“พี่เป็นไอดอลหนูนะ”

มีหลายครั้งที่คนเดินมาบอกเราด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “พี่เป็นไอดอลหนูนะ” หรือ “หนูดูพี่แล้วอยากทำได้แบบพี่”
เราก็ยิ้ม แต่ในใจคิดว่า น้องรู้จักพี่จริงปะเนี่ย เพราะเบื้องหลังชีวิตเรานี่มีตั้งแต่วันเท่เหมือนโปสเตอร์หนังฮีโร่ ไปจนถึงวันเฟลแบบซีรีส์ซิทคอมที่พระเอกเดินชนประตูกระจกแตก

คำว่า “ไอดอล” ฟังดูเหมือนตำแหน่งที่ต้องทำทุกอย่างให้ดูเจ๋งตลอดเวลา แต่เอาจริง บางวันไฮไลต์ของเราคือการปอกไข่ต้มแล้วเปลือกไม่แตก หรือกดส่งอีเมลสำคัญโดยที่ลืมแนบไฟล์แล้วต้องส่งใหม่พร้อมประโยค “ขออภัย แนบไฟล์รอบนี้” แบบเสียศักดิ์ศรีเล็กน้อย

ในพุทธศาสนา มีคำว่า “อตฺตนา โจทยตฺตานํ” แปลว่า “จงเตือนตนด้วยตนเอง” ฟังดูขรึม แต่ในชีวิตจริงบางทีมันคือการเดินผ่านกระจกแล้วพูดในใจว่า “เฮ้ย…วันนี้หน้าเหมือนคนอดนอนมาสามชาติ” เพื่อให้เรารู้ว่าควรเข้านอนเร็วขึ้น ไม่ใช่ไปนั่งดูคลิปหมาเล่นสเกตบอร์ดต่อ

วิทยาศาสตร์ก็เข้ามาเกี่ยวได้ มันเหมือนแรงเสียดทาน (friction) ที่ช่วยกันเราลื่นไถล แต่ก็ทำให้เราก้าวช้าลง ซึ่งในชีวิตจริงก็คือการที่เรารอข้ามถนนเพราะไฟแดง ไม่ใช่พุ่งไปกลางแยกแล้วกลายเป็นคลิปในเพจข่าว

– ด้านดีของการถูกมองว่าเป็นไอดอลคือ มันทำให้เราพยายามมากขึ้น เหมือนรู้ว่ามีกล้อง CCTV ติดอยู่ตลอดเวลา
– ด้านต้องระวังคือ ถ้าห่วงภาพเกินไป เราอาจไม่ได้สร้างโมเมนต์เฟลๆ ที่เล่าแล้วคนหัวเราะจนน้ำตาเล็ด ซึ่งบางทีนั่นแหละคือสิ่งที่ทำให้คนรู้สึกว่าเรา “จริง”

เพราะสุดท้าย การเป็นแรงบันดาลใจให้ใคร มันไม่ได้อยู่ที่การทำทุกอย่างให้เป๊ะ แต่อยู่ที่การพังแล้วยังยืนขึ้นมาได้ พอเจอคนถามว่า “ทำยังไงถึงรอด” เราสามารถยิ้มแล้วตอบได้ว่า “ก็เดินต่อแบบงงๆ นี่แหละ”

และไม่ว่าทุกคนจะเรียกว่าเราเป็นไอดอลแค่ไหน ตอนกลางคืนเราก็ยังต้องกลับไปนอนบนหมอนใบเดิม หมอนที่บางวันนุ่มเหมือนกอดเมฆ บางวันแข็งเหมือนวางหัวบนสมุดบัญชี…แล้วแต่ว่าวันนั้นเรารู้สึกกับตัวเองยังไง




ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม