ามันคือศิลปะอีกรูปแบบหนึ่งที่มีพลังมากพอจะบันทึกประวัติศาสตร์ได้ จนวันนี้ถ้าไม่มีภาพถ่าย ใครจะเชื่อว่ามีสงครามเวียดนามเกิดขึ้นจริง
เรื่องนี้คล้ายกับหลักในพระพุทธศาสนา อนิจจัง—ทุกสิ่งล้วนไม่เที่ยง และ อัตตทิฏฐิ—ความเห็นว่าตัวตนมีจริง เวลาที่เรายึดว่า “ศิลปะต้องทำด้วยมือมนุษย์” เรากำลังติดกับอัตตา แต่ถ้ามองศิลปะเป็นเพียงประสบการณ์ร่วม ไม่ว่าจะเกิดจากพู่กันหรือโค้ดคอมพิวเตอร์ ถ้ามันทำให้หัวใจเราไหวได้ มันก็คือศิลปะ
ทางจิตวิทยา สมองเรามี Negativity Bias ที่ชอบจำเรื่องร้ายแรงมากกว่าเรื่องดี เหมือนตลาดหุ้นที่เวลาหุ้นตกนิดเดียว ทุกคนแตกตื่น แต่ตอนที่หุ้นขึ้นกลับไม่ค่อยมีใครพูดถึง เราถูกโปรแกรมมาให้กลัวเพื่อเอาตัวรอดในป่า แต่มันกลับกลายเป็นกับดักในยุคที่สัตว์ร้ายเปลี่ยนเป็นเทคโนโลยีใหม่ๆ พอไม่เข้าใจ เราก็เลือกใช้วิธีที่ง่ายที่สุดคือ ด่า แล้วบอกว่าของปลอม
แต่จริงๆ สิ่งที่ควรกลัวไม่ใช่ AI ไม่ใช่ Blockchain ไม่ใช่ Quantum Computer สิ่งที่ควรกลัวคือความดื้อของตัวเราเอง เหมือนนักลงทุนที่ยึดติดกับหุ้นขาดทุนเพราะกลัวเสียหน้า สุดท้ายก็เจ็บหนักกว่าเดิม
เราจะเห็นจาก Kodak หรือ Nokia ที่ล่มสลายเพราะไม่ยอมอัปเดตความคิด ในขณะที่ Apple หรือ Amazon กลับเติบโตเพราะยอมรับการเปลี่ยนแปลง โลกไม่เคยพังเพราะของใหม่ โลกพังเพราะเราไม่ยอมอัปเดตซอฟต์แวร์ของตัวเองต่างหาก
และในอีกสิบปีข้างหน้า ประโยค “AI มันก็แค่เด็กลอกข้อสอบ” อาจกลายเป็นมุกที่ทำให้เราหัวเราะจนเจ็บท้องเหมือนที่วันนี้ไม่มีใครเถียงแล้วว่าอีเมลคือของปลอม
บางทีสิ่งใหม่ไม่ได้น่ากลัวหรอก ที่น่ากลัวคือการที่เรายังยืนอยู่ที่เดิมแล้วหลอกตัวเองว่านั่นคือความมั่นคง
อย่ากลัวสิ่งใหม่ แต่จงกลัวการที่ตัวเองไม่ขยับ เพราะนั่นแหละคือการเสี่ยงที่สุดในโลก
AI กับวงการศิลปะ: การรีเฟรชที่ไม่ได้มาฆ่า แต่มาแจกไพ่ใหม่
ทุกคนลองนึกภาพนะ—ศิลปะนี่เหมือนงานเลี้ยงที่จัดมาหลายพันปีแล้ว ทุกคนแต่งตัวเข้ามาพร้อมกฎชัดเจน เช่น “ต้องใช้มือวาด” หรือ “ต้องมีฝีแปรง” อยู่ๆ วันหนึ่งมีแขกใหม่ชื่อ AI เดินเข้ามาในงาน พร้อมถือโน้ตบุ๊กแทนพู่กัน
ทันทีที่มันก้าวเข้ามา เสียงกระซิบก็เริ่มดังขึ้น
"เฮ้ย นี่มันของแท้หรือของปลอม?"
"แบบนี้เรียกศิลปะได้จริงเหรอ?"
ฟังแล้วเหมือนเดจาวูไหม เพราะนี่คือบทละครที่เราเคยเล่นมาแล้วหลายรอบ ตั้งแต่กล้องถ่ายรูปยันซินธิไซเซอร์ เราชอบตัวอย่างของ มาร์เซล ดูชองป์ กับงาน Fountain—เอาโถปัสสาวะมาตั้งโชว์แล้วบอกว่านี่คือศิลปะ ตอนนั้นคนแทบจะลุกขึ้นทุบโถทิ้ง แต่พอเวลาผ่านไป มันกลับถูกยกเป็นหมุดหมายสำคัญของศิลปะศตวรรษที่ 20 เหมือนเวลาเปิดตลาดหุ้นใหม่ๆ ทุกคนบอกว่า “ไร้ค่า” แต่พออีกสิบปี มันกลับกลายเป็น Blue Chip
ที่น่าสนใจคือ การมาของ AI ทำให้ประเด็น “ศิลปะคืออะไร” กลับมาร้อนแรงอีกครั้ง เหมือนวงการถูกบังคับให้นั่งโต๊ะกลมแล้วถกกันอีกรอบว่า สิ่งที่เรายึดว่าเป็นแก่นแท้ มันคือแก่นจริงๆ หรือแค่ความเคยชิน
นักวาดรุ่นเก๋าหลายคนบอกว่า AI แย่งงาน แต่ก็มีศิลปินอีกฝั่งที่ใช้มันเป็น “มีดหั่นผัก” ช่วยให้ทำงานเร็วขึ้น ไม่ใช่แทนที่แต่เสริมพลัง ลองดูที่ญี่ปุ่น—ประเทศที่รักเส้น G-Pen ยิ่งกว่าใคร สุดท้ายวันนี้ iPad กลายเป็นคู่หูใหม่ของนักวาดรุ่นใหญ่ไปเรียบร้อย วงการอนิเมะยังอยู่ แต่แค่ทำงานได้เร็วขึ้นและเปิดโอกาสให้คนใหม่ๆ เข้ามา
ถ้าเทียบกับหลักพุทธ—นี่คือ อนัตตา ล้วนๆ ศิลปะไม่ได้มีตัวตนถาวรว่า “ต้องเป็นแบบนั้นแบบนี้” สิ่งที่เรายึดว่าคือของแท้จริงๆ อาจเป็นแค่ภาพมายาที่เราสร้างขึ้นเอง เพราะศิลปะที่แท้จริงมันอยู่ตรงที่ว่า...ทุกคนรู้สึกอะไรจากมัน มากกว่ามันถูกสร้างอย่างไร
และนี่คือจุดที่เราคิดว่าการมาของ AI ไม่ได้ฆ่าศิลปะ แต่มันเหมือนกดปุ่ม Refresh ให้โลกศิลปะกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง เหมือนตลาดที่ซบเซาแล้วจู่ๆ มีหุ้นตัวใหม่โผล่มาให้ทุกคนแห่เข้ามาเทรด ทั้งบ่น ทั้งด่า ทั้งเชียร์ แต่สุดท้ายสิ่งที่ได้คือสภาพคล่องที่ทำให้ตลาดไม่ตาย
ศิลปะไม่เคยตายหรอก มีแต่คนที่กลัวเสียที่ยืน จนลืมไปว่า การเปลี่ยนแปลงคือการเปิดโต๊ะใหม่ให้เราได้ลองเล่นเกมอีกรอบ หลายคนอาจยังจำได้ ปี 2018 Christie’s ลอนดอน ประมูลภาพวาดชื่อ Portrait of Edmond de Belamy ซึ่งไม่ใช่ผลงานของมนุษย์ แต่เป็นผลงานของ AI ที่สร้างจากอัลกอริทึม GANs ภาพนั้นขายไปในราคา 432,500 ดอลลาร์สหรัฐ เล่นเอานักวิจารณ์งงกันทั้งวงการ บางคนถึงขั้นเขียนคอลัมน์ว่า “นี่คือวันสิ้นโลกของศิลปะ”
แต่ลองถามกลับ...แล้ววันนี้ภาพนั้นยังอยู่ในตลาดและถูกพูดถึงไหม? ใช่—ยังอยู่ และยิ่งทำให้ราคาศิลปะสาย AI ขยับขึ้น
ในเวลาไล่เลี่ยกัน Sotheby’s ก็โดดเข้ามาในเกมด้วย และถ้าใครยังนึกไม่ออกว่า AI กระทบตลาดศิลปะแค่ไหน ให้นึกถึงตอนที่ NFT ระเบิดในปี 2021 งานดิจิทัลของ Beeple (Everydays: The First 5000 Days) ถูก Christie’s ประมูลไป 69 ล้านดอลลาร์ มันไม่ใช่เรื่องของ “งานสวยหรือไม่สวย” อีกแล้ว แต่มันคือการ รีเซ็ตนิยาม ว่าอะไรคือของที่มีค่า
ตลาดศิลปะทำงานคล้ายตลาดหุ้น—สิ่งที่กำหนดราคาไม่ใช่แค่ “เนื้อหา” ของงาน แต่คือ เรื่องเล่า รอบๆ งานนั้น ลองนึกถึง Bitcoin ตอนแรกใครๆ ก็บอกว่าไร้ค่า แต่พอมันมีเรื่องเล่า มี Narrative เรื่องการเงินใหม่ ราคาก็พุ่งจนธนาคารกลางต้องหันมามอง
AI กำลังทำสิ่งเดียวกันกับศิลปะ:
มันบังคับให้ Christie’s และ Sotheby’s ต้องสร้าง “หมวดหมู่ใหม่”
มันทำให้ NFT marketplace อย่าง OpenSea กลายเป็นสนามที่ศิลปินดิจิทัลจากทั่วโลกมีเวที
มันทำให้วงการศิลปะที่เคยถูกปิดกั้นโดยหอศิลป์หรือนักสะสมรุ่นเก่า เปิดให้คนรุ่นใหม่เข้ามาสร้างตลาดของตัวเอง
ถ้าดูเชิงจิตวิทยา เราเห็นเลยว่า การต่อต้าน AI ในศิลปะคืออาการ Loss Aversion—คนเรามักกลัวการสูญเสียมากกว่าตื่นเต้นกับสิ่งที่ได้ใหม่ ศิลปินบางคนกลัวเสียคุณค่าที่เคยยึดไว้ แต่ลืมไปว่าคุณค่าที่แท้จริงของศิลปะไม่เคยตาย มันแค่ “เปลี่ยนรูป” เหมือนน้ำที่เปลี่ยนจากแข็งเป็นไอ แต่ยังคงเป็นน้ำ
และนี่คือจังหวะที่ทุกคนในวงการต้องเลือกข้าง จะยืนอยู่กับฝั่งที่ตะโกนว่า “ของปลอม” หรือจะเป็นฝั่งที่มองว่า “นี่คือโต๊ะใหม่ในศิลปะ ที่เราจะได้ลงไปเล่นก่อนใคร”
สุดท้ายแล้ว AI ไม่ได้ฆ่าศิลปะ มันฆ่า “ความนิ่ง” ของตลาดต่างหาก
บางทีศิลปะไม่เคยถูกวัดด้วยพู่กันหรือโค้ด แต่วัดด้วยพลังที่ทำให้ผู้คนยอมควักกระเป๋าจ่าย หรือยอมเถียงกันไม่จบ และถ้าเรามอง AI แบบนี้ ทุกคนจะเห็นว่า...มันไม่ได้มาแทนที่ศิลปิน แต่มันมาเป็น “ดีลเลอร์” คนใหม่ ที่แจกไพ่ชุดใหม่ให้วงการศิลปะทั้งโลก
“AI = เด็กลอกการบ้าน” หรือมนุษย์เราก็เป็นนักลอกตัวยง?
เราชอบสังเกตว่า เวลาคนบอกว่า “AI ก็แค่เด็กลอกข้อสอบ” จริงๆ มันสะท้อน mindset ที่มนุษย์เราใช้วัดคุณค่าของ “ความรู้” มาตลอด คือเชื่อว่าความรู้ต้องมาจาก การเรียน-การจำ-การสอบ-การเขียนเอง เท่านั้น
แต่ปัญหาคือ…คนเราก็โตมากับการ “ลอก” อยู่แล้ว ลองคิดดูสิ
นักเรียนดนตรี ทุกคนเริ่มจาก “ลอก” เพลงที่ครูสอน กว่าจะเล่นเป็นเพลงของตัวเอง
นักเขียน ก็โตมาจากการ “ลอก” สำนวน อ่านนั่นนี่แล้วเอามาผสม
นักวิทยาศาสตร์ กว่าคนจะคิดทฤษฎีใหม่ได้ ก็ต้อง “ลอก” ความรู้เก่ามาก่อน
ต่างกันแค่ว่าเรายอมรับการ “ลอกเชิงวิวัฒนาการ” (copy → remix → original) แต่ไม่ยอมรับการ “ลอกเชิงกลไก” (copy ตรงๆ แบบ AI)
“ลอก” กับ “โกง” ไม่เหมือนกัน
การลอกของ AI มันทำให้คนสับสน เพราะเราไม่รู้ว่าเส้นแบ่งระหว่าง “inspiration” กับ “plagiarism” อยู่ตรงไหน
ถ้าเพื่อนเราเลียนสไตล์วาดภาพของ Picasso → เราเรียกว่า “inspired”
แต่ถ้า AI วาดออกมาแล้วคล้าย Picasso → เรารีบตะโกน “ลอก!”
ทั้งที่จริงแล้วมนุษย์ก็ไม่ได้บริสุทธิ์อะไรเลย เราก็ copy กันทั้งนั้น เพียงแต่เรายอมรับ “การลอกที่มีเรื่องเล่าประกอบ” เช่น คนเลียนสไตล์แล้วเล่าชีวิตตัวเอง แต่พอเป็น AI ที่เล่าไม่ได้ เราเลยรู้สึกว่าไม่แฟร์
สิ่งที่น่ากลัวจริงๆ ไม่ใช่ว่า AI “ลอก” อะไรเราไป แต่คือ AI ทำให้เราเห็นว่ามนุษย์เองก็อยู่บนฐานของการลอกตลอดมา
ลองคิดดีๆ—มนุษย์ก็ “ลอกธรรมชาติ” มาสร้างเทคโนโลยี: ปีกเครื่องบิน, โซนาร์, GPS มนุษย์ก็ “ลอกกันเอง” เพื่อสร้างสังคม วัฒนธรรม ภาษา เพลง แฟชั่น แต่พอ AI มาย้ำให้เราเห็นว่า “คุณเองก็ลอกนี่” มนุษย์เลยไม่สบายใจ จนต้องสร้าง narrative ใหม่ว่า “AI ลอกไม่เหมือนเรานะ มันไม่ creative” เพื่อปกป้องคุณค่าของตัวเอง
Case study ฮาๆ ของคนลอกแล้วเท่
นักดนตรี: The Beatles & Oasis
The Beatles เองก็เอา chord progression จากเพลง Blues / Rock’n’Roll ยุคก่อนๆ มาปรับใช้เต็มๆ เลย แต่เขาเล่าใหม่ว่า “นี่คือเสียงของรุ่นเรา” ผลคือกลายเป็นตำนาน
Oasis เคยโดนแซะว่า riff คล้ายๆ The Beatles, The Rolling Stones หรือแม้แต่ T-Rex ...แต่คนฟังกลับมองว่า “อ๋อ มันคือความเคารพ” แล้วดันกลายเป็น signature ของ Britpop ไปซะงั้น
บทเรียน: ลอก + ท่ามั่นใจ = เทพ
นักเขียน: William Shakespeare
ชายคนนี้แทบจะไม่มี original plot ของตัวเองเลย! เกือบทุกเรื่องอย่าง Romeo and Juliet ก็มีต้นทางจากนิทานอิตาลีเก่าๆ แต่เขาใส่ “การเล่นคำ + ตัวละครกวนๆ + บทพูดคมๆ” ผลคือโลกทั้งโลกจำได้ว่า Romeo ไม่ใช่ต้นฉบับ แต่เป็น “ของเชกสเปียร์” เท่านั้น
บทเรียน: เล่าเรื่องเดิม แต่ใช้ภาษาใหม่ → กลายเป็นของมึงทันที
นักเขียนร่วมสมัย: Haruki Murakami
แกบอกเองเลยว่า “ผมอ่าน Fitzgerald, Carver, Kafka” แล้วก็หยิบวิธีเล่า + mood & tone มาเต็มๆ แต่พอเขาใส่แมว คาเฟ่แจ๊ส ญี่ปุ่นในยุค bubble เข้าไป → โลกเลยจำได้ว่า “นี่แหละ Murakami”
บทเรียน: ลอก mood ก็ได้ แต่ใส่ “กลิ่น” ของตัวเอง = ลายเซ็นใหม่
Pop Music: K-pop
หลายเพลง inspiration มาจาก Pop ฝั่งตะวันตก บางทีก็ซื้อทำนองมา outright เลย แต่เล่าใหม่ว่า “นี่คือสีสันของวงเรา, performance ของเรา” คนเลยไม่ได้ถามว่า “เพลงนี้คล้ายใคร” แต่ถามว่า “ทำไมท่าเต้นนี้โคตรติดหู”
บทเรียน: performance + branding → ทำให้การลอกกลายเป็น “วัฒนธรรม”
สุดท้ายโลกนี้มันคือ:
ลอก = copy
ลอกแล้วเล่า = inspiration
ลอกแล้วมั่นใจ = icon
ศิลปินเก่งๆ คือ “นักเล่าเรื่อง” ที่พรางการลอกให้เป็นตำนาน
บทส่งท้าย: AI ไม่ได้ลอก—แต่มนุษย์เองต่างหากที่ไม่กล้ายอมรับว่า “ทุกอย่างเริ่มจากการลอก”
เวลามีคนพูดว่า “AI ก็แค่เด็กลอกข้อสอบ” เรามักลืมตั้งคำถามกลับไปว่า—แล้วใครกันล่ะที่เป็นครูคนแรกของมัน? คำตอบก็คือ มนุษย์เอง
เพราะสิ่งที่ AI เรียนรู้มาทั้งหมด ล้วนเกิดจากฐานข้อมูลที่มนุษย์ผลิตไว้บนโลก ตั้งแต่ภาพถ่ายในพิพิธภัณฑ์ ไปจนถึงเพลงที่อยู่บน Spotify หรือข้อความใน Wikipedia มันไม่ได้ตื่นขึ้นมาตอนเช้าแล้วเดินไปห้องสมุดเอง แต่มันถูก “สั่ง” ให้ดูสิ่งที่เรามี แล้วเลียนแบบ นี่คือการบ้านที่มนุษย์ยัดเยียดให้มันทำตั้งแต่ต้น
ดังนั้นเวลาเราบอกว่า AI ลอก จริงๆ มันก็เท่ากับเรากำลังชี้กลับมาที่ตัวเองว่า “ก็เรานี่แหละที่ป้อนให้มันลอก”
แต่ความจริงลึกกว่านั้นอีก—มนุษย์ก็อยู่บนวัฏจักรของการลอกมาตลอด เพียงแต่เราเรียกมันอย่างสวยหรูว่า “แรงบันดาลใจ” หรือ “วัฒนธรรม”
วิศวกรลอกโครงสร้างปีกนกไปสร้างเครื่องบิน
นักเขียนลอกนิทานโบราณมาแต่งใหม่เป็นวรรณกรรมอมตะ
นักดนตรีลอกคอร์ดบลูส์มาเป็นร็อกแอนด์โรล
นักออกแบบแฟชั่นลอกเสื้อผ้ายุคก่อนมา remix ให้กลายเป็นเทรนด์
ถ้ามนุษย์คือการลอกที่มีเรื่องเล่าประกอบ AI ก็คือการลอกที่เร็วและซื่อจนเล่าเรื่องไม่ได้เท่านั้นเอง
ประเด็นที่ทำให้คนไม่สบายใจคือ AI ไม่ได้เล่าเรื่องชีวิตส่วนตัว มันไม่มีประวัติว่าต้องนั่งหิวข้าวตอนตีสองเพื่อวาดรูป มันจึงถูกมองว่าขาด “คุณค่า” แต่ถ้าคิดอีกแบบ มันก็เป็นเหมือนกระจกที่สะท้อนความจริงว่า—คุณค่าของศิลปะอาจไม่ได้อยู่ที่เครื่องมือหรือความยาก แต่ขึ้นกับว่าเราจะ “เล่าเรื่อง” อะไรบนสิ่งที่ได้มา
สุดท้าย ไม่ว่ามนุษย์หรือ AI ก็เริ่มจากการลอกทั้งนั้น ต่างกันตรงที่มนุษย์ลอกแล้วกลายเป็นตำนาน เพราะเราใส่เรื่องเล่า กลิ่น และตัวตนของเราเข้าไป
ดังนั้นคำถามจริงๆ ไม่ใช่ว่า “AI ลอกหรือไม่ลอก” แต่คือ “เราจะเล่าเรื่องของตัวเองอย่างไร บนโลกที่ทุกอย่างเริ่มจากการลอกอยู่แล้ว?”
และนั่นอาจเป็นเส้นแบ่งที่ทำให้ ศิลปินยังคงเป็นมนุษย์—ไม่ใช่เพราะเราลอกได้ดีกว่า แต่เพราะเรายังเล่าได้ดีกว่า
ตามนี้คือจบ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น